ตอน 32 หน้า 1

มึนเป็ด

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

ฝนเริ่มตกตั้งแต่ช่วงสายวันอาทิตย์ เป็นการต้อนรับผู้มาเยือนจากภูเก็ต สู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ชูศักดิ์ขนเครื่องประดับบ้านที่ทำด้วยไม้ สองสามชิ้นขึ้นรถกระบะมาด้วย เพื่อเป็นของกำนัลกับสองพี่น้อง ธเนศ และ วายุ

สายฝนเริ่มโปรยต้อนรับอาคันตุกะจากภูเก็ตทันทีที่รถเคลื่อนตัวเข้าจอดที่จอดรถ

ชูศักดิ์จ้องป้ายร้านอาหาร บ้านลุงมูล ติดอยู่ที่โคนต้นไม้ อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ามาไม่ผิดร้าน

พนักงานชายวิ่งถือร่มคันใหญ่มารอข้างประตูคนขับ

พ่อเจ้าเปี๊ยกเดินตามพนักงานเข้ามาในเรือนไม้ของร้านอาหาร

สองพี่น้อง ธเนศ และ วายุ ยืนรอต้อนรับอยู่

ชูศักดิ์รีบยกมือขึ้นไหว้สองพี่น้องแห่งสุราษฎร์ ฯ

ธเนศรูปร่างผอมกว่า และ สูงกว่าน้องชายเล็กน้อย ผิวคล้ำ ผมสีขาวโพลนเกือบทั้งศรีษะ ใส่แว่นกรอบทอง หน้าตายิ้มแย้ม

"หายากมั้ยครับ ร้านนี้ ?" ธเนศพูดภาษากลางที่ติดสำเนียงใต้

"ไม่ยากครับ ถ้ามาตามแผนที่ ผมไม่เคยมาที่บางใบไม้ ร้านนี้บรรยากาศดีจัง"

"สบาย ๆ สไตล์สวนอาหาร ร้านดังครับ อาหารอร่อยทุกอย่าง เดี๋ยวลองชิมดู ไปนั่งคุยกันที่โต๊ะดีกว่า วันนี้ฝนตกต้องนั่งข้างใน วันที่ฝนไม่ตก นั่งข้างนอก ได้บรรยากาศ"

สองพี่น้องเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร

ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะไม้ใต้ชายคา ฝนโปรยลงมาอย่างเบา ๆ แต่ไม่มีลมกรรโชก ทำให้ละอองฝนไม่รบกวนโต๊ะอาหาร

ชูศักดิ์เริ่มถามคำถามที่ต้องการรู้

"คุณธเนศ และ คุณวายุ รู้จักกับคนกลุ่มนี้ได้ยังไงครับ ?"

วายุชี้นิ้วไปที่พี่ชาย

"ให้พี่เนศเล่าดีกว่า"

พี่ชายพยักหน้า

"จะเรียกว่ากลุ่มนี้ไม่ได้หรอก เพราะตอนนั้นยังไม่มีกลุ่มอะไรทั้งนั้น ประมาณซักยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ผมพาแม่ไปรักษาอาการปวดกระดูก มีน้องคนนึงที่ทำงาน เคยไปรักษาโรคหืดหอบที่นั่น แล้วมาแนะนำต่อ ผมก็ลองพาแม่ไป แม่ไม่อยากจะผ่าตัด

น้องก็พาผมไปหาผู้หญิงคนนึง ชื่อ ปั้น เธอเป็นคนที่ติดต่อกับเทพได้ แต่ไม่ได้ทรงแบบหลับตาแล้วสั่นพั่บ ๆ เธอแค่หลับตาแล้วก็พูดคุย ตอนนั้นคุณปั้นน่าจะอายุยี่สิบปลาย ๆ ผมเจอครั้งแรกก็แปลกใจ ยังเป็นสาวอยู่เลยมาทำทางด้านนี้แล้ว

ตอนนั้นไปหาที่บ้านแถวดอนเมือง ทางเปลี่ยวมาก เป็นบ้านไม้เล็ก ๆ เธอก็เก็บค่าครูแค่ร้อยกว่าบาท เธอตรวจแม่ผม แล้วก็นวดจับเส้นให้ แล้วก็บอกสูตรยาให้ไปหาต้มเอง ไปหาซักสองสามครั้ง ในเวลาซักสามเดือน อาการแม่ผมดีขึ้นมาก จนเกือบเป็นปกติ คือ อาการปวดแทบจะไม่มี เดินได้ปกติ ถือว่าอัศจรรย์

ต่อมาผมก็พาเพื่อน ๆ พาญาติไปเยอะแยะ รวมทั้งวายุนี่ด้วย ตอนนั้น วายุมีปัญหาสายตา เธอก็กดจุดให้ แล้วก็แนะนำวิธีฝึกพลัง ก็อาการดีขึ้น จนหายขาด"

วายุพยักหน้า

"จนบัดนี้ ไม่มีอาการอีกเลย ตอนนั้นผมเคืองตา ตาพร่า น้ำตาไหลตอนบ่าย ๆ ทุกวัน คุณปั้นให้เอาน้ำเปล่าเสก แล้วล้างตา ทุกวัน ให้สมุนไพรไปต้มกิน ล้างท่อน้ำตา แล้วก็ให้ท่ากายบริหาร ทำทุกวัน ผมทำจนทุกวันนี้ ยังทำอยู่ สายตายังดีเป็นปกติ ไม่สั้น ไม่มีต้อ มีแต่สายตายาว ซึ่งนี่ถือว่าธรรมชาติ"

ชูศักดิ์พยักหน้ารับฟัง

"แล้วเธอเป็นร่างให้เทพองค์ไหนเหรอครับ ?"

ธเนศตอบ

"หลายองค์ ! เธอเล่าว่าแรกเริ่มเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงธรรมดา ไม่ได้มีความรู้เรื่องการติดต่อกับเทพเทวดา ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จนเธอเริ่มป่วยแบบไม่มีสาเหตุ ระหว่างป่วยก็ฝันถึงผู้หญิงแต่งชุดโบราณบอกว่าเป็นแม่หญิงในอดีต จะมารักษาเธอให้หาย แต่เธอต้องยอมติดต่อกับท่าน พอเธอยอมรับ เธอก็หาย

หลังจากนั้น เธอก็ติดต่อกับเทพต่าง ๆ ได้ มีทั้งเทพที่มารักษาโรค เทพที่มาดูเรื่องโชคชะตา พิธีกรรม เธอต้องใช้ชีวิตเพื่อช่วยคน ถึงจะมีชีวิตอยู่ได้"

พนักงานเริ่มนำอาหารจานแรกมาเสิร์ฟ....หอยขมผัดฉ่า ทั้งกลิ่น และ หน้าตาอาหารบอกว่ารสชาติน่าจะจัดจ้าน ทำให้ชูศักดิ์ต้องกลืนน้ำลาย

ผู้มาเยือนจากภูเก็ต มองที่จานอาหารแล้วถามขึ้น

"คุณธเนศ กับ คุณวายุ ดื่มด้วยหรือเปล่าครับ ?"

วายุเลิกคิ้ว

"หมายถึงเหล้าเหรอ ? ไม่ ไม่ ! ผมเลิกดื่มไปนานแล้ว พี่เนศก็ไม่ดื่ม คุณจะดื่มมั้ยล่ะ ?"

ชูศักดิ์สั่นหัว

"ไม่ครับ ! แต่เห็นอาหารที่สั่งมา ผมคิดว่าคนที่ชอบดื่มเหล้าน่าจะชอบ แค่กลิ่นเครื่องเทศก็ล่อน้ำลายผมออกมาเต็มปากแล้วครับ"

ธเนศพยักหน้า

"คุณลองชิมดู แล้วจะรู้ว่าไม่ต้องปรุงอะไรแล้ว อาหารที่นี่ไม่ใช่อาหารเผ็ดจัด เป็นอาหารกลาง ๆ แต่ขาเหล้าก็มากินทุกเย็นวันศุกร์เหมือนกัน"

"เดี๋ยวรออาหารให้ครบค่อยทานก็ได้ครับ ผมยังไม่หิว ขออนุญาตถามต่อนะครับ แล้วไปยังไงมายังไง ถึงกลายเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมใหญ่โตล่ะครับ ?"

ธเนศเล่าต่อ

"ก็มีคนมาขึ้นเยอะ คงมาจากปากต่อปากที่บอกไป ที่จอดรถก็ไม่มี คับแคบ ต่อมาก็ไปซื้อบ้านที่ลำลูกกา ย้ายไปที่ใหม่ ทั้งข้าราชการ พ่อค้า นักการเมือง ก็มากันมากมาย"

"มาให้รักษาโรคเหรอครับ ?"

"ไม่ใช่แค่คนป่วย แต่เรื่องให้ช่วยกิจการงาน ช่วยเรื่องครอบครัว ความรัก จิปาถะ"

"ส่วนใหญ่ก็คงได้ผลล่ะสิครับ เค้าเรียกว่าอะไรดี เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ใช่มั้ยครับ ? ไม่ใช่พวกหลอกลวง"

ธเนศสั่นหัว

"ไม่ใช่หลอก ! รักษาแม่ผมหายได้ นั่นคือของจริงครับ ผมเองก็มีประสบการณ์กับตัวเอง หลายครั้งที่มีเรื่องจำเป็นต้องให้ท่านช่วยเหลือ ก็เห็นผล ทำให้ผมศรัทธา มีคนที่ผมแนะนำไปเยอะแยะ ส่วนใหญ่นะครับ บอกว่าเห็นผล มีไม่เห็นผลเหมือนกัน แต่ก็เป็นส่วนน้อย แล้วคุณปั้น ก็ไม่ได้เรียกร้องเงินทองอะไร ขอแค่ค่าครู ส่วนใครที่ได้ดีแล้ว จะไปตอบแทนทีหลัง นั่นเป็นอีกเรื่องนึง"

ชูศักดิ์พยักหน้าอีกครั้ง

"ก็โอเคนะครับ เรียกค่าครูแค่ร้อยกว่าบาท ถ้ารักษาโรคได้ ขอให้ช่วยแล้วสำเร็จ เป็นผม ผมก็ต้องตอบแทน อย่างนี้ถือว่าน่าศรัทธาครับ"

"พอย้ายไปที่บ้านลำลูกกา มีคนไปขึ้นเยอะ ผมมารู้จักหลายคนก็ตอนที่มีงานบวงสรวงประจำปีครั้งแรก ที่บ้านหลังเก่าจัดงานไม่ได้ เพราะเพื่อนบ้านจะด่าเอา มาบ้านหลังใหม่เป็นหมู่บ้าน พอมีที่จอดรถ ก็เริ่มจัดงานปีแรก แล้วคุณปั้นก็ประกาศในที่นั้นว่า จะรับลูกศิษย์เพื่อสอนวิชาต่าง ๆ ไม่อยากให้วิชาพวกนี้สูญหาย"

วายุผู้น้องพูดเสริมขึ้น

"พี่เนศเล่าเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองที่ต้องช่วยด้วย เค้าจะได้เข้าใจมากขึ้น"

พี่ชายพยักหน้า

"วันที่บวงสรวง คุณปั้นก็พูดถึงภารกิจที่เธอต้องทำ คือ ต้องมาช่วยชาติบ้านเมือง อยากขออาสาคนที่ศรัทธามาเป็นศิษย์ เพื่อทำภารกิจ"

"ช่วยชาติบ้านเมือง หมายถึง ช่วยอะไรครับ ? ช่วยยังไงครับ ?"

"ก็ช่วยขจัดความวุ่นวาย ทั้งการเมือง ทั้งภัยธรรมชาติ รักษาสถาบัน สร้างสังคมให้สงบสุข"

ชูศักดิ์เผลอหัวเราะเบา ๆ

"หึ ๆ ! ทำได้ขนาดนั้นเชียว !" ทันทีที่รู้ตัวว่าหลุดปาก เขารีบยกมือขึ้นขออภัย

"ขอโทษครับ ! ผมเสียมารยาท ไม่ได้ดูถูกครับ เพียงแต่ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่ไปหรือเปล่า ?"

ธเนศยกมือขึ้นโบก

"ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ! พูดตรง ๆ นั่นแหละ ดีแล้ว ! ผมไม่ถือสาหรอก เพราะตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นศิษย์เป็นสาวกของที่นั่นแล้ว ผมไม่โกรธหรอก"

วายุพูดขึ้น

"คุณน่ะเป็นห่วงลูกชายมาก จนไม่อยากให้แกเข้าไปยุ่งกับเรื่องราวที่คุณไม่คุ้นเคย ผมเข้าใจ เราสองคนก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับที่นั่นแล้ว จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผมสองคนคงไม่เกี่ยว แต่สิ่งที่ยืนยันได้แน่นอน ซึ่งผมก็ได้ยืนยันไปแล้วว่า ผมเชื่อว่า ลูกชายคุณ เป็นท่านผู้นำกลับชาติมาเกิดจริง ซึ่งเมื่อแกโตขึ้น หากแกเริ่มจำความได้ แกต้องกลับเข้าไปที่นั่นแน่"

เขาหันหน้ามาทางพี่ชาย

"หรือพี่เนศว่าไง ?"

พี่ชายไม่ได้คัดค้าน ไม่ได้อือออด้วย

"ฟังเรื่องต่อก่อน ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องมาถึงท่านผู้นำเลย คุณชูศักดิ์คงยังต่อไม่ติดว่าท่านผู้นำเป็นใคร"

"นั่นน่ะสิครับ ! ไอ้ที่มาถึงที่นี่ก็อยากรู้ว่าชาติที่แล้ว เจ้าเปี๊ยกผุดไปเกิดเป็นใคร ทำไมมันถึงใหญ่โตนักวะ ?" น้ำเสียงที่กระแทกปลายนิด ๆ ของเขา ทำให้สองพี่น้องอมยิ้ม

ปลาจาระเม็ดทอดกระเทียม กรรเชียงปูสด พร้อมโถข้าวเปล่า ถูกนำมาเสิร์ฟ

วายุผายมือ

"ทานไปคุยไปนะครับ"

ชูศักดิ์เอื้อมมือไปหยิบโถข้าวเปล่าเพื่อบริการเจ้าบ้านสองท่านที่อาวุโสกว่า

"ผมตักให้ครับ ! คุณธเนศทานก่อนครับ ทานเสร็จแล้วค่อยเล่าต่อ"

"ไม่เป็นไร ! คุณทานไป ผมเล่าไปเรื่อย ๆ ผมยังไม่หิว คุณก็ฟังไปแล้วกัน"

ธเนศเล่าความหลังต่อ

"วันบวงสรวงครั้งแรก ผมถึงรู้ว่าที่นั่นมีคนไปขึ้นเยอะ เพราะทุกครั้งที่ไปหาที่บ้านไม้เล็ก ๆ ผมก็ไม่เห็นมีใครไปรอ คุณปั้นเธอนัดคนเป็นช่วงเวลา เผื่อเวลาไว้ไม่นัดให้ซ้อน ไปทุกครั้งก็ไม่เคยเจอแขกคนอื่น แต่พอวันมีงานใหญ่ครั้งแรก คนมากันสามสิบกว่าคน มีคนในเครื่องแบบ พ่อค้า คนธรรมดา คุณนาย ชาวบ้าน มีครบ...."

ชูศักดิ์ตักอาหารเข้าปาก พยักหน้ารับรู้

ธเนศพูดต่อ

".... วันนั้นคุณปั้นก็ประกาศว่าจะเปิดรับนักเรียนเพื่อเรียนธรรมะครองเมือง กับ แพทย์แผนอารยะ เป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์ใช้ดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว ดูแลสังคมได้ ใครสะดวกก็ไปสมัครเข้าเรียน เรียนฟรี ใช้สถานที่ที่บ้านลำลูกกานั่นแหละ ตั้งชื่อว่า ศูนย์ปฏิบัติธรรมมหาศรัทธาโพธิสัตว์"

ชูศักดิ์ทวนคำ

"ธรรมะครองเมือง กับ แพทย์แผนอารยะ... อืม น่าสนใจนะครับ มันคืออะไรครับ ?"

"เอาสั้น ๆ นะ ธรรมะครองเมือง ก็คือหลักธรรมะให้คนรู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่โกง ไม่เห็นแก่ตัว ทำเพื่อชาติ ส่วนแพทย์แผนอารยะ ก็เป็นความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพมาจากตำราโบราณ มีพวกท่าคล้าย ๆ ฤาษีดัดตน มีการนั่งสมาธิ เพื่อรักษาตัวเอง แต่ฝึกไปเรื่อย ๆ ก็รักษาคนอื่นได้ด้วย"

"สมบูรณ์แบบเลยนะ ! ฟังแล้วน่าเข้าเรียนมาก ๆ" ชูศักดิ์พยักหน้าเห็นด้วย

วายุพยักหน้า

"ใช่ ! ผมก็ลงชื่อเรียนด้วย สองพี่น้อง เรียนทั้งคู่เลย"

"เหรอครับ ? ดีจัง ! แล้วเค้าสอนอะไรบ้างครับ ?"

วายุหัวเราะ

"มันผ่านมานานแล้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าเล่า ก็ยาวเลย ยิ่งตอนสอนท่าฤาษีดัดตนนี่ ต้องสาธิตกัน ผมทำไม่ได้หรอก พี่เนศทำได้มากกว่าผม"

"อ้อ ครับ ๆ ! ไม่ต้องเล่าละเอียดครับ ข้าม ๆ ไปที่เรื่องสำคัญเลยครับ" เขาพูดแล้วหัวเราะ

ธเนศเล่าต่อ

"ครั้งแรก ก็มีคนสมัครเรียนสิบกว่าคน เรียนเดือนละหนึ่งวัน วันละสามชั่วโมง ซักประมาณสองปี ก็มีนักเรียนเพิ่ม บางคนก็ไม่สะดวกออกไป คนมาใหม่ก็มาเรียน ผ่านไปน่าจะ สองสามปี ก็มีการตั้งศิษย์มือขวา ศิษย์มือซ้าย แล้วต่อมา ก็ตั้งเป็นทายาท"

"ทายาทของใครครับ ?" ชูศักดิ์ถามขึ้น

วายุท้วงพี่ชาย

"พี่เนศยังไม่ได้เล่าถึงเรื่องพระศรี ฯ เลย ต้องเล่าเรื่องพระศรี ฯ ก่อนว่าท่านมายังไง ไม่งั้นคุณชูศักดิ์จะงง"

พี่ชายพยักหน้าเห็นด้วย

"อือ ใช่ ! ถ้าจะเล่าเรื่องพระศรี ฯ ต้องเล่าเรื่องเนื้อหาในห้องเรียนก่อน แต่เล่าไปคุณก็คงยังงง เอาเป็นว่า ถ้าสงสัยตรงไหน ก็ถามมาแล้วกัน ผมจะเล่าไปเรื่อย ๆ ก่อน...."

ชูศักดิ์พยักหน้าหงึก ๆ

"....เนื้อหาในห้องเรียน ก็จะมีส่วนที่ต้องนั่งสมาธิ อย่าง เรียนฤาษีดัดตน ท่านสอนให้หลับตา ทำสมาธิ แล้วอาราธนาครูในอดีตมาดูแลเรา เอ้อ...! ที่ผมเรียกว่า 'ท่าน' ผมหมายถึง เวลาครูปั้นสอน ก็จะเป็นองค์เทพมาสอน คือ เหมือนกับใช้ครูปั้นเป็นสื่อ แต่ความจริงมีองค์มาสอน ผมก็เรียกว่าท่าน

ท่านที่มาสอนเรื่องแพทย์นี่ เป็นองค์ปู่ของไทยบ้าง องค์เทพทางจีนบ้าง ส่วนท่านที่มาสอนเรื่องธรรมะครองเมืองนี่ จะเป็นพระศรี ฯ

พระศรี ฯ เป็นองค์ใหญ่ที่สุดที่วางนโยบายหลักทั้งหมด ท่านมาเพื่อฟื้นฟูศาสนา สร้างสังคมเพื่อเตรียมรับยุคพระศรีอารย์

การจะเปลี่ยนสังคมไม่ใช่ทำแค่ปีสองปีจบ ต้องทำกันเป็นรุ่น ๆ ส่งต่อกันไป จึงต้องมีทายาท"

วายุพูดเสริมขึ้น

"เพราะชาตินึงทำไม่ทัน เกิดมาใหม่ต้องมาสานต่อของเก่าให้ได้ เรื่องนี้ก็สำคัญ ท่านผู้นำ หรือ เปี๊ยกในชาติก่อน ก็เป็นหนึ่งในผู้สืบทอดที่ท่านพระศรี ฯ ตั้งไว้"

ธเนศมองหน้าผู้มาเยือนซึ่งเริ่มขมวดคิ้ว

"เริ่มงงหรือยังครับ ? สงสัยตรงไหน ถามมาแล้วกัน ผมจะตอบเท่าที่พอจะตอบได้"

"มีคำถามเยอะเลยครับ ! เปี๊ยกชาติก่อนเป็นใคร ? ชื่อสกุลอะไร ? มีอาชีพอะไร ? อยู่ที่ไหน ? ทำไมถึงสำคัญได้รับตำแหน่งผู้สืบทอด ? แล้ว..... ที่นี่องค์เทพมีฤทธิ์มากขนาดนั้นจริงเหรอ ถึงทำให้ท่านผู้นำศรัทธา ฝากชาติหน้าไว้กับที่นี่ด้วย ?"

พ่อเจ้าเปี๊ยกยิงคำถามไม่ยั้ง

ธเนศตอบ

"ผมศรัทธาในส่วนของผม ผมตอบได้เฉพาะส่วนของผม แม่ผมหายได้จริง วายุเองก็หาย หลายคนที่แนะนำไปที่นั่นก็มีอาการดีขึ้นจริง ฉะนั้น เรื่องการเยียวยารักษาโรคนี่ ผมศรัทธา

เรื่องสังคมกับการเมืองเนี่ย ต้องบอกว่า มีเรื่องที่เห็นจะจะอยู่หลายเรื่อง เช่น ตอนที่ท่านให้ส่งพลังไปช่วยนักการเมืองบางคนที่ป่วยอยู่ ภายในเจ็ดวัน อาการพลิกจากป่วยหนัก กลายเป็นหายดี

คนในเครื่องแบบบางคนที่ท่านต้องการหนุนให้ได้ตำแหน่ง เช่น ทหาร ตำรวจ ก็ได้ตามนั้น เท่าที่รู้นะ ไอ้ที่หนุนแล้วไม่ได้ ก็อาจจะมี ซึ่งถ้าเรามองรวม ๆ ว่า ถ้าส่งพลังหนุนได้แบบนี้ มันก็น่าจะจัดการเรื่องใหญ่ ๆ ในประเทศได้ โดยหนุนคนดีให้ได้ตำแหน่งสำคัญ แต่ท่านก็บอกว่า ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะ ฝ่ายอื่น ก็มีพลังของเค้าเหมือนกัน เราหนุนได้ เค้าก็หนุนเค้าได้ ถ้าเค้ารู้ว่าเราหนุนฝ่ายนี้ เค้าก็เห็นเราเป็นศัตรู ส่งพลังมาทำร้ายเราได้"

ชูศักดิ์เลิกคิ้ว

"โอ้ ! เล่นกันอย่างนี้ด้วยเหรอ ?"

สองพี่น้องพยักหน้าพร้อมกัน วายุพูดบ้าง

"เล่นอย่างนั้นจริง ๆ ! คุณปั้นก็โดนเล่นงานประจำเป็นปกติ เดี๋ยวก็ป่วย คนที่ทำงานแบบนี้ ต้องเสียสละ"

ธเนศเสริม

"ผมยกย่องพวกเค้านะ ที่ยังทำกันอยู่ต่อเนี่ย ผมเองน่ะศรัทธาเรื่องการแพทย์อารยะมาก"

ผู้มาเยือนรู้สึกเกรงใจเจ้าบ้านที่สละเวลาเล่าในขณะที่เขาได้ทานอาหาร

"คุณธเนศเริ่มทานเถอะครับ ทานเสร็จแล้วค่อยเล่าดีกว่า ทั้งสามจานรสชาติสุดยอดไม่มีที่ติเลยครับ"

วายุชี้ไปที่ข้างหน้า

"นั่น มาแล้ว ! รายการสุดท้าย"

พนักงานนำหม้อไฟเดินมาวางไว้บนโต๊ะ

"ต้มยำกุ้งแม่น้ำ" วายุพูดขึ้น

ชูศักดิ์ทำตาโต

"อาหารสี่อย่าง จะทานหมดมั้ยครับ ?" เขาเหลือบดูกุ้งในหม้อ "กุ้งตัวเบ้อเริ่ม เห็นแล้วคิดถึงเมีย กับ เจ้าเปี๊ยกทันที"

ธเนศหัวเราะเบา ๆ

"ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ กิน กินไม่หมด ใส่ถุงกลับไป"

"ผมเกรงใจทั้งสองคนมากเลยครับ ความจริง ธุระก็ไม่ใช่ อุตส่าห์เสียเวลามาต้อนรับผม ผมมีเฟอร์นิเจอร์งานไม้มาฝากอยู่ในรถ เดี๋ยวทานเสร็จ ผมจะขนขึ้นรถให้ ตั้งใจเลือกมาฝากคุณธเนศ กับ คุณวายุโดยเฉพาะ"

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจ ความจริงจะบอกว่าเราไม่ใช่คนอื่นไกล ผมสองคนก็เป็นคนคุ้นเคยกับท่านผู้นำมาก่อน การได้มาเจอท่านอีกที นับว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา ไม่ใช่เหตุบังเอิญ ผมยินดีช่วยเหลือ"

"เอ่อ... ได้ยินว่า เจ้าเปี๊ยกชาติที่แล้ว ไม่ค่อยลงรอยกับคุณทั้งสองคน มันคือเรื่องอะไรเหรอครับ ?"

ธเนศนึกทบทวน ชูศักดิ์ก็ฉุกคิดได้ขึ้นมาได้ว่าเจ้าบ้านผู้พี่ ยังไม่ได้แตะอาหารเลยสักคำ เขาจึงโบกมือห้าม

"ยังไม่ต้องเล่าครับ ! ขออภัยที่ถาม ! ตอนนี้ ทานข้าวก่อนเถอะครับ อาหารร้อน ๆ ทานอิ่มแล้วค่อยคุยกัน"

ทั้งสามเริ่มจัดการกับอาหารจานเด็ดที่วางอยู่บนโต๊ะ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งสายฝน

ชูศักดิ์ทานเสร็จก่อน ขอตัวเดินกลับไปที่รถ หยิบสมุดกับปากกากลับมาร่วมโต๊ะ เขาตั้งใจจดเรื่องราวต่าง ๆ ที่จะได้ฟังจากสองพี่น้องในวันนี้ เพื่อเป็นบันทึกช่วยจำ

พ่อเจ้าเปี๊ยกทรุดตัวลงนั่งที่เดิม เขาเปิดสมุดบันทึก

"ผมเตรียมคำถามมาไว้ อยู่ในสมุดนี่ครับ ต้องจดมา ไม่งั้นจะลืม มีหลายข้อเลยครับที่อยากจะรู้ ถ้าไม่จดไว้ พอมาเจอหน้ากัน อาจจะลืม"

ธเนศพูดขึ้น

"ไม่ต้องกลัว ถ้าลืม แล้วนึกได้ทีหลัง ก็โทรมาคุยได้"

ชูศักดิ์พยักหน้า

"ครับ ๆ ! ไม่อยากจะรบกวนบ่อย ๆ ผมเกรงใจ ลูกชายคนเดียวคนนี้ ทำให้ผมต้องกลายเป็นนักสืบข้ามชาติ เวลาดูหนังที่ตัวละครกลับชาติมาเกิดอะไรพวกนี้ แล้วมานึกถึงว่า ชีวิตจริง เราเจอเข้าด้วยตัวเอง มันรู้สึกแปลก

บางวันตอนเช้า ก่อนผมจะปลุกลูกชาย ผมมองหน้ามันอยู่ตั้งนาน นี่ขนาดว่าผมทำใจได้เยอะแล้วนะ แต่พอมองเห็นมันนอนหลับ ........"

จู่ ๆ น้ำตาก็ออกมาคลอ เขาหยุดพูดหนึ่งอึดใจ

"...เพราะผมไม่รู้ว่าชาติที่แล้วมันไปเกิดเป็นใคร ทำอะไรไปบ้าง คนพวกนั้นเป็นใคร เค้ารอมันกลับไปทำอะไร แล้วถ้ามันกลับเข้าไปที่นั่น มันจะไปทำอะไร มันบอกว่าไว้ใจคุณสองคน แต่ชาติที่แล้วมันกลับไม่ถูกกับคุณสองคน แล้วผมจะไปพึ่งพาใครที่ไหน............. ยังไงมันก็คือลูกผม ผมปล่อยลูกชายให้เป็นไปตามยถากรรมไม่ได้ "

ธเนศมองหน้าน้องชาย วายุก็มีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ ชูศักดิ์ยังติดปริศนาอยู่หลายเรื่องที่คาใจอยู่ ทำให้รู้สึกอึดอัดตามประสาหัวอกคนเป็นพ่อ

เขาเลือกที่จะเป็นฝ่ายพูด เพราะน้องชายคงต้องตามใจเขาอยู่ดี

"พวกเราเรียกเปี๊ยกเมื่อชาติก่อนว่าท่านผู้นำ ก็เป็นคำเรียกที่ท่านพระศรี ฯ ให้ใช้เรียกผู้สืบทอดอันดับหนึ่ง

ไหน ๆ เปี๊ยกก็ได้เอ่ยมาว่า ไว้ใจผมสองคนพี่น้องได้ เค้าคงรู้ว่าผมสองคนคงมีอะไรบางอย่างที่ตรงกับเค้าในตอนนี้ ผมสองคนน่ะไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอก แต่ถ้าท่านผู้นำกลับมาไว้ใจผม แสดงว่า ท่านมีอะไรเปลี่ยนไป

คุณอย่าเพิ่งกังวลไป ผมคิดว่า เราสองคนน่าจะช่วยได้ แล้วก็ ยินดีช่วยนะ ถึงแม้เปี๊ยกยังจำความไม่ได้ว่า ในอดีตเราสองคนมีความเห็นอะไรไม่ตรงกับท่านผู้นำ นั่นคงไม่เป็นไรแล้วล่ะ ถ้าลองจำผมสองคนได้ แล้วกลับไม่ไว้ใจวิชา นั่นคือ เปี๊ยกมีความคิดที่เปลี่ยนไปจากท่านผู้นำ"

ชูศักดิ์กระพริบตา

"คุณธเนศจะช่วยผมวางแผนเรื่องเจ้าเปี๊ยกใช่มั้ยครับ ?"

ผู้อาวุโสแห่งสุราษฎร์พยักหน้า

"ได้ ! ผมจะเล่าให้คุณฟังก่อนว่าท่านผู้นำเป็นใคร มีความคิดอะไรของเรา ที่ไม่ตรงกัน"

ชูศักดิ์ยกมือขึ้นไหว้

"เป็นพระคุณอย่างยิ่งครับ ผมหัวเดียวคนเดียว ปรึกษาเมียก็ไม่ได้ หากได้คนที่รู้ตื้นลึกหนาบางมาช่วยกัน ผมก็สบายใจขึ้น"

ผู้มาเยือนเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งเครียดมาเป็นยิ้มแย้มทันที

ธเนศเริ่มเล่าเรื่องราวในอดีตเท่าที่เขาพอจำความได้ โดยมีน้องชายเป็นคนช่วยเสริม

***********************************************************************************

ซีวิคสีแดง เลี้ยวเข้ามาในเขตศูนย์ปฏิบัติธรรมอารยะเมตตาจิต เนินพระศรี นครราชสีมา

พิจิตรชี้ให้ทอมขับตรงเข้าไปที่ศาลาไม้

เด็กนักเรียนหญิงชายวัยประถมในชุดลำลองจำนวนไม่ต่ำกว่าสามสิบคน เดินขวักไขว่อยู่บนทางเดินบริเวณหน้าศาลาไม้

ฐิติชญา กับ แฟนหนุ่มบึ่งรถมาจากกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ช่วงสาย เพื่อมาร่วมอำลาการเรียนครั้งสุดท้ายของโครงการปลูกฝังนักเรียนแห่งพระศรี ฯ

พิจิตรกับทอม ถอดรองเท้าวางไว้บนที่เก็บรองเท้าหน้าศาลา แล้วพากันเดินเข้าไป

กลางศาลา ครูปั้นนั่งบนพื้นไม้ มีเด็กนักเรียนวัยประถมห้อมล้อมเกือบสิบคน ผู้ช่วยครูอาสาอีกห้าหกคนนั่งอยู่วงนอก

สองหนุ่มสาวย่อตัวลง คุกเข่า แล้วค่อย ๆ คลานเข้าไปร่วมกลุ่มอยู่ด้านหลัง

สีหน้าของเด็ก ๆ ทุกคนเศร้าสร้อย

ครูปั้นเหลือบเห็นพิจิตรกับทอมนั่งอยู่ท้ายกลุ่ม จึงกวักมือเรียก

"ทหารเอกพระศรี ฯ มาแล้ว มาทั้งสองคน มาข้างหน้านี้เลย"

พิจิตรพยักหน้าให้กับทอม เขาลุกขึ้นยืน แล้วเดินจากท้ายกลุ่ม ระหว่างเดินก็ยกมือไหว้ครูอาสารุ่นพี่ที่นั่งฟังอยู่บริเวณนั้น

"วันนี้ครูจะแนะนำทหารเอก" ครูปั้นพูดขึ้น

"หนูรู้จักแล้วค่ะ ครูพิจิตร"

เด็กผู้หญิงวัยสิบสองขวบที่นั่งอยู่ข้างหน้ายกมือ

"ไม่ใช่จ้ะ ! ถ้าเป็นครูพิจิตร ครูจะแนะนำอีกทำไม ? พวกเรารู้จักดีอยู่แล้ว แต่คนนี้เป็นคนสำคัญ"

พิจิตรทรุดตัวลงนั่งข้างหน้าเด็กผู้หญิงคนนั้น เขายื่นมือไปลูบหัว ทอมทรุดตัวลงนั่งติดกัน

ครูปั้นพยักหน้าให้ทอม

"ญา มานั่งข้าง ๆ ครู หันหน้าไปหานักเรียน"

ทอมคลานไปนั่งติดกับครูใหญ่ หันหน้าไปหากลุ่มนักเรียน และ ครูอาสาคนอื่น ๆ

"นี่คือ ฐิติชญา เรียกว่าครูญาก็ได้ ครูญาเป็นทหารเอกมือขวาของพระศรี ฯ"

ฐิติชญาประหลาดใจที่ได้ยินคำว่า 'มือขวา' เธอมองหน้าครูปั้น

"มือขวาเลยเหรอคะ ?"

"ใช่จ้ะ ! พลังของญาน่ะ มีมากกว่าพิจิตร ญาเห็นภาพได้ชัดเจนกว่า เพราะของเก่าของญาเคยฝึกมาแบบนั้น ญาเป็นมือขวา พิจิตรเป็นมือซ้าย พวกเราได้มาเจอญา ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเรา"

ครูปั้นเชิดหน้า พูดกับกลุ่มนักเรียน

"เอ้า นักเรียน ยกมือไหว้ ครูญา"

นักเรียนทั้งหมดที่นั่งอยู่บริเวณนั้น พร้อมกันยกมือไหว้

"สวัสดีค่ะ สวัสดีครับ ครูญา"

พิจิตรอมยิ้ม ทอมพยักหน้าพร้อมยิ้มรับการไหว้

"สวัสดีค่ะ !"

"ท่ามกลางข่าวร้าย ๆ หลาย ๆ เรื่อง การได้มาเจอครูญานี่ก็เป็นข่าวดี"

นักเรียนชายวัยสิบสามปียกมือ

"เราไม่มีเรียนกันแล้ว เราก็อดเจอกับครูญาสิครับ"

นักเรียนแต่ละคนมีสีหน้าละห้อย

ครูปั้นหันมาพูดกับทอม

"วันนี้เป็นวันสุดท้าย ที่เด็ก ๆ จะมาที่นี่ โครงการปลูกฝังนักเรียนแห่งพระศรี ฯ ต้องหยุดลงชั่วคราว เพราะขาดเงินสนับสนุน กลุ่มผู้ศรัทธาเดิมที่เคยสนับสนุน เค้าถอนตัวไป วันนี้จึงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอกับเด็กนักเรียน เราจะมีเลี้ยงอำลากัน"

เธอพยักหน้ารับรู้ พิจิตรได้เล่าให้เธอฟังคร่าว ๆ แล้ว

ครูปั้นบอกให้เด็ก ๆ ออกไปเล่นกันตามอัธยาศัยก่อน แล้วกลับมาร่วมทานอาหารเที่ยงพร้อมกัน

พิจิตรแนะนำทอม ให้รู้จักกับศิษย์คนอื่น ๆ ซึ่งสลับกันมาเป็นครูอาสาสอนเด็ก

"นี่พี่ปิ๋ว ลูกโตเป็นหนุ่มแล้วคุณแม่ยังสาวอยู่ พี่ปิ๋วเป็นแม่ของอ๊อด ที่เล่นอยู่กับเด็ก อ๊อดอายุยี่สิบห้าแล้ว พี่ปิ๋วยังสวยอยู่เลย"

ทอมยกมือไหว้ สาววัยกลางคน รูปร่างทรวดทรงยังดูเป็นสาวสง่า แต่งตัวลำลองในแบบฉบับคุณนายผู้มีอันจะกินทั่วไป สร้อยคอทองคำ และ ต่างหูเพชรที่ประดับอยู่บนร่าง เป็นเครื่องการันตีฐานะอย่างโจ่งแจ้ง

"เก่งจังเลย เป็นทหารมือขวาพระศรี ฯ ได้ คุณญานั่งไปเห็นอดีตหรือยัง ?"

"หือ ! เรียกญาเฉย ๆ ก็ได้ค่ะพี่ปิ๋ว ญาทำตามที่ครูปั้นสอน ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ ญาก็ได้แค่นั้นล่ะค่ะ"

คุณลุงวัยหกสิบกว่าปี เดินเข้ามาจับแขนพิจิตร

"คุณจิตร ! ไม่เจอกันนาน เยอรมันเป็นไงบ้าง ?"

พิจิตรยกมือไหว้ คุณลุง

"สวัสดีครับ ลุงชิน ! เยอรมันก็สนุกดีครับ"

ลุงชินพยักหน้า

"โมทนาด้วยนะ คุณไปทำงานให้พระศรี ฯ ได้บุญเยอะเลยนะ"

ทอมหันมายกมือไหว้ คุณลุงยกมือรับไหว้

"คุณญาใช่มั้ย ? พระศรี ฯ ท่านได้พบมือขวาซักที ไม่นึกว่าจะสาวจะสวยขนาดนี้ พลังเยอะขนาดนี้ เอาไอ้พวกโกงบ้านโกงเมืองให้คว่ำไปเลยนะ ต้องให้คางเหลือง ถ้าไม่เลิกเล่นการเมือง ต้องเอาให้นอนเตียงไปตลอด"

ทอมเลิกคิ้ว มองหน้าแฟนหนุ่ม แล้วเธอก็หัวเราะ

"โห ! ถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ ?"

ลุงชินพยักหน้าซ้ำ

"คุณไม่รู้เหรอว่า แม่หญิงสาวิตรีเกลียดพวกโกงบ้านโกงเมืองขนาดไหน ? ถ้าพระศรี ฯ ไม่ห้ามท่านไว้ ท่านเก็บพวกนั้นหมดแน่"

ทอมหันหน้าไปถามพิจิตร

"แม่หญิงสาวิตรี คือ ใครเหรอ ?"

"ครูปั้น ! แม่หญิงสาวิตรีคือครูปั้นในอดีต"

เธอยังเลิกคิ้วค้าง พยักหน้ารับรู้

คุณปิ๋วมองไปที่กลุ่มเด็ก ๆ ที่อยู่นอกศาลา

"เสียดายจัง ! เด็กพวกนี้เคยมาที่นี่เป็นปี ต่อไปไม่ได้มาที่นี่ พวกเค้าคงคิดถึงพวกเราเนอะ"

ลุงชินพยักหน้า

"แน่ล่ะ ! แต่ก็ภาวนา ขอให้เด็กพวกนี้ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ขึ้นอยู่กับพ่อแม่เค้าแล้วล่ะ"

"วันนี้ที่อาคารทิวาทิพย์มีคนมาเยอะ ใช่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ หรือเปล่าคะ ?"

ลุงชินหัวเราะ

"ไม่ใช่ ไม่ใช่ ! วันนี้นั่นมาไง ชื่ออะไรนะ นักเขียนน่ะ"

คุณนายปิ๋วพูดขึ้นแทน

"สุริยน ข่มจันทร์ !"

"อ้า ใช่ ๆ ! วันนี้เค้าพาคนมาด้วยหนึ่งรถตู้"

ได้ยินชื่อ สุริยน ข่มจันทร์ ทำให้ทอมตาลุกวาว เธอมองหน้าพิจิตร

"ดีเลย ! พี่จิตร เราไปเจอคุณสุริยนได้มั้ย ?"

ไม่ทันที่พิจิตรจะตอบ ลุงชินก็ตอบแทนเสียเอง

"ได้สิ ! คุณเดินเข้าไปทักเลย เค้าเป็นกันเองนะ บอกเลยว่าเราเป็นแฟนหนังสือ คุณอ่านไปกี่เล่มแล้วล่ะ ?"

"สองค่ะ ! สังคมจอมปลวก กับ สังคมที่ไม่มีคุณ ไอเดียในหนังสือมาจากที่นี่หมดเลยใช่มั้ยค่ะ ?"

ลุงชินตอบทันที

"มาจากที่นี่เป็นส่วนใหญ่ มาจากพระศรี ฯ แล้วก็ แม่หญิงสาวิตรี ที่เหลือคุณสุริยนก็แต่งเอง เค้าเก่ง มีความรู้รอบด้าน นำเรื่องอื่นเข้ามาประสานกันได้ แต่พวกเราก็รู้ภายในพวกเรากันเองว่า คุณสุริยน แต่งหนังสือเพื่อสร้างสังคมเตรียมรับท่านพระศรี ฯ"

ทอมพยักหน้าช้า ๆ เธอมองหน้าพิจิตรอีกครั้ง

"ตื่นเต้นจังเลย จะได้เจอกับตัวจริง พี่จิตร เราเดินไปหากันมั้ย ?"

พิจิตรส่งยิ้มให้

"ได้สิ !"

เสียงเตือนข้อความ SMS ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ ทอมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ ข้อความขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ มาจากเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ในหน่วยความจำ

"drop the river immediately"

เธอเอียงคอ แล้วพึมพำ

"ดร็อปเดอะริเวอร์ ..." เธอนึกถึงอุปกรณ์ทางการทหารของเอ็นแอลที ที่อยู่ในการครอบครองของเธอ

แฟนหนุ่มยื่นหน้ามาหา

"เราเดินไปตึกทิวาทิพย์ก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยเดินกลับมา"

เธอพยักหน้า เก็บเรื่องอุปกรณ์ทางทหารไว้ในใจก่อน

สองหนุ่มสาวเดินตามทางเท้า ผ่านศาลาไม้หลังเก่าที่เคยมีชื่อ ธัชญากร ติดอยู่ที่ขื่อ บัดนี้ป้ายนั้นถูกรื้อทิ้งไปแล้ว

พิจิตรหยุดเดิน แล้วยืนมองไปที่ศาลา

"เจ๊เหมี่ยวนี่แย่มาก ! ตัวเองเคยได้ดีจากที่นี่ พอหมดผลประโยชน์แล้วก็เปิดตูดหนี มีเงินหลายร้อยล้านไปทำไม ? เด็กที่ด้อยโอกาสที่นี่ยังต้องการเงินสนับสนุน จู่ ๆ ก็ถอนตัว"

ทอมได้ยินก็ต่อเรื่องติดทันที

"คนที่เคยสนับสนุนโครงการนักเรียนพระศรี ฯ ก็คือเจ๊เหมี่ยวเหรอคะ ?"

พิจิตรถอนหายใจช้า ๆ แล้วพยักหน้า

"ใช่ ! คนที่สนับสนุนโครงการ คือ กลุ่มอารยะเมตตาจิตเดิม เจ๊เหมี่ยวเป็นศิษย์กลุ่มนั้นมาก่อน ตอนนี้พวกนั้นถอนตัวกันทั้งกลุ่ม เจ๊เหมี่ยวก็ไปกับเค้าด้วย พี่ก็ไม่เข้าใจ เจ๊เหมี่ยวถือว่าเป็นคนสนิทที่คุณปั้นไว้ใจได้มาก แทบจะเรียกได้ว่า มอบหมายงานเกือบทั้งหมดให้แก สุดท้าย แกก็ถอดใจ ทิ้งไปเฉยโดยไม่มีเหตุผล"

ฐิติชญาถอนหายใจตาม

"นักธุรกิจ ทุกอย่างคือผลประโยชน์"

"ครอบครัวแก่งอุดมก็นักธุรกิจเหมือนกัน ทำไมถึงไม่มีปัญหา ? ถ้าประเทศชาติอยู่ไม่ได้ ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้ คิดง่าย ๆ แบบนี้ ควายเท่านั้นที่คิดไม่เป็น"

เขาเริ่มก้าวเท้าเดินต่อ

ทั้งสองคนเข้ามาถึงห้องโถงอาคารทิวาทิพย์

พิจิตรชี้มือไปที่ผู้ชายวัยประมาณห้าสิบปี ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว กางเกงขายาวลำลอง รูปร่างสันทัด กำลังนั่งอยู่ระหว่างพรรคพวกที่มาด้วยกัน

"คนที่ใส่เสื้อสีขาว นั่นคือ สุริยน ข่มจันทร์"

ทอมพยักหน้า

"เดินเข้าไปหาเลยนะ !"

พิจิตรพยักหน้ารับ แล้วเดินนำเข้าไปหานักเขียนชื่อดัง

เมื่อพิจิตรหยุดยืนยกมือขึ้นไหว้ เจ้าตัวรีบยกมือรับไหว้ แล้วเดินปลีกตัวออกมาจากลุ่มทันที

เขาชี้ที่ตัวเอง

"มาหาผมนะครับ !"

พิจิตรพยักหน้า

"ใช่ครับ ! ผมชื่อพิจิตร เป็นนักเรียนของพระศรี ฯ แล้วนี่ ฐิติชญา เป็นนักเรียนพระศรี ฯ เหมือนกัน เป็นแฟนหนังสือของคุณสุริยนด้วยครับ"

ฐิติชญายกมือไหว้

"สวัสดีค่ะ ! ให้ญาเรียกยังไงดีคะ ?"

นักเขียนนามปากกา 'สุริยน' ส่งยิ้มให้

"เรียกสุริยนก็ได้ครับ ได้อ่านกี่เล่มแล้วครับ ?"

ทอมชูนิ้วขึ้นสองนิ้ว

"สองเล่มค่ะ ! อ่านแล้วอินมาก คุณสุริยนเขียนได้ดีมาก ยิ่งพอได้มาเป็นนักเรียนของพระศรี ฯ แล้ว ยิ่งรู้ความหมายของคำว่าเสียสละ เพื่อสังคม เพื่อชาติบ้านเมือง"

สุริยนพยักหน้าตาม

"ถูกต้อง ! โมทนาด้วยครับ ยินดีที่มีคนหนุ่มสาวแบบนี้มาเป็นกำลังของพระศรี ฯ เมื่อเรารู้แล้วว่าสังคมต้องการเรา เราต้องตื่นตัวนะครับ คนอื่นเฉย เราเฉยไม่ได้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำ อนาคต จะไม่มีประเทศชาติให้เราอยู่ วันนี้ อะไรผิด ต้องเปลี่ยนใหม่ให้ถูกต้อง อย่ายอม ถ้ายอม คือ เริ่มนับหนึ่ง ถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนวันนึง มันก็เหลือพื้นที่น้อยจนเราตั้งหลักก้าวไม่ได้"

ฐิติชญาตั้งใจฟัง เธอพยักหน้าตาม

"คุณสุริยนพูดได้เหมือนหนังสือที่เขียนเลยค่ะ ได้เจอตัวจริง ดีจังเลย ขอญาถ่ายรูปคู่ได้มั้ยคะ ?"

นักเขียนพยักหน้า

"ได้ครับ ! มาเลย"

เธอพยักหน้าเรียกพิจิตรเข้ามาถ่ายด้วย พิจิตรสั่นหัว

"ไม่เป็นไร ! ญาเข้าไปยืน เดี๋ยวพี่ถ่ายให้"

แฟนหนังสือเข้าไปยืนคู่กับนักเขียน สุริยนส่งยิ้มมาทางกล้องอย่างเป็นกันเอง

"ญาจะส่งรูปไปให้คุณป้าดูด้วย ป้าของญาก็เป็นแฟนหนังสือคุณสุริยน"

พิจิตรนับ

"หนึ่ง สอง สาม" เขากดปุ่มชัตเตอร์บนมือถือ สองสามครั้ง แล้วพยักหน้า

ทอมหันหน้าเข้าหาสุริยน แล้วยกมือไหว้

"ขอบคุณนะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ ฝากขอบคุณคุณป้าด้วยครับ"

"ค่ะ ค่ะ ! ญาไม่รบกวนเวลาแล้วนะคะ"

นักเขียนผู้มีอุดมการณ์ส่งยิ้มให้แฟนทั้งสอง ขณะที่แยกจากกัน

ทอมมีรอยยิ้มอยู่เต็มใบหน้า

"ดีจังเลย คุณสุริยนตัวจริงสุภาพมาก ใจดีด้วย"

พิจิตรพยักหน้า

"ใช่ ! มีปัญญาเป็นเลิศล่ะ พระศรี ฯ ถึงเลือกมาไง อดีตก็เคยปวารณาตัวเองว่า จะเกิดมาช่วยฟื้นฟูศาสนา"

ทอมพยักหน้าหงึก ๆ

"เหรอคะ ? แล้วญา อดีตเคยปวารณาอะไรไว้หรือเปล่านะ ชาตินี้พระศรี ฯ ถึงเลือกญามาเป็นมือขวา ?"

"เดี๋ยวถามท่านเองแล้วกัน"

*********************************************************************************

สองชั่วโมงผ่านไป การสนทนาบนโต๊ะอาหารทำให้ชูศักดิ์ได้รู้จักองคาพยพของกลุ่มคนเหล่านั้นมากขึ้น

ฝนเริ่มหยุดตกมาสักพักแล้ว

วายุเสนอความเห็นต่อเนื่องจากการสนทนา

"คนชื่อสมชายก็เป็นตัวแปรสำคัญ มันก็เป็นปริศนาให้ผมกับพี่เนศคิดกันว่า เค้าเป็นใคร ยิ่งเค้าไม่ใช่ญาติ หรือ ผู้คุ้นเคยกับท่านผู้นำ เรื่องนี้มันผ่าเหล่าผ่ากอ อย่างที่ได้เล่าไปแล้วว่า ผู้ที่จะสืบทอดต่อมีเก้าท่าน ตอนนี้วงในก็รู้กันแล้วว่าคุณปั้นเจออดีตผู้นำแล้ว แสดงว่า เด็กคนนั้นอ้างหลักฐาน ระบุตัวทายาทได้ตรงด้วย เปี๊ยกจะเสียเปรียบมาก เพราะ ไม่มีใครรู้จักสมชายเลยว่าเค้าคือใคร"

ชูศักดิ์เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้

"สมชาย คือ ใคร ? เค้านามสกุลอะไร เอ๊ะ ! ผมก็ไม่เคยถามซะด้วยสิ"

ชูศักดิ์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาทันที ค้นหาชื่อสมชายในหน่วยความจำ แล้วโทรออก

ปลายทางรับสาย

ชูศักดิ์พูดอย่างร้อนรน

"คุณสมชาย ผมชูศักดิ์ พ่อเจ้าเปี๊ยก คุณสมชายนามสกุลอะไรครับ ?"

เสียงปลายทางอ้ำอึ้ง คงกำลังประหลาดใจกับคำถามที่ไร้การเกริ่นนำ

"หือ... ! นามสกุลผม ?"

"นามสกุลของน้องสมชายน่ะ ผมอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกับอดีตของเจ้าเปี๊ยกยังไง"

"ไม่น่าจะเกี่ยวเลยนะครับ นามสกุลผมธรรมดาครับ"

"ธรรมดาหรือวิเศษขนาดไหนก็ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่เป็นความลับ บอกผมได้มั้ยครับ ?"

"ธรรมดาครับ ผมนามสกุลธรรมดา"

"ทามาดะ ?" ชูศักดิ์ได้ยินอย่างนั้น

"ธรรมดา สะกด ทอธง รอเรือสองตัว...."

"ธรรมดา ! ภาษาไทยเนี่ยนะครับ ?"

"ครับ ใช่ครับ !"

"แปลกจัง สั้นดี !"

สองพี่น้องได้ยินชื่อสกุลของสมชาย ก็สั่นหัว

ชูศักดิ์รีบตัดบท

"งั้น ไม่รบกวนคุณสมชายแล้วครับ กำลังทำงานใช่มั้ยครับ ?"

"ครับ กำลังทำงาน แต่พอคุยได้ครับ"

"ไม่มีอะไรแล้วครับ ต้องการทราบแค่นี้ ขอบคุณครับ"

พ่อเจ้าเปี๊ยกตัดสายแล้ว จดนามสกุลของสมชายไว้ในสมุดบันทึก พลางสั่นหัว

"ถ้าคุณสองคนไม่คุ้น ก็คงต้องเก็บไว้เป็นปริศนาไปก่อน สมชาย ธรรมดา ชื่อก็โหล นามสกุลนี่ยิ่งตั้งใจโหลเลย

ถ้าคุณสองคนบอกว่า นามสกุลของเจ้าเปี๊ยกชาติที่แล้วดังในวงการธุรกิจ มันน่าจะสืบถามกันได้ง่าย ๆ เมียเจ้าเปี๊ยกชาติที่แล้ว ตอนนี้อาจจะยังไม่ตาย เดินดุ่ม ๆ เข้าไปถามซะเลยเป็นไง ?"

วายุหัวเราะ

"ครอบครัวนี้คงไม่ให้คนแปลกหน้า เดินดุ่ม ๆ เข้าไปถามได้หรอกคุณ อย่าเพิ่งกังวล เราเอาข้อมูลต่าง ๆ มารวบรวมแล้วค่อย ๆ คิดกัน ความคิดของผู้นำที่อายุแปดขวบ เปี๊ยกจะกลับเข้าไปทำอะไร ผมอยากรู้เพิ่ม แต่ ให้เวลาค่อย ๆ เปิดเผยมาเถอะครับ เร่งรัดกับเด็กอายุแปดขวบ อาจจะไม่เหมาะ"

ชูศักดิ์พยักหน้ายอมรับ เขาเองตระหนักดีว่าสิ่งที่เขากำลังเดือดร้อน ส่วนหนึ่งมาจากความใจร้อน ปล่อยวางไม่ได้

"ส่วนเรื่องคนก่อตั้งกลุ่มอารยะเมตตาจิต ที่กำลังจะทวงชื่อคืน อันนี้ จะให้ผมติดต่อพวกเค้าเองมั้ยครับ ?"

วายุยกมือห้าม

"ไม่ต้อง ! เจ๊ เหมี่ยว เจ้าของธัชญากรขนส่ง เดิมเป็นคนมาจากสายนี้ คือ เธออยู่ในกลุ่มอารยะเมตตาจิตเดิมมาก่อน ก่อนที่กลุ่มนี้จะรวมกับกลุ่มมหาศรัทธาโพธิสัตว์ของคุณปั้น แล้วยุบมาใช้ชื่ออารยะเมตตาจิต

เจ๊เหมี่ยวเพิ่งถอนตัวจากคุณปั้นไม่นาน ตอนนี้กลุ่มเจ้าของชื่อเดิมก็มาขอทวงชื่อคืน เจ๊เหมี่ยวน่าจะรู้เห็นด้วยว่า ทำไมถึงมีการทวงชื่อคืน แปลว่าเขาเริ่มแยกกันแล้วหรือยังไง ?

คือ เราสองคนพี่น้อง รู้จักกับเจ๊เหมี่ยว เธอเป็นคนสุราษฎร์ เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน เรียนโรงเรียนเดียวกับผม ไม่ได้ติดต่อกันมานาน เราสองคนจะคุยกับเธอเอง"

ธเนศพูดขึ้น

"วันนี้ลองเก็บประเด็นต่าง ๆ ไปค่อย ๆ คิดครับ เรื่องมันเยอะ ยังไงคุณก็คงคิดได้ไม่หมดหรอก ต้องมีข้อมูลเพิ่มอีก ยังไงก็ต้องมีคนช่วย อนุชิตเป็นอีกคนที่หนูเปี๊ยกบอกว่าเชื่อใจได้ นั่นแหละ คนสนิทของอดีตท่านผู้นำเลย"

ชูศักดิ์จดทุกอย่างลงในสมุดบันทึก ข้อมูลมากมายต้องใช้เวลาในการย่อยความ แล้วจัดเรียงอันดับ

"ผมรับสมัครเลขาสำหรับงานนี้เลยดีมั้ยเนี่ย ? ท่าทางงานนี้มันจะยุ่งมากกว่าขายเฟอร์นิเจอร์สิบเท่า ถ้าไม่มีคุณสองคนผมคงเหมือนกับลูกเป็ดขาดแม่เป็ด เดินทั้งวันก็งงอยู่ที่เดิม"

*********************************************************************************

อ่านหน้า > 2 , 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่