ตอน 33 หน้า 2

วันสติแตก

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

สิบเอ็ดโมงกว่า....แอนดี้กับน้องสาว มาถึงที่เรือนอภิญญาฆราวาสพื่อฟังทางเลือกในการรักษานักสืบประยงค์นายแพทย์ณรงค์ถูกขอร้องจากแอนดี้ ให้มาเล่าวิวัฒนาการทางการแพท์สมัยใหม่ ให้น้องสาวฟัง

โอกาสที่คุณหมอณรงค์จะว่างมาที่เรือนอภิญญาฆราวาสนั้นมีน้อย เพราะภารกิจการงาน แอนดี้จึงนัดหมายครูยาใจให้ร่วมฟังด้วย

การสอนกรรมฐานแบบสุขวิปัสสโกเสร็จสิ้นลงแล้วที่ห้องกรรมฐานใหญ่

ผู้เข้าเรียนต่างทยอยกันเดินออกมาจากห้อง

ทิดเอก กับ น้องสาว อยู่ในชุดลำลองสบาย ๆ แต่สุภาพ ยืนอยู่ในส่วนโถงของเรือน

เมื่อครูยาใจ เดินออกมาจากห้อง แอนดี้พยักหน้าให้น้องสาวเดินเข้าไปหา

"อาจารย์ครับ !" แอนดี้ยกมือไหว้ก่อน ครูผู้อาวุโสยกมือรับไหว้

"คุณแอนดี้ เจอลูกชายคุณอุ่นหรือยัง ?"

"แสงเหรอครับ ? เค้ามาเรียนกับอาจารย์วันนี้ใช่มั้ยครับ ?"

ครูพยักหน้า

"จ้ะ ! ก่อนเรียนก็ยืนคุยกันกับครู เค้าดูมีความรู้เรื่องหลักธรรมมาก แล้วก็เคยปฏิบัติมาครบเครื่องเลยนะ คุยกันสนุก บอกว่ามาเรียนวันนี้เพราะศรัทธาคุณน่ะ คุณแอนดี้ ไปเจอกันท่าไหน ถึงทำให้เค้าศรัทธาได้ ?"

แอนดี้ยิ้ม

"พี่อุ่นพามาให้รู้จักน่ะครับ เคยได้คุยกันครั้งนึง คงจะถูกรสนิยมกัน ผมเลยชวนให้มาเรียนที่นี่"

เขาหันมาทางน้องสาวที่ยืนฟังอยู่ข้าง ๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่เธอ

"ผมแนะนำก่อนครับ นี่ หงส์ น้องสาวครับ !"

ซีฟ่งยกมือไหว้ ก้มหัวเล็กน้อย

ครูยาใจเบิกตาโต

"น้องสาว !" เธอเอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับที่หัวไหล่หงส์ทันที

"ตายแล้ว ! บ้านนี้ทำบุญมาด้วยอะไรนะ ? พี่ชายก็หล่อ น้องสาวก็สวย"

หงส์หัวเราะเบา ๆ

"อายุเท่าไหร่แล้วลูก ?"

"ยี่สิบห้า จะเข้ายี่สิบหกค่ะ"

คุณครูจ้องหน้าหงส์

"เสียดาย !" มือครูยังจับไหล่น้องสาวอยู่ แต่หน้าหันไปหาพี่ชาย

"เสียดายครูไม่มีลูกชาย ไม่งั้นต้องขอจอง"

คำกระเซ้าของผู้อาวุโส ทำให้แอนดี้หัวเราะ

หงส์ถามขึ้น

"อาจารย์มีลูกสาวเหรอคะ ?"

"เปล่า ๆ ! ครูโสดน่ะ ! แล้วหนูหงส์ มีครอบครัวหรือยัง ?"

หงส์สั่นหัว

"ยังค่ะ ! อาจารย์จะหาให้ ก็เป็นพระคุณค่ะ ?" เธอหยอกกลับ

"แหม ! ปากหวาน เหมือนพี่ชายไม่ผิด ไม่เอาล่ะ ! หนุ่มสาวสมัยนี้ หากันเองจะเหมาะกว่า ให้ผู้ใหญ่มายุ่ง เดี๋ยวจบไม่สวย แต่หน้าตาอย่างหนูนะ ครูเดาได้เลยว่า มีแฟนแล้ว"

หงส์สั่นหัว

"ยังค่ะ ! โสดสนิทค่ะ !"

ครูยาใจขยิบตา แล้วเพยิดหน้าขึ้น

"เอาน่า ! รู้ ๆ กัน ! มาถามอะไรต่อหน้าพี่ชาย ใช่มั้ย ? ท่าทางพี่ชายจะกันน่าดู อย่าให้พี่ชายรู้แล้วกัน"

หงส์หัวเราะชอบใจ หันหน้ามาทางพี่ใหญ่

"พี่แอนดี้นิสัยแบบนี้ เห็นมั้ย ? ใคร ๆ ก็รู้"

ครูยาใจจูงแขนสาวหงส์เดินนำ

"มา ๆ ! วันนี้เรานั่งคุยกันที่เก้าอี้รับแขกตรงโน้นได้ หงส์เคยมาที่เรือนนี้หรือยัง ลูก ?"

หงส์พยักหน้า

"ค่ะ ! พี่แอนดี้เคยมานอนป่วยที่นี่ หงส์ก็มาช่วยพยาบาล สองปีก่อนค่ะ ช่วงนั้นมาบ่อย"

ครูยาใจยกมือขึ้นทาบอก

"อ้าว ! งั้นก็รู้จักที่นี่ก่อนเปิดซะอีกสิ ! หนูรู้จักคุณน้อย ?"

หงส์พยักหน้า "ค่ะ ! รู้จักคุณน้อย"

"คุณหญิงด้วยล่ะสิ ?"

"ค่ะ ! คุณหญิงเจนใช่มั้ยคะ ? รู้จักค่ะ !"

ครูยาใจหัวเราะ

"อือ ไม่น่าถามเลย เป็นน้องคุณแอนดี้ก็คงรู้จักคนสำคัญของที่นี่อยู่แล้ว"

หงส์ตอบกลับ

"แต่พี่แอนดี้บอกว่า คนที่สำคัญที่สุดของที่นี่ คือ อาจารย์ยาใจค่ะ ถ้าไม่มีอาจารย์ยาใจ ที่นี่คงไม่เกิด"

วาทะศิลป์ที่พี่ชายสั่งสอน เมื่อออกมาจากปากน้องสาว เข้าหูผู้อาวุโส ทำให้อาจารย์ใหญ่ถึงกับปลื้มในทันที ความรู้สึกยินดีส่งออกมาทางสีหน้า

"พูดเกินไปแล้ว หงส์ ! ครูน่ะทำเพราะศรัทธาหลวงพ่อสอน แรงทรัพย์ส่วนใหญ่น่ะ ครูต้องโมทนาบุญกุศลของคุณหญิงเจน กับ ครอบครัวกิจบูรณา ครูเป็นแค่กำลังใจน้อย ๆ เท่านั้น"

สีหน้าครูก็ออกเป็นสีแดงระเรื่อ

"เราใช้เก้าอี้รับแขกในห้องโถงคุยกันนะ คุณแอนดี้ ? มีหมอณรงค์อีกคนนึงแค่นั้นใช่มั้ย ?"

แอนดี้พยักหน้า

"ครับ ! สี่คน นั่งที่นั่นก็ได้ครับ"

ครูยาใจจูงมือหงส์เดินตรงไปยังชุดรับแขกริมผนัง วาจาที่รื่นหูให้เกียรติผู้อาวุโส ทำให้ครูผู้บริหารโรงเรียน รู้สึกชื่นชมเด็กสาวคนนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

*************************************************************************************

หมอณรงค์...ศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อสอน ซึ่งปัจจุบัน ตามมาศรัทธาช่วยเหลือทิดเอก.... บัดนี้ได้นั่งอยู่ ณ เก้าอี้รับแขก พร้อมที่จะอธิบายทางเลือกในการรักษาโรค ให้กับคณะฟัง

พัดลมติดเพดานเป่าลมให้ความเย็นแก่ผู้มาเยือนทั้งสี่

"ผมฟังเคสของคุณแอนดี้แล้ว นับว่าหนักเอาการ หากคนไข้ไม่ยอมไปรักษาที่โรงพยาบาล มันยากอยู่นะ เอ้อ... ! แต่ ยังไงผมก็เชื่อมั่นศรัทธาในบารมีของคุณแอนดี้นะครับ ถ้าคุณแอนดี้มาปรึกษากับผม แสดงว่าคนคุณแอนดี้ใช้ทิพยจักขุญาณมองแล้วว่า ผมช่วยได้"

ครูยาใจผงกหัวทันที

"แน่นอน คุณหมอ ! ครูเชื่อว่าคุณแอนดี้เห็นแล้วว่าคุณหมอช่วยได้"

แอนดี้หัวเราะหึ ๆ

"ถ้าผมมีตาทิพย์แม่นขนาดนั้น ผมหาสูตรยารักษาเองไปแล้ว ผมไม่อายเลยที่จะบอกว่า ผมจนปัญญา

เจ้าตัวเค้าก็มีเจ้ากรรมของเค้าด้วย แต่พระท่านก็บอกว่า เราก็เยียวยาเค้าตามสภาพ หมายถึงว่า ผมก็หาทางช่วยตามที่ปุถุชนจะช่วยได้

ผมนึกถึงคุณหมอณรงค์คนแรกเลย คุณหมอเล่าต่อเรื่องอาหารนาโนอะไรนั่นได้เลยครับ ผมฟังจากโทรศัพท์ยังไม่ค่อยเข้าใจ

ที่ชวนอาจารย์มาฟังด้วย เพราะคิดว่าเป็นประโยชน์กับเพื่อนของอาจารย์คนนึง นาน ๆ คุณหมอจะแวะมาที่นี่ทีนึง ถือโอกาสให้วิทยาทานกับพวกเราซะเลยนะครับ"

คุณครูเลิกคิ้ว

"เพื่อนครูคนไหน ? นึกไม่ออก แต่ยินดีค่ะ ! ถ้าอะไรที่ไม่ใช่สารเคมี ครูก็สนใจนะ"

คุณหมอเริ่มเล่า

"เคสนี้ของคุณแอนดี้ ผมเข้าใจว่าปอดอยู่ในสภาพที่แย่แล้ว การให้ยาสมุนไพรน่ะเลิกคิดได้ มันช้าไปแล้ว ถ้าปฏิเสธสารเคมีจากยาฝรั่ง ผมมีทางเลือกให้ทางนึง ตอนนี้กำลังมาแรง นั่นคือ ส่งอาหารนาโนให้ไมโตคอนเดรียซะเลย"

แอนดี้เลิกคิ้ว พร้อมคำถาม

"ส่งอาหารนาโนให้อะไรนะครับ ?"

"ไมโตคอนเดรียครับ อาจารย์เคยได้ยินมั้ยครับ ?" หมอณรงค์ถามกลับไปที่ผู้บริหารโรงเรียน

"ค่ะ ! ไมโตคอนเดรียอยู่ในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน แต่คงไม่ใช่รุ่นคุณแอนดี้น่ะ รุ่นคุณแก่ไปแล้วมั้ง"

แอนดี้หัวเราะคำหยอกของครู

หมอณรงค์อธิบายเพิ่ม

"ผมอธิบายง่าย ๆ คือ ไมโตคอนเดรีย คือ โรงงานผลิตสารอาหารส่งให้เซล โรงอาหารนี้ มีปากรับอาหารที่เล็กมาก ๆ อาหารที่ส่งไปถึงแหล่งนี้ได้ ต้องมีโมเลกุลที่เล็ก ซึ่ง ปกติ เราทานอาหารทั่วไป โมเลกุลมันจะใหญ่มาก ต้องผ่านการเคี้ยว ผ่านน้ำลาย เอ็นไซม์ในปาก ในกระเพาะ จะย่อยให้มันมีโมเลกุลเล็กลงไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันเล็กพอที่จะไปถึงไมโตคอนเดรีย

แล้วไมโตคอนเดรียนี้ ค่อยผลิตเป็นสารอาหารส่งให้เซล เซลจึงมีพลังที่จะไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือ ไปสร้างอวัยวะทั้งร่างกาย

อาหารที่เข้าไป มีทั้งของเสีย สารเคมี ทานอาหารไปจานใหญ่ แต่อาหารที่ไปถึงไมโตคอนเดรีย อาจจะนำไปใช้ได้แค่ช้อนเดียว แปลว่า อาหารมื้อนั้น เซลได้ประโยชน์แค่ช้อนเดียว นอกนั้น เป็นของเสีย

นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ก็คิดว่า ถ้าจะรักษาโรคอะไรก็ตาม แทนที่จะใช้สารเคมี ซึ่งมีโทษ และ ไม่ใช่ธรรมชาติ ก็จึงเปลี่ยนเป็นการส่งอาหารโดยตรง แต่ทำให้โมเลกุลมันเล็ก และ มีแต่ประโยชน์ ส่งให้เซลซะเลย โดยไม่ต้องไปผ่านกระบวนการเคี้ยว ย่อย แล้วไตต้องมากรองสารพิษอีก

เทคโนโลยีใหม่นี้ จะผลิตอาหารในรูปแบบของเอนไซม์ ซึ่งสกัดจากพืชต่าง ๆ ออกมาให้ มีโมเลกุลเล็กมาก เมื่อเข้าปากแล้ว สารอาหารวิ่งเข้าไมโตคอนเดครียได้เลย เซลก็จะมีพลัง ซึ่งแทนที่ยาได้ทุกชนิด เซลที่มีพลัง ก็จะไปซ่อมส่วนที่สึกหรอเองโดยธรรมชาติ

สิ่งที่ผลิตออกมานี้ เขาเรียกกันหลายชื่อ บางที่เรียก ฟู้ดฟอร์เซล บางที่เรียก ไมโตคอนเดรียบูสเตอร์ ซึ่ง ผมเคยใช้กับคนไข้ ให้ผลได้รวดเร็วน่าอัศจรรย์จริง ๆ เคสเบาหวานหนัก ๆ ผมใช้ตัวนี้ ภายในสองเดือนเห็นผล ภายในเจ็ดเดือนงดอินซูลินได้"

แอนดี้หันไปมองหน้าน้องสาว หงส์พยักหน้าทันที

"เบาหวานหนัก ยังเอาอยู่ได้ เคสของน้ายงค์ ก็อาจจะได้ผลทันการณ์ก็ได้ งั้น เริ่มเลยค่ะ ! มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ หงส์รับผิดชอบ"

หมอณรงค์ล้วงเข้าไปในเป้ หยิบถุงใส่อาหารเสริมขึ้นมา แกะซองออก แล้ววางบนโต๊ะ

"ผมเอามาให้ลองทานกัน มันไม่ใช่ยา มันเป็นอาหารเสริม อาจารย์ ลองได้ครับ จะได้กลับไปเป็นสาว" คุณหมอกระเซ้าครูใหญ่

ครูใหญ่พยักหน้า

"งั้นครูเหมาหมดเลย หมอ ! ถ้ากลับเป็นสาวได้ เหมาหมด !" พูดแล้วก็หัวเราะ ต่อด้วยการถอนหายใจ "คนเราอะนะ เกิดมาก็ต้องเป็นทุกข์อยู่กับสุขภาพ ถึงไม่ป่วย ยังไงก็ต้องแก่ สุดท้ายก็ต้องตาย ยาอะไรก็ห้ามความตายไม่ได้ แต่ถ้ายานี่ช่วยบรรเทาให้คนป่วยคลายทุกข์ได้ ครูก็ขอโมทนาบุญด้วยนะหมอ"

หมอณรงค์ยกมือไหว้

"สาธุครับ ! ที่ผมทำทุกอย่าง เพื่อหวังให้คนป่วยดีขึ้น ใจเขาใจเรา เราป่วย เราก็ทุกข์ คนอื่นป่วย ก็ทุกข์ ช่วยให้เค้าพ้นทุกข์ได้ ก็ดี แต่คุณแอนดี้ ผมช่วยไม่ได้ ป่วยทุกวัน ไอ้ตัวนี้ จะช่วยได้มั้ย ?" เขาหันหน้ามาทางแอนดี้

ทิดเอกคิดชั่วอึดใจ

"อาจจะบรรเทาได้ ! ผมจะลองถามพระนาง กับ ท่านฤาษีว่า อาหารเสริมนี้ ผมทานได้มั้ย ไอ้เรื่องเจ้ากรรม ก็ต้องรับกันไป ส่วนเรื่องการบรรเทานี่ ถ้ามันทำให้ผมฟื้นตัวในระหว่างวันได้ ก็ดี เพื่อจะเตรียมตัวป่วยต่อตอนเย็น"

แอนดี้หันไปถามครูยาใจ

"อาจารย์รู้เรื่องลูกคนเล็กของคุณพิมใช่มั้ยครับ ?"

"หือ ! รู้จ้ะ ! คุณแอนดี้คิดว่าอาหารเสริมนาโนนี่อาจช่วยได้เหรอ ?"

"ก็อาจจะบรรเทาได้ ต้องลอง อาจารย์ว่ายังไงครับ ? อาจารย์ลองเกริ่นให้คุณพิมฟัง แล้วให้คุณพิมติดต่อหมอณรงค์"

"สา.....ธุ เลย ! อุตส่าห์นึกถึงคุณพิม คุณพิมเล่าให้คุณฟังเหรอ ?"

"ครับ ! เพิ่งเล่าเรื่องลูกคนเล็กให้ฟังเมื่อวันก่อน เธอน่าจะโอเคมากขึ้นตั้งแต่พาแพทตี้มาฝากกับผม อาจารย์เจอเธอก็ถามแล้วกันนะครับ ว่าเธอโอเคมั้ย ?"

"ไม่ต้องถามหรอกมั้ง ! ดูจากท่าทาง สายตา มันชัดเจนขนาดนั้น" อาจารย์ตอบได้ทันที

หงส์มองหน้าพี่ชาย แอนดี้จ้องหน้ากลับ ไม่หลบสายตา พูดขึ้นเป็นภาษาจีน

"เปี๋ยล่วนเสี่ยง ! ทาจื่อซื่ออี๋เก้อเห่าเผิงโหย่ว" (ไม่ต้องคิดเลอะเทอะ เธอเป็นแค่เพื่อนที่ดีคนนึงเท่านั้น)

หงส์กลับพูดตอบเป็นภาษาไทย

"แต่ละคน ก็เริ่มต้นจากเพื่อนที่ดีทั้งนั้นแหละ !"

พูดเพียงเท่านี้ ก็เป็นที่เข้าใจของคนฟัง อาจารย์หญิงหัวเราะ

"คุณแอนดี้ลืมขออนุญาตน้องสาวก่อนใช่มั้ย ?"

หงส์รีบอธิบาย

"ไม่ต้องเลยค่ะ ! พี่แอนดี้ไม่เคยขออนุญาตหงส์อยู่แล้ว สาว ๆ แต่ละคน ถ้านึกอยากจะพามาเจอ ก็พามาเลย หงส์เป็นน้องนิ จะไปว่าอะไรได้"

อาจารย์พยักหน้า ช่วยรับลูก

"นั่นไง ! คุณพิมคนนี้สวยด้วยนะหงส์ ได้อยู่ใกล้กันคงอันตราย จะให้ครูช่วยกันให้มั้ย ?"

หงส์หัวเราะ เธอหันมาหาพี่ชาย

"สวยกว่าพี่ชลหรือเปล่า ?" เธอเปรียบกับคนที่มีหน้าตาสวยที่สุด ในแวดวงคนใกล้ชิด

"ชลไหน ?"

"พี่ชลลดาแฟนพี่อเนกน่ะ !"

สิงห์ต้าลู่ขมวดคิ้ว แล้วสั่นหัว

"ไม่รู้ ! พี่ไม่ได้สนใจหน้าตา"

หมอณรงค์หัวเราะด้วยความขำ

"สุดยอดแห่งมหาวัดนาคโขง มาตายน้ำตื้นด้วยน้ำมือน้องสาวตัวเอง"

ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

หงส์แตะข้อมือครูยาใจ

"อาจารย์คะ หงส์พูดเล่นกับพี่ชายน่ะค่ะ อย่าเข้าใจผิดว่าหงส์กันพี่ชายนะคะ เดี๋ยวจะทำให้เสียการงาน หงส์รู้ว่าพี่แอนดี้ต้องช่วยคนเยอะ พี่แอนดี้เค้าไม่เลือกหรอกว่าสวยหรือไม่สวย เค้าช่วยหมด หงส์เข้าใจดี"

"จ้า ! ครูก็รู้ว่าเราสองคนน่ะ ล้อเล่นกัน มันก็น่ารักดี พี่น้องคู่นี้"

แอนดี้หยิบเม็ดเอ็นไซม์นาโนของคุณหมอณรงค์ขึ้นมาดู

"ไอ้เม็ดเล็ก ๆ แค่นี้เหรอครับ ? ต้องกินกี่เม็ดครับ ?"

"วันแรก ๆ แค่เม็ดเดียวพอ ให้ร่างกายปรับตัว รับรอง แค่เม็ดเดียวก็เห็นผล กินเม็ดเดียว เซลจะได้รับสารอาหารเทียบเท่ากับกินอาหารเป็นอาทิตย์เลยนะ" คุณหมอตอบ

ทิดเอกผงกหัวช้า ๆ

"เทคโนโลยีสมัยนี้ พัฒนาไปเร็วจริง ๆ เม็ดเดียวแค่นี้ก็ให้ผลได้"

แอนดี้ส่งจิตถามท่านสิทธาฤาษี เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็ได้คำตอบ

เขาพูดขึ้น

"งั้นผมขอซื้อ สิบเม็ดก่อน ผมจะเอาไปช่วยคนคนนึง"

"ได้ครับ ! เดี๋ยวผมจัดใส่ซองยาให้ แล้วจะอธิบายให้ว่าให้ทานยังไง"

หงส์ถามขึ้น

"ไม่เกี่ยวกับน้ายงค์ใช่มั้ย ?"

แอนดี้ตอบ

"ไม่เกี่ยว ! ของน้ายงค์ ให้หมอณรงค์เป็นคนดูแล จะทานมากน้อยยังไง ให้หมอณรงค์แนะนำ แต่ สำหรับคนนี้ คนสำคัญ พี่จะจัดการเอง"

หงส์พยักหน้ารับรู้ จิตใจที่เป็นกังวลต่ออาการป่วยของนักสืบยงค์ยังไม่ลดทอนลงไป ความใจร้อนกลับเพิ่มขึ้น เธออยากให้น้ายงค์ทดลองทานอาหารเสริมชนิดนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อฉุดเขาขึ้นมาจากสภาพที่น่าทรมานอยู่ ณ ขณะนี้

ครูหญิงพูดขึ้น

"ครูขอบคุณคุณแอนดี้มาก ที่มีเมตตานึกถึงคุณพิม ครูจะเล่าเรื่องนี้ให้คุณพิมฟัง ขอบคุณหมอณรงค์ด้วย"

หมอณรงค์ส่งยิ้มอย่างอ่อนน้อมเป็นคำตอบ

จิตของทิดเอก รับสัมผัสบางอย่างได้ทันทีเมื่อคิดถึงผู้มีพระคุณ เอ็นไซม์นาโนนี้ จะสามารถช่วยเธอฟื้นฟูเซลข้อเข่า และ เส้นเอ็นของท่านได้

จู่ ๆ พัดลมติดเพดานก็หมุนช้าลง จนคณะผู้สนทนาทั้งสี่รู้สึกได้

อาจารย์หญิงเงยหน้าขึ้นมองพัดลม

"ไฟดับหรือไงนี่ ? ไม่ได้มีใครไปปิดพัดลมนี่"

แอนดี้กวาดตามองไปที่ส่วนอื่นของเรือนไม้ จุดอื่นที่ปกติเปิดไฟไว้ในเวลากลางวัน ณ ขณะนี้ก็ไม่มีไฟ

"ไฟคงดับน่ะครับ ! ดับหมดทั้งเรือน ดีนะที่ดับตอนสอนกรรมฐานเสร็จแล้ว ไม่งั้นคงต้องเปิดหน้าต่างสอน"

"ไฟดับ ก็ดีกว่าคอมเพรสเซอร์ระเบิดน่ะ ตอนมันระเบิดเสียงดัง ตกใจกันหมด"

แอนดี้หัวเราะ

"พลังสมาธิของอาจารย์มันเกินวิสัยปุถุชนแน่เลยครับ สอนไปคอมพ์ระเบิด สอนไปไฟดับ"

ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

แอนดี้นึกถึงคำบอกเล่าของพระนางที่เคยเตือนเขาไว้ แล้วพูดทิ้งท้าย

"สงสัย เดี๋ยวมีฝนตก"

ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่แอนดี้พูด แต่ประโยคนี้ก็ไม่สลักสำคัญอะไรที่จะต้องมีใครมาตั้งคำถามให้อธิบาย

******************************************************************************

ฐิติชญารู้สึกแปลกใจ ที่ครูปั้นเรียกให้เธอ กับ พิจิตร ไปพบด่วน ที่บ้านนนทบุรี

.... เธอรับปากทันที เพราะบ่ายวันนี้ไม่ได้ติดภารกิจใด ๆ

เมื่อเธอก้าวเท้าลงบันไดมาถึงชั้นล่าง คุณพ่อก็เรียกขึ้น

"ญา ! วันนี้กลับดึกมั้ย ?"

"คงไม่ดึกค่ะ !"

"กลับมาแล้ว พ่อขอเวลาคุยด้วยหน่อยนะ"

"คุยตอนนี้เลยก็ได้นะ ญาไม่ได้รีบ"

"ไม่เป็นไร ! คุยตอนเย็นดีกว่า จะได้มีเวลา ญาจะไปไหน ก็ไปก่อนเถอะ กลับมาแล้วค่อยคุยกัน"

"พ่อบอกหัวข้อมาก่อนได้มั้ยคะ ? บอกแบบนี้ ญาได้กังวลทั้งวันแน่"

"ญาเคยไปร้องเรียนกรรมการหมู่บ้าน เรื่องบ้านคุณพงษ์ศักดิ์ใช่มั้ย ?"

เธอจำเรื่องนี้ได้แน่นอน

"ค่ะ ! กรรมการหมู่บ้านมีความคืบหน้าเรื่องนี้แล้วเหรอคะ ?"

"ญารู้มั้ยว่า คุณพงษ์ศักดิ์ เป็นใคร ?"

ประโยคนี้เป็นประโยคที่เธอเกลียดทุกครั้งเมื่อได้ยิน

"รู้ค่ะ ! เค้าเป็นถึงระดับอธิบดีกรม เป็นอธิบดีแล้วมีสิทธิ์จอดรถกีดขวางทางส่วนรวมเหรอคะ ?"

คุณพ่อพยักหน้า

"เรื่องคงยาวแน่ ถ้าญาพูดแบบนี้ ออกไปธุระก่อนเถอะ แล้วเย็นนี้กลับมาคุยกัน"

ลูกสาวพยักหน้า แล้วพกความไม่สบอารมณ์ออกมาจากบ้านไปด้วย

*********************************************************************************

ทันทีที่พิจิตรทรุดตัวลงนั่ง แล้วปิดประตูรถ เธอก็เริ่มระบายความในใจ

"เบื่อกับนิสัยคนไทย สังคมไทยที่ยึดถือตัวคนเป็นใหญ่ ไม่ได้ยึดถือความถูกต้อง"

รถเคลื่อนตัวออก โชเฟอร์มองไปข้างหน้า แล้วถอนหายใจ

พิจิตรเลิกคิ้ว

"เกิดอะไรขึ้น ? อารมณ์เสียตั้งแต่เจอเลยนะ"

"เพื่อนบ้านที่ไม่เกรงใจกัน มีวันนึงญาขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน ไอ้บ้านหัวมุมมีงานเลี้ยง รถจอดกันเกือบยี่สิบคัน แทบจะปิดถนน เหลือเลนให้รถวิ่งได้เลนเดียว ใครจะเข้าออกก็ลำบาก ไม่รู้จักเกรงใจเพื่อนบ้าน พื้นที่ส่วนรวมของหมู่บ้าน ไม่ใช่ว่าให้บ้านเค้าใช้ได้บ้านเดียว

วันถัดมา ญาก็ไปโวยกับสำนักงานนิติบุคคล ให้กรรมการหมู่บ้านตักเตือนบ้านนี้ ไอ้กรรมการมันคงกลัวเป็นเรื่องใหญ่ เอาเรื่องนี้มาบอกพ่อญา แล้วพ่อญา เช้านี้มาถามญาว่า รู้มั้ยว่าเจ้าของบ้านนั้นมันเป็นใคร"

พิจิตรถามซ้ำ

"แล้วเค้าเป็นใคร ?"

ฐิติชญาหันหน้ามามองพิจิตร

"เค้าเป็นข้าราชการระดับอธิบดีกรม ! นี่แหละ ที่ญาได้ยินแล้วปี๊ดทันที พ่อไม่ได้ถามว่า เค้าทำผิดอะไร พ่อถามว่า รู้มั้ยว่าเค้าเป็นใคร พี่จิตรเข้าใจมั้ยว่า ทำไมญาถึงโมโห ? แสดงว่า พ่อรู้ว่าเค้าผิด แต่ เพราะว่าเค้าเป็นใครมันสำคัญกว่าไง ถึงถามญาแบบนี้"

พิจิตรพยักหน้า

"อือ เข้าใจ ! ประเทศไทย ใครใหญ่ก็ครองเมือง ความถูกต้องมันไม่สำคัญ คนที่ใหญ่อยู่แล้ว เค้าก็รู้ตัวว่า คนอื่นก็จะเกรงใจ เค้าประเมินพาวเวอร์ของตัวเองไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว คนพวกนี้ เวลาจะทำอะไร เค้ารู้ล่วงหน้าว่า คนอื่นจะยอม สังคมไทยเป็นแบบนี้ในทุกระดับ เค้าไม่รู้ตัวว่า วันนึง ถ้าคนรุ่นใหม่ นำเรื่องธรรมะครองเมืองมาใช้ คนพวกนี้ จะอยู่ในสังคมไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่จะไม่ยอมรับแล้ว"

โชเฟอร์พยักหน้า

"ใช่ ! ญาอยากให้ถึงวันนั้นเร็ว ๆ"

"พี่ก็อยากให้ถึงวันนั้นเร็วที่สุด อยากดูพวกคนรุ่นเก่าที่ยังใช้อำนาจกอบโกย เอาเปรียบสังคม อยากเห็นพวกนี้ไม่มีที่อยู่ มุดรูออกจากประเทศไปซะ"

"ญาโชคดีมากที่ได้มาเรียนธรรมะครองเมือง ได้มารู้จักครูปั้น รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทหารพระศรี แต่เย็นนี้ ทหารพระศรีคงต้องกลับไปต่อสู้กับพ่อตัวเองก่อน"

"ใช่ ! เรื่องที่ยากที่สุดคือ เราต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน ถ้าเราเริ่มที่ครอบครัวเรายังไม่ได้ มันก็ป่วยการที่จะไปบอกชาวบ้าน เพราะ ตัวเราเอง พอถึงเรื่องครอบครัว เราก็ยอมซะ จอดตั้งแต่อยู่ในหลังคาแล้ว พอครอบครัวผิด ก็ยอม ๆ กันไป ออกไปในสังคม มันก็ติดนิสัยนี้ พอวันนึงเป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจ สังคมก็จะสืบรู้ไปถึงว่า ไอ้นี่ ครอบครัวมันเอง มันยอมให้ทำผิด แต่ คนอื่นมันกลับไม่ยอม เจ๊งทุกราย อย่างนี้เรียกว่า สังคมปากว่าตาขยิบ ปกปิดความผิดของพวกพ้อง แต่จ้องจับผิดคนอื่น"

สิ่งที่พิจิตรพูด เธอมองเห็นภาพกระทบออกไปในวงกว้าง เริ่มตั้งแต่ครอบครัว ต่อไปถึงโรงเรียน ที่ทำงาน ลุกลามไปถึงสังคม และ การเมือง

******************************************************************************

บ่ายวันนี้ ที่บ้านนนทบุรี มีศิษย์อารยะเมตตาจิตคนสำคัญมาร่วมต้อนรับฐิติชญา

เมื่อก้าวเข้ามาในตัวบ้าน พิจิตรเริ่มแนะนำเธอ ให้รู้จักกับศิษย์อาวุโสคนสำคัญ

ชายวัยประมาณเกือบห้าสิบปี รูปร่างสันทัด แต่งกายในชุดลำลองเสื้อยืด กางเกงแสลคขายาว ยืนยิ้มรอต้อนรับ

"ญา นี่ คุณวิชา เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้"

ทอมยกมือไหว้ ศิษย์อาวุโส

"สวัสดีครับ ! ได้ยินชื่อเสียงมาซักพักแล้ว วันนี้ได้เจอตัวจริง ยินดีครับ เชิญ ๆ ๆ ! ตามสบายครับ เอ๊ะ ! แต่เคยมาที่บ้านนี้มาก่อนแล้วใช่มั้ย ?"

ทอมพยักหน้า

"ค่ะ ! เคยมาค่ะ !"

พิจิตรแนะนำเพิ่ม

"คุณวิชา จะดูแลเรื่องการติดต่อเกี่ยวกับบ้านเมือง"

เธอไม่เข้าใจความหมายของคำว่า 'บ้านเมือง'

"เกี่ยวกับบ้านเมืองคืออะไรคะ ?"

วิชาหัวเราะ

"พูดแบบตรง ๆ คือ เกี่ยวกับทางด้านการเมืองนั่นแหละ เราก็มีนักการเมืองเป็นศิษย์อยู่ด้วย แล้วก็มีศิษย์ที่มาเป็นศิษย์ก่อน แล้วแม่หญิงสาวิตรีส่งให้ไปทำงานการเมืองก็มี"

เธอได้ยินชื่อ แม่หญิงสาวิตรี อีกครั้ง หลังจากที่เคยได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก เมื่อคราที่ไปเนินพระศรีครั้งล่าสุด

ทอมพยักหน้า

"เรามีศิษย์อยู่พรรคไหนบ้างคะ ?"

"ก็เกือบทุกพรรคนะ แต่บางพรรคก็เป็นแค่สมาชิกเล็ก ๆ บางพรรคก็ใหญ่หน่อย จำนวนก็ไม่เท่ากัน"

"แล้วมีพรรคไหนที่เรามีศิษย์เยอะที่สุดคะ ?"

"เยอะที่สุดเหรอ ? ไม่เคยนับขนาดนั้น แต่เอาเป็นว่า ถ้ามีบทบาทในพรรคได้มากนี่ คงมีอยู่พรรคเดียว คือ พรรคไทยนิรันดร์ ตอนนี้ก็ยังมีบทบาทมากอยู่ เพราะทางคุณแอ๊ดด้ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ยิ่งสมัยหัวหน้าพรรคคนเก่านี่ ผมสนิทเลยนะ"

"สหธรรม หัวหน้าพรรคที่เพิ่งเสียไป ใช่มั้ยคะ ?"

"ใช่ ๆ ! นั่นแหละ ! พวกเราเรียกว่าพี่อี๊ด พี่อี๊ดเคยไปที่เนินพระศรี ท่านเป็นคนดีนะ"

ทอมถามถึงลุงของแฟนนี่

"แล้วคุณแอ๊ดล่ะคะ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ดีมั้ยคะ ?"

วิชาพยักหน้า

"ดี ! ถือว่าใช้ได้นะ ยังไงก็ดีกว่าคุณนิยม ที่เป็นคู่แข่งตอนที่จะเลือกหัวหน้าพรรค คุณนิยมมีคนหนุนเยอะ พวก สส.อิสานหนุนอยู่ แข่งกันสูสี แต่ ผลออกมาว่า คุณแอ๊ดได้รับเลือกคะแนนเกินครึ่ง แสดงว่า มีสส.อิสานบางคน แตกแถวไปเลือกคุณแอ๊ดเหมือนกัน"

พิจิตรออกความเห็นเพิ่ม

"ไม่ใช่พระศรีจัดการเหรอครับ ? หรือว่า แม่หญิงสาวิตรีนี่แหละ ผมได้ยินมายังงั้น"

วิชาผงกหัวช้า ๆ

"เป็นแม่หญิงสาวิตรี ! คืนก่อนจะเลือกหัวหน้าพรรค พี่หยอยโทรมาบอกว่า คะแนนคุณแอ๊ดน่าจะเป็นรองอยู่เล็กน้อย บอกให้พวกเรารู้ แม่หญิงบอกว่า เดี๋ยวตอนกลางคืน แม่หญิงจะจัดการ วันต่อมา ผลออกมา หายห่วง"

ทอมพยักหน้า เมื่อได้รับฟังอิทธิฤทธิ์แห่งแม่หญิงสาวิตรี หากจัดการได้ตามนั้นจริง ถือว่าสร้างศรัทธา และ ความมั่นใจให้กับเหล่าลูกศิษย์ได้อย่างมาก

ประตูห้องถูกเปิดออก ครูปั้นเดินออกมาทักทาย

ทั้งพิจิตร และ ฐิติชญายกมือไหว้

ครูปั้นยกมือรับไหว้

"มาพร้อมกันแล้ว ก็เชิญเข้ามาในห้องเลย"

******************************************************************************

ในห้อง ศิษย์สามคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหาครูปั้น ผู้นำแห่งสำนักกำลังหลับตาร่ายคำบริกรรมสักพัก แล้วก็เริ่มสนทนา ทั้ง ๆ ที่ เปลือกตายังปิดอยู่

"ยินดีที่เราได้เจอกันซะที หนูฐิติชญา !" ครูปั้นชะโงกหน้าเข้าหาทอม

ทอมยกมือขึ้นพนม

"สวัสดีค่ะ ! ท่านคือ....."

"ชั้นคือ แม่หญิงสาวิตรี ! วันนี้รู้สึกยินดีที่ได้เจอกับเธอ เธอเป็นแสงสว่างของพวกเรา ฐิติชญา" ลีลาการพูดของครูปั้นเปลี่ยนเป็นกระชับ รวดเร็วมากขึ้น ต่างจากลีลาการพูดของพระศรี ฯ

"ค่ะ !" ผู้เป็นแสงสว่าง ได้แต่ตอบรับ

"ชั้นเรียกพวกเธอมาด้วยเรื่องสามเรื่อง เรื่องแรก สะสางกันก่อน จะได้ทำการต่อไปได้อย่างราบรื่น ความไม่เข้าใจในระหว่างพวกเรากันเอง ขออย่าให้มี"

ครูปั้นยื่นหน้าไปทางพิจิตร

"เธอคงไม่มีอะไรขัดข้องนะ ชั้นจะสะสางเรื่องนี้ก่อนเป็นเรื่องแรก ?"

"ครับ !" พิจิตรตอบรับ เพราะรู้อยู่ก่อนหน้านี้แล้วว่า เขาจะโดนสะสางเรื่องใด

แม่หญิงสาวิตรีสนทนาต่อ ผ่านร่างครูปั้นที่กำลังหลับตา

"หนูฐิติชญาสื่อสารมาถึงครูปั้นเมื่อคืนวันก่อน เรื่องที่เธอไม่สบายใจเล็กน้อย เล็กน้อยใช่มั้ย ?" เธอยื่นหน้ามาทางทอมอีกครั้ง

ทอมรู้ทันทีว่าท่านกำลังจะกล่าวถึงเรื่องใด จึงตอบ

"ค่ะ ! เล็กน้อย !"

ร่างกลับสั่นหัว

"ไม่เล็กน้อยนะ ! ดีแล้วที่เธอสื่อสารมา อย่าเก็บไว้ในใจ" แล้วหันหน้ามาทางพิจิตร

"พิจิตร เธอจงขอโทษฐิติชญาต่อหน้าซะเดี๋ยวนี้"

พิจิตร หันมามองหน้าแฟนสาว แล้วพูดขึ้น

"ขอโทษครับ !"

"ขอโทษในสิ่งใด กล่าวออกมาด้วย" แม่หญิงสาวิตรีเน้น

"ขอโทษที่ได้สั่งให้เค้านำเป็ดตัวนั้น มาทำเป็นอาหาร"

"ฐิติชญา เธอได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย ?"

ทอมพยักหน้า แล้วตอบ

"ค่ะ !"

"พิจิตร เธอจงให้สัญญากับชั้น แม่หญิงสาวิตรี ว่า จะไม่ทำสิ่งที่ทำให้หนูฐิติชญาเสียใจแบบนั้นอีก"

"ครับ ! ผมสัญญา ! ผมจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นอีก"

แม่หญิงผงกหัว

"ดี ! เธอน่ะ เป็นคนไม่ละเอียดนะ พิจิตร ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดของจิตใจผู้หญิง จะเป็นแต่ทหารสู้กับศัตรูอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีใจละเอียดดูแลใส่ใจคนรอบข้างด้วย"

"ครับ ! ผมจะปรับปรุงครับ"

แม่หญิงหันหน้ามาทางฐิติชญาอีกครั้ง

"เธอสบายใจหรือยัง ?"

ผู้ชายที่พูดคำว่าขอโทษ คือ ลูกผู้ชาย แค่นี้ก็เกินกว่าที่เธอต้องการแล้ว

"ค่ะ ! จริง ๆ ญาไม่ได้อยากได้คำขอโทษจากพี่จิตรนะคะ เพียงแต่ ญาแค่อยากให้เตือนพี่จิตรว่า การสั่งให้ฆ่าสัตว์ มันเป็นบาป ไม่ควรทำ"

แม่หญิงพยักหน้ารับรู้

"ณ ตอนนี้ พิจิตรก็ได้รับรู้แล้ว ได้กล่าวคำสัญญาแล้วว่าจะไม่ประพฤติแบบนั้นอีก เธอสบายใจหรือยัง ?"

"ค่ะ ! สบายใจแล้ว"

"ถ้ายังไม่สบายใจ ชั้นจะไม่ให้พิจิตรทำงานร่วมกับหนูนะ เค้าทำผิด เค้าต้องสำนึกผิดจนกว่าหนูจะให้อภัยเค้า เราอยู่ด้วยกัน ต้องทำงานด้วยความสบายใจ หากหนูไม่สบายใจ ทุกคนก็จะไม่สบายใจไปด้วย"

"สบายใจค่ะ ! ญาไม่ได้ถึงกับโกรธพี่จิตร แค่พี่จิตรเข้าใจว่าไม่ควรทำยังงี้อีก แค่นี้ก็จบแล้วค่ะ ญาสบายใจที่จะทำงานกับพี่จิตรค่ะ สบายใจมาตลอด ต่อไป ก็สบายใจด้วย"

เธอส่งยิ้มให้พิจิตร เขาก็ยิ้มแล้วผงกหัวรับ

"เช่นนั้น ข้ามไปเรื่องที่สอง

บัดนี้ สำนักของเรา แยกออกมาจากกลุ่มอารยะเมตตาจิต เราจะไม่ใช่ชื่อนั้นอีก พระศรี ฯ จะเป็นคนประทานชื่อใหม่ให้ เร็ว ๆ นี้ เมื่อได้ชื่อแล้ว เราจึงจะประกาศให้ทุกคนทราบต่อไป ในระหว่างนี้ วิชาลองดูว่า เรายังจะหานักเรียนใหม่มาฝึกได้จากที่ไหนบ้าง ต่อไปนี้ ชั้นก็ขอคัดเฉพาะคนรุ่นใหม่ อายุเกินห้าสิบ ชั้นไม่อยากจะรับ เพราะความคิดต่าง ๆ มันเปลี่ยนกันยาก"

วิชาพยักหน้ารับรู้ เขาถามขึ้น

"แล้วทางด้านธุรกิจ คงเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ ? ธุรกิจที่มาสนับสนุนเรา คงไม่ได้เกี่ยงที่อายุว่ารุ่นใหม่รุ่นเก่า"

"เข้าใจถูกต้อง ! ทางฝ่ายครอบครัวแก่งอุดมเค้ารู้ดีว่าจะบริหารส่วนนั้นอย่างไร ก็ปล่อยให้เป็นไปตามที่เค้าถนัด"

ทอมรู้สึกว่าน้ำเสียงและสำนวนของแม่หญิงสาวิตรี มีความเป็นสาว อ่อนวัยกว่าครูปั้นซึ่งเป็นร่าง

".... คราวนี้ มาถึง เรื่องสุดท้าย ....." แม่หญิงทิ้งประโยคเกริ่นไว้ แล้วนิ่งไป หลายอึดใจ จนศิษย์ทั้งสามเริ่มจ้องใบหน้าครูปั้น

น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิททั้งสองข้าง ผู้นำหญิงแห่งเนินพระศรีเริ่มหายใจแรงขึ้น น้ำตาหยดลงมาที่ตัก

พิจิตรสะกิดทอม แล้วพูดเบา ๆ

"ญา ออกไปเอากล่องกระดาษทิชชู่ที่ห้องรับแขกเข้ามาดีกว่า"

แฟนสาวพยักหน้า แล้วรีบลุกเดินออกไป สักพักก็กลับเข้ามาพร้อมกล่องกระดาษทิชชู่ ทรุดตัวลงนั่ง แล้วดึงกระดาษยื่นให้กับมือของครูปั้น

แม่หญิงรับกระดาษขึ้นซับน้ำตา เอ่ยขึ้น

"ขอบใจ ! ขออภัยเธอทั้งสาม ที่ชั้นกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอคงอภัยให้ชั้นได้นะ"

วิชาตอบเป็นคนแรก

"ได้ครับ แม่หญิง มีอะไรไม่สบายใจ เชิญระบายออกมาได้ พวกเรารับได้"

พิจิตรตอบบ้าง

"ใช่ครับ ! เรารับฟังได้ครับ ถ้าแม่หญิงจะเล่า"

แม่หญิงพยักหน้า เปลี่ยนจังหวะการพูดเป็นเนิบ ๆ

"เมื่อสองคืนก่อนหน้านี้..... " แม่หญิงชะงัก แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกชุด ทอมวางกระดาษทิชชูไว้ข้างหน้าแม่หญิงให้เธอดึงกระดาษได้ด้วยตนเอง

แม่หญิงดึงกระดาษขึ้นซับน้ำตา

".... เมื่อสองคืนก่อนหน้านี้ ชั้นนอนน้ำเหลืองไหล คิดว่าอาจจะไม่รอดแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ใครก็ช่วยไม่ได้..."

ถึงแม้แม่หญิงสาวิตรีใช้คำว่า 'ชั้น' แต่ทอมเข้าใจว่า หมายถึงครูปั้น เพราะ แม่หญิง คือ ครูปั้น

"....เพราะแรงต้านจากฟากโน้น ส่งมากระทบ หวังจะเอาให้ถึงชีวิต ก็นอนอย่างนั้นอยู่ตั้งแต่สามทุ่ม พยายามเรียกพระศรี ฯ ท่านก็ไม่มา ชั้นก็คิดว่าชั้นตายไม่ได้ เพราะภารกิจของพระศรี ฯ ยังไม่สำเร็จ แต่มันก็อ่อนแรงจนแทบจะขาดใจ สุดท้ายท่านปู่ชีวก ก็มาตอนตีสี่ บอกว่า อาการจะเริ่มดีขึ้นแล้ว สิ่งที่มากระทบ ก็มาจากคู่เวรคู่กรรม เราส่งพลังไปปราบเค้า เค้าก็ส่งพลังกลับมาทำร้ายเรา..."

ทอมรู้สึกสงสารจับใจ

"..... วันนั้น ช่วงบ่ายคนของเราที่แพร่ สื่อสารมาบอกว่ามีไฟป่าที่นั่น ขอให้แม่หญิงส่งพลังไปช่วย ชั้นก็บอกไปยังศิษย์ที่พอช่วยได้ ให้ส่งพลังไปที่นั่น ไฟป่าดับได้ภายในสี่ชั่วโมง มีใครที่ไหนทำได้เช่นนี้ ? เพราะชั้นสื่อสารบอกกับรุกขเทวดา เจ้าทุ่ง พระแม่ธรณี พระพาย ร่วมมือกัน เปิดทางให้เราดับไฟ ไฟที่แพร่ดับได้ แต่ตัวชั้นโดนแรงต้านจากฝ่ายตรงข้าม เล่นงานระบบภูมิคุ้มกัน เย็นนั้นชั้นก็ทรุดทันที...."

พิจิตรถอนหายใจเฮือกยาว

"..... ถ้าฝ่ายตรงข้ามยังอยู่ ภารกิจต่าง ๆ ของพระศรี ฯ ลำบากแน่ ชั้นก็ต่อรองกับพระศรี ฯ ในเมื่อแม่หญิงสาวิตรี รับปากว่าจะปฏิบัติภารกิจที่ไม่มีใครที่ไหนปฏิบัติได้ แต่พระศรี ฯ ต้องช่วยแม่หญิง โดยการเปิดทางให้เราปราบศัตรู เปิดทางให้ชั้นเจรจากับท่านพระยายม ท่านยมฑูต เปิดทางให้เราปราบมารได้ ไม่เช่นนั้น ชั้นเองก็เหนื่อย งานบ้านเมือง การพยุงสถาบันต่าง ๆ งานภัยพิบัติ งานสร้างนักเรียนพระศรี ฯ การสอนธรรมะครองเรือน การช่วยคนป่วย แล้วยังต้องโดนการกระทบจากมารอีก สังขารนี้มันจะทนไม่ไหว.... "

น้ำตาไหลออกมาจากเปลือกตาของแม่หญิงอีกระลอก

วิชาหันมามองหน้าพิจิตร เขาบ่นพึมพำ

"ตั้งแต่รู้จักแม่หญิง ไม่เคยได้ยินแม่หญิงพูดว่าทนไม่ไหว ครั้งนี้เป็นครั้งแรก "

แม่หญิงพยักหน้าทั้งน้ำตา

"ใช่ ! เป็นครั้งแรก ! เพราะถ้าชั้นถึงคราวจะต้องป่วยหนัก ชั้นจะได้ใช้เวลาเตรียมตัวตายซะดีกว่า ทายาทที่กำลังจะมารับงานต่อ ชั้นก็สอนอะไรให้เขาไม่ได้ เพราะถ้าสังขารชั้น ยังต้องถูกรบกวนด้วยฝ่ายตรงข้ามอยู่เป็นประจำ จะมีแรงที่ไหนทำงานเพื่อส่วนรวม ? "

พิจิตรถามขึ้น

"แม่หญิงเคยบอกว่า ทหารเอกของพระศรี ฯ ช่วยต้านแรงจากฝ่ายตรงข้ามได้ ที่พวกเราส่งพลังทุกค่ำ อันนี้ช่วยไม่ได้เลยเหรอครับ ?"

แม่หญิงพยักหน้า

"ช่วยได้ ! ยิ่งได้พลังจากหนูฐิติชญา นี่คือความหวังใหม่ พระศรี ฯ ท่านก็ได้บอกแล้วว่า หนูฐิติชญาคนนี้ มีพลังที่มากที่สุด ถึงได้เป็นทหารเอกมือขวา หากได้หนูมาช่วยต้าน ขอให้ชั้นได้มีพลังในการสานต่อภารกิจ จากหนักก็กลายเป็นเบา"

ทอมรับปากทันที

"ได้ค่ะ ! ญาทำเต็มที่ บอกมาเลยค่ะ นอกจากที่ญาทำอยู่ทุกวันแล้ว ถ้าแม่หญิงจะปรับปรุงแก้ไขอะไร ญายินดีทำ"

แม่หญิงพยักหน้ารับรู้ แล้วยื่นหน้ามาทางทหารเอกมือขวา

"หนูไม่เหนื่อยหรือ ?"

ญาสั่นหัว

"ไม่เหนื่อยค่ะ ! ถ้าทำเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ เพื่อสังคม ถึงเหนื่อย ญาก็ภูมิใจ"

แม่หญิงพยักหน้ารับรู้

"ขอบใจน้ำใจของเธอ เธอมีจิตใจที่ดีงาม เมื่อพูดถึงส่วนรวม เธอไม่ถามซักไซร้ใด ๆ ตกปากรับคำทันที การตัดสินใจเด็ดเดี่ยวของเธอ หายากนะ

ตัวแทนสามโลก ได้แจ้งมาว่า ตั้งแต่วันนี้ไป จนถึงขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนหน้า ฟ้าดินจะเปิดทางให้เราปราบมารได้ ฉะนั้น ช่วงเวลานี้ ชั้นจะระดมพลังปราบมารให้อยู่ มารถึงเวลาจะได้รับในสิ่งที่มันก่อไว้ มีเวลาประมาณแค่เดือนเดียวเท่านั้น ช่วงเวลานี้ เราจะตั้งใจกำจัด ไม่ใช่แค่กำราบ ที่ผ่านมานั้น เราเพียงกำราบให้ชะงักเท่านั้น แต่เวลานี้ โลกทั้งสาม เบื้องบน โลกมนุษย์ และ เบื้องล่าง เปิดทางให้มาร ต้องรับกรรมเก่าที่ก่อไว้ เราจะใช้เวลาช่วงนี้ กำจัดให้สิ้น

หนูฐิติชญา พร้อมนะ ?"

"ค่ะ ! ญาต้องทำยังไงบ้างคะ ?"

"สิ่งที่หนูต้องทำ ก็เหมือนเดิม คือ การส่งพลังธาตุไฟไปยิงทิศเดิม แต่ตั้งแต่คืนนี้ หนูจะสัมผัสได้ว่าพลังของหนูมากขึ้น เพราะ ศิษย์สายอื่น สายอิสาน สายเหนือ สายใต้ จะส่งพลังมารวมกันที่หนู บ่ายนี้ ครูปั้นจะสื่อสารไปบอกพวกเขา พวกเขาจะเริ่มส่งพลังมารวมกันที่หนู ณ เวลาหนึ่งทุ่ม เพื่อให้หนูรวมพลัง แล้วส่งไปปลายทาง"

"ญาจะรวมพลังยังไงคะ ? ญาไม่เคยทำ จะมีใครสอนญาก่อนมั้ยคะ ?"

"ไม่ต้องสอน ! เมื่อถึงเวลาหนูทำสมาธิตามปกติ พลังของทุกคนจะมารวมกันที่หนูเอง หนูจะรู้สึกว่าพลังมากขึ้น แล้วก็ส่งไปตามเดิม"

ทอมพยักหน้า เธอจินตนาการไม่ได้ว่า การรวมพลังจากผู้อื่น แล้วส่งออกไป มันจะมีความรู้สึกยังไง เธอเพียงแค่ทำตามที่เธอเคยทำมาทุกคืน คืนนี้คงสัมผัสได้เองว่าแตกต่างจากเดิมอย่างไร

***********************************************************************************

1 < อ่านหน้า > 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่