ตอน 36 หน้า 3

ทางเลือกของหงส์

 

 

ความรู้สึกอีหลักอีเหลื่อกับคนในบ้าน ถูกเก็บสะสมเป็นเวลานาน  เธอยังมองไม่เห็นหนทางที่จะเยียวยาสถานการณ์ให้มันหมดความอึมครึมไปได้

ที่พึ่งทางใจในช่วงสองปีมานี้ คือ การได้อยู่ใกล้คนที่เธอรัก ทุกครั้งที่เธออยู่กับพิจิตร เธอรู้สึกเสมอว่าเขาคือคนที่เข้าใจเธอในทุก ๆ เรื่อง เขาเป็นต้นแบบของผู้ชายที่เธอไฝ่ฝันจะเป็นคู่ครอง

ความกล้าหาญ ความเสียสละ ความจริงใจที่มีต่อคนรอบข้าง เหล่านี้เป็นคุณสมบัติที่หายากในผู้ชายยุคปัจจุบัน .... เธอช่างโชคดีที่ได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้

เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าทำให้ฐิติชญาสะดุ้งเล็กน้อย  หน้าจอแสดงชื่อ ครูปั้นเป็นผู้โทรเข้า

"สวัสดีค่ะ ครูปั้น !"

"สวัสดีจ้ะ ญา ! เป็นยังไงบ้าง ?"

"ก็เรื่อย ๆ ค่ะ ! ครูปั้นหมายถึงเรื่องอะไรเหรอคะ ?"

"เรื่องพ่อกับแม่ญาน่ะ ! ความสัมพันธ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง ?"

เหมือนกับครูปั้นรู้ใจเธอ โทรมาถามในช่วงที่เธอกำลังทุกข์อยู่กับเรื่องนี้

"ก็ไม่ได้แย่ลงค่ะ ! แต่มันก็ยังตึง ๆ  ไม่เหมือนเดิม  ญาคิดมากก็ปวดหัว  ก็พยายามหาเรื่องอื่นมาคิด อยากหางานให้ได้เร็วที่สุดค่ะ  ถ้าได้ทำงาน มันก็คงไม่ว่างที่จะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้

แล้วเรื่องงานของพระศรี ฯ ล่ะคะ ?  ญาจะนั่งส่งพลังต่อได้หรือยัง ?"

"ยังไม่ต้องจ้ะ ! ตอนนี้ก็งดไปก่อน แต่เราจะมีวันธงชัยของเราใกล้ ๆ นี้  เป็นวันที่ทั้งสามโลกยังเปิดโอกาสให้เราทำงานโดยไม่มีอุปสรรค แล้วเป็นวันที่พลังของเราจะแข็งแกร่งมากที่สุด  

ช่วงนี้ครูก็ให้ศิษย์แต่ละสาย ร่วมกันส่งพลังไปตัดกำลังทางโน้นทุกวัน  รอจนถึงวันธงชัย วันนั้น ครูจะบอกให้ญาส่งพลังพร้อมกับทุกคน  วันนั้นจะเป็นวันเผด็จศึก ญารอครูนัดวันแล้วกันนะ อีกไม่นาน"

"ได้ค่ะ !  การที่ได้ทำงานให้พระศรี ฯ มันก็เป็นอะไรที่ญาภูมิใจที่ได้ทำประโยชน์ให้โลกนี้บ้าง  ดีกว่าว่างงานไปวัน ๆ  ญาอยากจะเป็นได้ซักครึ่งนึงของพี่จิตรก็พอใจแล้ว  ถ้าคนแค่ครึ่งประเทศ มีความคิดได้เหมือนพี่จิตร ประเทศไทยคงน่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ"

ทุกครั้งที่มีโอกาสเอ่ยถึงชื่อคนรัก นัยน์ตาของเธอก็จะมีประกายของความสดใสปรากฏ

"ได้อยู่แล้วนะ ! ญาเป็นได้เหมือนพิจิตรทุกอย่าง อย่าดูถูกตัวเอง ความจริงพลังของญาน่ะ มากกว่าพิจิตรนะ เพราะญามีของเก่าที่สะสมมา  แต่พิจิตร เขาก็มีจุดเด่นที่ความมุ่งมั่น มีสมาธิ จิตใจของเค้าแข็งแกร่งมาก ไม่มีใครมาเปลี่ยนจุดยืนของเค้าได้"

ครูปั้นพูดถึงคนรักของเธอได้ตรงกับที่เธอคิด

"ค่ะ ใช่ ! พี่จิตรเป็นคนที่มีอุดมการณ์  วันนี้พี่จิตรจะพาญาไปที่บ้าน ไปแนะนำให้แม่รู้จัก"

"อ้าว เหรอ ! เป็นครั้งแรกหรือเปล่า ? ญายังไม่เคยพบคุณแม่พี่จิตรมาก่อนเหรอ ?"

"ค่ะ ยังไม่เคย !"

"ดี ดี ! ตื่นเต้นมั้ย ?"

เธอตอบคำถามนี้ได้ในทันที

"ก็ไม่ค่ะ ! ญาก็แค่เป็นตัวของตัวเอง  คงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าที่ญาเจออยู่กับครอบครัวญาเองแล้วล่ะค่ะ"

ครูปั้นหัวเราะเบา ๆ

"ทุกครอบครัว ก็มีปัญหาที่ไม่เหมือนกัน  วันนี้ก็ถือเป็นวันดี ครูก็หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นนะ แม่พิจิตรไม่มีอะไรหรอก พิจิตรก็เป็นลูกรักของแม่  ญาน่าจะเข้ากับคุณแม่เค้าได้"

"ครูปั้นเคยเจอแม่ของพี่จิตรเหรอคะ ?"

ครูปั้นหัวเราะ

"ครูรู้จักแม่เค้าก่อน คุณติ๋วเค้าไม่สบาย เพื่อนเค้าก็แนะนำมาให้ที่นี่รักษาให้  พิจิตรก็เป็นคนขับรถมาให้ ก็ได้รู้จักพิจิตรเพราะว่าเป็นลูกคุณติ๋วนี่แหละ"

ทอมรู้สึกแปลกใจ

"อ้าว เหรอคะ ? พี่จิตรไม่ได้เล่าให้ฟัง"

"พอแม่เค้าหาย ตัวเค้าก็ศรัทธาที่นี่ ก็เลยขอมาเป็นศิษย์ ก็เรียกว่า พิจิตรรักแม่ ถือว่าที่นี่มีบุญคุณต่อแม่เค้า เค้าก็ศรัทธาที่นี่"

"ดีจังเลยค่ะ !  ดูท่าทาง พี่จิตรน่าจะดูแลแม่ได้ดีนะ  เดาเอาค่ะ !" รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเธอ  เมื่อนึกถึงบุคลิกของเขา

"ดีนะ ! เป็นลูกกตัญญู  แต่เค้าก็บ่น ๆ เรื่องพี่ ๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเวลาให้แม่  คนเรามันจะก้มหน้าก้มตาหาแต่เงินไปเพื่ออะไร ?  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือบุพการีที่เลี้ยงดูเรามา  พิจิตรเค้าก็ไม่ชอบพี่ ๆ เค้าเรื่องนี้  เค้าไม่ไว้ใจให้พี่ ๆ ดูแลแม่  ถ้ามีเวลา เค้าจะดูแลแม่เอง"

"พี่จิตรเคยบ่น ๆ เรื่องพี่สาว แต่ไม่ได้เล่ารายละเอียดมาก คงไม่อยากให้ญาต้องไม่สบายใจไปด้วย  พี่จิตรนี่สุดยอดเลยนะคะ ลูกชายที่ดูแลแม่แบบนี้หายาก"

ดูเหมือนระยะเวลาสั้น ๆ ที่ได้พูดคุยเรื่องของพิจิตร สามารถเบี่ยงเบนจิตของเธอออกจากความหมกมุ่นกังวลใจเรื่องของครอบครัวได้เป็นอย่างดี

*************************************************************************************

ญาติโยมที่มากราบหลวงปู่โก๊ะก่อนหน้าชูศักดิ์ กำลังทยอยเดินออกมาจากกุฏิท่าน

พระสงฆ์ผู้อาวุโสชะเง้อหน้ามองออกมาเห็นเขา ก็กวักมือเรียก

"มา ๆ ! เข้ามาได้"

ชูศักดิ์ถอดรองเท้าที่หน้ากุฎิ แล้วเดินย่องโน้มหัวเข้ามา คุกเข่าคลาน แล้วก้มลงกราบเท้าหลวงปู่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

กราบเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับหลวงปู่  ท่านพยักเพยิดหน้า

"ว่าไง !"

"หัวกะไดไม่แห้งเลยนะครับหลวงปู่ เหนื่อยมั้ยครับ ?"

"เหนื่อยแล้วแกจะมาช่วยฉันหรือไง ฮึ ?"

ชูศักดิ์หัวเราะ

"ผมช่วยบริการน้ำเย็นได้ครับ  เรื่องคลายทุกข์นี่คง ช่วยไม่ได้ เพราะผมเองก็ยังทุกข์อยู่"

"มีอะไรเกี่ยวกับไอ้ตัวเล็กอีก ว่ามา"

ศิษย์หนุ่มหัวเราะเขิน ๆ

"หน้าผากผมคงมีตัวหนังสือสักอยู่เป็นชื่อไอ้เปี๊ยกแน่ ๆ  หลวงปู่ถึงรู้เสมอว่า ผมจะมีเรื่องทุกข์ใจ ก็เพราะไอ้ลูกบังเกิดเกล้าตัวเดียวเท่านั้น"

"จะมาคุยเรื่องไอ้ตัวเล็ก แล้วเมียแกไม่มาด้วยรึ ?"

พ่อเจ้าเปี๊ยกยิ้มแหย ๆ

"ไม่พามาดีกว่าครับ ! เมียผมเค้าหาว่าผมประสาท ชอบยุ่งกับเรื่องลูกมากเกินไป ผมเลยไม่พามาดีกว่า เดี๋ยวจะมาทะเลาะกันต่อหน้าหลวงปู่มันจะไม่ดี"

"ทะเลาะกันตรงนี้ ฉันก็ได้ตะเพิดออกไปทั้งคู่สิ" ท่านพูดแล้วก็หัวเราะ "เจ้าเปี๊ยกมีอะไรทำให้แกกังวลอีก ?"

ชูศักดิ์เริ่มเข้าเรื่อง

"ผมไปสืบรู้มาว่า เจ้าเปี๊ยกชาติก่อนเป็นใคร มันวางแผนสีบราชสมบัติของมันเอง โดยให้มีทายาทมารักษาสมบัติไว้ รอมันกลับมาเกิด แล้วก็จะได้มอบสมบัติให้มันไว้ครองต่อไป"

หลวงปู่หัวเราะคำว่า 'ราชสมบัติ'

"ชาติก่อนมันเป็นพระราชาเชียวหรือ ไอ้นี่ ? มันสำคัญจริง ๆ นะ เป็นถึงกษัตริย์"

ชูศักดิ์เหลือกตา

"เหรอครับ ? มันไม่ได้เป็นแค่คนธรรมดาเหรอครับ ? งั้นที่ผมสืบมาก็ผิดสิครับ ! หลวงปู่มองเห็นอดีตมันเป็นกษัตริย์เลยหรือครับ ?"

หลวงปู่ยกมือข้างนึงขึ้นห้าม

"พอกันที ! แกนี่เหลวไหลไปใหญ่แล้ว ! กษัตริย์กะเสิดอะไรที่ไหน ? ก็แกใช้คำว่า สืบราชสมบัติ ฉันก็นึกว่า แกไปรู้มาว่า ชาติก่อนมันเกิดเป็นกษัตริย์"

ชูศักดิ์นึกได้ ก็หัวเราะตัวเอง

"ฮ่า ๆๆๆ !" เขายกมือไหว้ "ขออโหสิเถอะครับ ผมใช้ศัพท์เว่อเกินไป ต้องใช้คำธรรมดาว่า สืบทอดมรดกจะถูกกว่า

นั่นล่ะครับ ไอ้ผมก็มานึกสงสัยว่า เค้าทำกันอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ? เอาสมบัติให้ทายาท แล้วตัวเองเกิดใหม่ ก็มารับมรดกนั้นต่อ นี่มันวางแผนกันข้ามชาติ โม้สุด ๆ เลยนะครับ หลวงปู่"

หลวงปู่โก๊ะพยักหน้ารับฟัง

"แกได้ยินมาอย่างนั้นเรอะ ?"

"ครับ ! มันเป็นไปได้เหรอครับ ? มีใครเค้าทำกันขนาดนี้ ส่งต่อสมบัติกัน แล้วเกิดมารับสมบัติกันต่อ น่าจะเป็นเรื่องความเชื่องมงายของพวกบ้าสมบัติ"

หลวงปู่กลอกตาขึ้นบน ท่านนึกเพียงอึดใจ แล้วตอบ

"ถ้าตามชาดกในพุทธศาสนาล่ะก็ เรื่องนี้มันคือการเวียนว่ายตายเกิดธรรมดานะ ชาดกเกือบทุกเรื่องจะพูดถึงบุพกรรมที่ก่อไว้ข้ามชาติ แล้วต้องกลับมารับผลนั้น ๆ"

"ครับ ! เรื่องชาดก ผมทราบครับ แต่นั่นมันเรื่องกฏของกรรมที่ต้องรับข้ามชาติ แต่ไอ้เรื่องสืบทอดมรดกข้ามชาตินี่ ผมไม่เคยได้ยิน"

"ไม่เคยได้ยิน ก็ไม่ได้หมายความว่า มันทำไม่ได้ หรือ ไม่มีใครเขาทำกันมาก่อน"

ชูศักดิ์เลิกคิ้ว ถามกลับทันที

"แล้วมีเหรอครับ ? ใครอุตริมาทำกันแบบนี้ ?"

ท่านพยักหน้า แล้วมองไปที่ผนังกุฏิ

ชูศักดิ์มองตามไปที่ผนังด้านนั้น

ผนังด้านนั้นไม่มีสิ่งใด นอกจากปฏิทินที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงซึ่งแขวนอยู่ติดกับผนัง

"หลวงปู่มีนัดกับใครเหรอครับ ถึงต้องดูปฏิทิน ?"

"แกเคยได้ยินเรื่อง เจ้าครองนครกลุ่มหนึ่ง ที่ผลัดกันมาสะสมบริวาร สร้างบารมีในเขตสุวรรณภูมิ ?"

ชูศักดิ์ยกมือไหว้

"ไม่เคยครับ ! ถ้าหลวงปู่จะเมตตาเล่าให้ผมฟัง ผมอยากฟังครับ"

"แกอยากฟังเรื่องของคนอุตริเหรอไง ?"

เขาหัวเราะหึ ๆ

"ก็ถ้าตายแล้ว ยังห่วงแต่สมบัติ ไม่รู้จักละวาง ผมว่าส่วนใหญ่ก็เกิดเป็นเปรต หรือ เป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่น่าจะได้มาเกิดเพื่อสืบสมบัติต่อได้หรอก"

หลวงปู่พยักหน้า

"นั่นน่ะสิ ! งั้นฉันจะเล่าทำไม ? คนที่ฉันจะเล่า ป่านนี้คงอุตริเกิดเป็นเปรตไปหมดแล้วมั้ง"

"อ้าว !" เขาอุทานเบา ๆ แล้ว อ้าปากค้าง ยกมือขึ้นไหว้อีกครั้ง

"นิมนต์หลวงปู่เล่าเถอะครับ ผมไม่วิจารณ์แล้วดีกว่า"

หลวงปู่ส่งยิ้มให้ รู้สึกพอใจที่ได้แหย่ลูกศิษย์ให้คลายอารมณ์เครียดไปได้

"ที่สุวรรณภูมินี้ อดีตย้อนไป สองพันกว่าปี มีกษัตริย์ปกครองอยู่ ชื่อ พระเจ้าตวันอธิราช แกเคยได้ยินชื่อนี้มั้ย ?"

ชูศักดิ์สั่นหัว

หลวงปู่เล่าต่อ

"พระเจ้าตวันอธิราชมีความตั้งใจจริงที่จะปกครองบ้านเมืองให้ทุกคนมีความสุข พยายามวางรากฐานให้คนรุ่นต่อไปมาสานต่อ ต่อมา ลูกชาย ชื่อ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ก็มาครองราชย์ต่อจากพ่อ อะไรที่พ่อสั่งสมไว้ ก็พยายามทำนุบำรุงให้ดีขึ้น"

ชูศักดิพยักหน้ารับฟัง

"หลังจากนั้นอีก ประมาณ เจ็ดร้อยปี พระเจ้าตวันอธิราช ก็กลับมาเกิดใหม่ มาเป็นกษัตริย์ในดินแดนสุวรรณภูมิอีก ชื่อว่า พระเจ้าพรหม แกเคยได้ยินชื่อนี้มั้ย ?"

ชูศักดิ์สั่นหัว

"ก็ไม่เคยอีกล่ะครับ !"

หลวงปู่เล่าต่อ

"พระเจ้าพรหมนำทัพต่อสู้กับคนต่างเผ่าพันธุ์ที่มายึดเมืองไว้ ไล่ไปได้ จนดินแดนนี้ ก็มีเอกราชเป็นคนตนเอง แล้วก็มีความพยายามที่จะสร้างรากฐานให้ยั่งยืน ส่งเสริมศาสนาพุทธ เพื่อให้ดินแดนนี้มีพุทธศาสนาสืบไป

ต่อมาลูกชายในอดีตชาติ ที่ตอนโน้นมีชื่อว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ก็เกิดมาเป็นลูกคนแรกของพระเจ้าพรหม แต่ชาติใหม่นี้ มีชื่อว่า พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า"

"หือ !" ชูศักดิ์เลิกคิ้ว "พระชื่อคล้ายกันเลยครับ เดือนเด่นฟ้า กับ เดือนแจ่มฟ้า"

หลวงปู่หัวเราะ คำว่า 'พระชื่อ' ที่ลูกศิษย์พูดออกมา

"พระนามน่ะ เขาเรียกพระนาม ไม่ใช่พระชื่อ .....พระนามคล้ายกัน ใช่ ! แต่ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า สุขภาพไม่ดี ตายไปตั้งแต่เด็ก แผ่นดิน ก็ต้องมอบให้กับ น้องชายคนรอง ชื่อ พระเจ้าชัยสิริ   ไอ้นี่ เขาก็ลือกันว่า พระเจ้าชัยสิรินี่ กลับชาติมาเกิดเป็นครูบาธรรมชัย ที่แม่แตงโน่น"

ชูศักดิ์ขมวดคิ้ว

"หา ! จริงเหรอครับ ? แม่แตง ประเทศอะไรครับ ?"

พระผู้อาวุโส เกลือกตามองศิษย์แล้วเพ่ง

"ไอ้นี่มันคนประเทศไหนวะ ?  แม่แตง เชียงใหม่โน่น !"

"อ้อ ครับ ๆ ! หมายถึงเป็นครูบาสมัยปัจจุบันนี้เลย ท่านยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าครับ ?"

หลวงปู่สั่นหัว

"ละสังขารไปแล้ว เมื่อปีสามศูนย์  ครูบาธรรมชัยโด่งดังมากนะ ที่เชียงใหม่โน่น"

"แล้วจริงเหรอครับ ? พระลูกของพระเจ้าพรหม มาเกิดเป็นครูบาธรรมชัย ?"

"ฉันก็ไม่รู้นิ คำลือ มันก็เป็นคำลือ จะไปถามใคร ใครเขาจะตอบ ?"

"ก็ถามคนลือสิครับ ใครลือเข้าหูหลวงปู่ ก็ถามไอ้คนนั้นมันเลย"

"ก็ฉันถามแล้ว เขาก็บอกว่ามีคนลือว่าเป็นการระลึกชาติของพระอรหันต์ มันลือกันมาเป็นทอด ๆ"

ชูศักดิ์พยักหน้า

"หลวงปู่ก็เลยมาลือให้ผมฟังอีกทอด  งั้น ! ก็ปล่อยให้เป็นคำลือต่อไป  นิมนต์เล่าต่อได้เลยครับ"

"ยังมีข่าวลืออีก  พระเจ้าพรหม สมัยนั้น มีพี่ชายชื่อ พระเจ้าทุกขิตะ ซึ่งเขาลือกันว่า พระเจ้าทุกขิตะนี้  กลับชาติมาเกิดเป็นหลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล ที่เชียงใหม่"

"เหรอครับ ? ชื่อหลวงปู่คำแสนเล็กนี่คุ้นมาก  ผมเคยได้ยิน  ไม่ใช่สิ ! ผมคิดว่า ตอนผมไปเที่ยวเชียงใหม่ ผมน่าจะเคยไปวัดดอนมูลด้วยซ้ำ  คุ้น ๆ ว่า เคยไป"

เขานึกถึงอดีตที่เคยควงแขนภรรยาไปเที่ยวเชียงใหม่สมัยที่เจ้าเปี๊ยกยังไม่เกิด

"ใช่ ๆ ผมเคยไป  มีลูกศิษย์ศรัทธาเยอะมาก  โห ! ผมว่าพระอรหันต์ที่ระลึกเรื่องนี้ได้ คงมีวิชาตาทิพย์ที่สุดยอดเลย  ย้อนไปได้ตั้งพันกว่าปี"

"มันจะมาจากปากพระอรหันต์จริง หรือ โม้ ฉันก็ไม่รู้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ลือผ่าน ๆ กันมา"

"ครับ ! อยากฟังต่อ แล้วยังไงต่อไปครับ ?"

"พระเจ้าพรหม ท่านก็มาเกิดเป็นกษัตริย์ในดินแดนนี้อีกหลายสมัย ลูกหลานท่าน ก็กลับมาเกิดเป็นลูก เป็นหลานกษัตริย์ ช่วยกันสืบทอดปกครองดินแดนนี้มาตลอด ผลัดเปลี่ยนกันดูแล จนถึงปัจจุบัน"

ชูศักดิ์เลิกคิ้ว

"ถึงปัจจุบัน ราชวงศ์จักรีเนี่ยด้วยเหรอครับ ?"

"ใช่ ๆ ! เขาก็ว่ากันว่า พระเจ้าพรหม กับ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า มาเกิดเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนี้ บริวารที่ผูกพันกันมา ก็พากันมาเกิดเพื่อร่วมกันสร้างคุณทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินนี้ต่อ จนกระทั่งปัจจุบัน"

ความรู้สึกอยากรู้เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

"พระเจ้าพรหมเกิดมาเป็นราชวงศ์จักรีรัชกาลที่เท่าไหร่ครับ ?"

"แกก็ลองเดาสิ !"

"ถ้าพระทั้งสององค์ที่เชียงใหม่ เคยเกิดเป็นญาติของพระเจ้าพรหม แล้วชาตินี้ ท่านมาเกิดในช่วงนี้ ผมก็ต้องเดาว่า พระเจ้าพรหมเกิดมาเป็นในหลวง ฯ พระสององค์ก็มาช่วยในหลวง ฯ ดำรงพุทธศาสนาต่อไป ผมเดาถูกมั้ยครับ ?"

หลวงปู่ยิ้ม

"ถูกหรือไม่ถูก ฉันก็ไม่รู้ แต่ไอ้ที่เขาเล่ามา เขาบอกว่า พระเจ้าพรหม กับ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ได้เกิดมาในราชวงศ์จักรีทั้งคู่ แล้วก็สร้างคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดินนี้อย่างยากที่กษัตริย์องค์อื่นในราชวงศ์จะทำได้เท่า มีคนสรรเสริญกันทั้งแผ่นดิน ชื่อเสียงก็กว้างไกลเป็นที่ยอมรับของแผ่นดินอื่น

พระเจ้าพรหมเกิดเป็นกษัตริย์ในราชวงศ์จักรีก่อน ปูรากฐานใหญ่ ๆ ทำให้แผ่นดินนี้เป็นที่ยอมรับของอาณาเขตอื่น ๆ แล้วพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ค่อยเกิดมาเป็นหลานปู่ ซึ่งต่อมา ก็ได้เป็นกษัตริย์ สืบสานสิ่งที่ปู่วางไว้ ทำให้มั่นคงยั่งยืน"

ชูศักดิ์เงียบ ไม่โต้ตอบ กลอกตาขึ้นลง ขมวดคิ้ว เอียงคอ กลอกตาไปมา

"แกกลับไปคิดที่บ้านเถอะ มาคิดตรงนี้ ฉันไม่ต้องทำกิจ ทำวัตรกันพอดี"

ชูศักดิ์ยกมือไหว้

"ผมต้องคิดจนหัวหงอกแน่ อยากรู้มาก ๆ ครับ ว่า ทั้งสองเจ้า เกิดมาเป็นใคร  นิมนต์หลวงปู่เมตตาผมหน่อยเถิดครับ เล่นมาเล่าแหย่ให้อยาก แล้วจากไป  ผมนี่ คงไม่ต้องนอนทั้งคืน  บอกผมหน่อยเถอะครับ  สองท่าน เกิดมาเป็นกษัตริย์รัชกาลไหน ?"

พระสงฆ์ผู้อาวุโสยกนิ้วชี้หน้า

"ฉันไม่ได้ให้แกมานั่งเดาเรื่องนี้   ที่ฉันเล่าก็จะอธิบายว่า เรื่องการเกิดมาสั่งสมบารมี รับทอดมรดกนี่ เขามีกันเป็นปกติ มันคือกรรมที่ผูกพันกันมา ก็จะมาเกิดในที่เดิม ๆ ผูกพันกับคนเดิม ๆ  แล้วก็ทำในสิ่งที่อดีต เคยตั้งจิตไว้

ตั้งจิตไว้ ให้คนรุ่นต่อไปมาสะสมบุญต่อนี่ ก็ไม่ถือว่าเป็นกิเลสที่ดึงเราไปเป็นเปรต  ถือว่าเป็นบุญ ไปสวรรค์ ไปพรหมได้  แต่ถ้าตั้งจิต งกสมบัติ หวงสมบัติ  ตอนตายถ้าจิตติดงกนี่ ก็ไม่รอดอย่างที่แกว่า"

ชูศักดิ์พนมมือขึ้นจรดคางอีกครั้ง

"สาธุ ขอบคุณหลวงปู่ที่เมตตาให้คนโง่อย่างผมตาสว่างได้  อย่างน้อยก็พอจะรู้ว่า เรื่องอดีตของเจ้าเปี๊ยก มันก็อาจจะเป็นจริงได้ ซึ่ง ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นจริงหรอก  อยากให้มันเป็นคนธรรมดา

แต่....  ตอนนี้ ผมอดไม่ได้แล้ว ที่อยากจะรู้ว่า พระเจ้าพรหม กับ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า เด่นฟ้า อะไรนั่น  มาเกิดเป็นกษัตริย์องค์ไหนในราชวงศ์จักรี  หลวงปู่กรุณาเมตตา สงเคราะห์ผมหน่อยเถอะ"

หลวงปู่ชะโงกหน้ามองออกไปที่ประตูกุฏิ

"เพ็งโว้ย ! เพ็ง !  มาช่วยพาฉันไปที่ศาลาหน่อย  ฉันนัดคุณปลัดไว้"

พ่อเจ้าเปี๊ยกทำหน้าเหรอหรา

"อ้าว ! มามุขนี้เลยเหรอ หลวงปู่ ? เล่นหนีกันซึ่งหน้า"

เด็กวัดหนุ่มชื่อเพ็ง โผล่หน้าเข้ามาในกุฏิ

"หลวงปู่จะไปหรือยัง ? ท่านปลัดยังไม่มา รอท่านปลัดมาก่อนมั้ย แล้วผมมานิมนต์อีกที ?"

ท่านสั่นหัว

"ไม่เป็นไร ! ฉันไปเลยดีกว่า  รำคาญคนแถวนี้ มันซักไซร้ ไร้สาระ"

ชูศักดิ์หัวเราะคำแหย่ของพระอาจารย์

เพ็งเดินเข้ามาช่วยประคองหลวงปู่ให้ลุกขึ้นยืน ชูศักดิ์ก้มลงกราบที่เท้าสามครั้ง

เขากลับรู้สึกสบายใจที่ได้รู้ว่า เรื่องการกลับชาติมารับมรดกของลูกชาย อาจจะเป็นความจริงตามที่หลวงปู่ท่านเล่า ทั้ง ๆ ที่ เขาก็ไม่ได้ต้องการให้ลูกชายกลับไปยุ่งเรื่องในอดีต  คิดไปก็สับสนในความตั้งใจของตนเอง

แต่หากเรื่องการกลับมาครองแผ่นดินของสองเจ้าแห่งสุวรรณภูมินั้นสามารถสร้างความเป็นปึกแผ่น สร้างความสงบสุขให้แผ่นดินมาได้นับเป็นพันปี  ก็ไม่แน่ว่า สิ่งที่ลูกชายต้องกลับไปสืบสานต่อ อาจจะทำคุณประโยชน์ให้สังคม หรือ ผืนแผ่นดินนี้ ก็เป็นได้

เพ็งประคองหลวงปู่ เดินออกจากกุฏิไปแล้ว เขาเหลือบไปมองที่ผนังด้านนั้นอีกครั้ง  ปฏิทินที่แขวนอยู่ มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวง ฯ ในอิริยาบทต่าง ๆ

หลวงปู่เหลือบมองปฏิทินก่อนเล่าเรื่องสองเจ้าให้ฟัง  น่าจะต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับพ่อหลวงแน่ ๆ แต่ถ้าจะให้เดา ก็คงเดาไม่ถูกว่า ใครคือ รัชกาลที่เป็นปู่ ใคร คือ รัชกาลที่เป็นหลาน   

น่าจะนำเรื่องนี้ไปเล่าต่อให้ภรรยาฟัง เธออาจจะมีความรู้เรื่องประวัติกษัตริย์ไทยในอดีตมากกว่าเขาก็เป็นได้

********************************************************************************************** 

ฟ้าครึ้มฝนไปทั่วมหานคร และ ปริมณฑล  ฮอนด้าซีตี้สีแดง กำลังวิ่งบนถนนจรัญสนิทวงศ์ จุดหมายคือ บ้านของพิจิตร

พิจิตรนั่งอยู่ที่นั่งเบาะหน้า คอยบอกทางให้โชเฟอร์

"พี่จิตรจำโค้ดของเอ็นแอลทีได้หมดมั้ยคะ ?"

พิจิตรเข้าใจว่าเธอหมายถึง โค้ดสำหรับการสื่อสารระหว่างองค์กร NLT (Non Lethal Technology)กับ  พนักงาน ที่ไม่ต้องการให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรู้ความหมาย

"ถ้าระดับกลุ่ม ก็พอคุ้น ๆ บ้างนะ  แต่ถ้าเป็นโค้ดส่วนตัวเลยนี่รู้กันไม่ได้"

ทอมขมวดคิ้ว

"รู้ไม่ได้ หมายถึง คนที่ได้รับโค้ด รู้ได้คนเดียวเหรอคะ ?"

พิจิตรพยักหน้า

"ใช่สิ !  ญาได้รับโค้ดเหรอ ? พี่ไม่ได้รับอะไรเลย นอกจาก ดร็อปเดอะริเวอร์ ที่ส่งมาครั้งที่แล้ว  ถ้าเป็นโค้ดกลุ่ม พี่จะได้รับด้วย  แสดงว่าเป็นโค้ดส่วนตัว"

"อ้าว แล้วญาจะรู้ความหมายได้ไงคะ ? เค้าส่งมาว่า อะไรก็ไม่รู้ แต่ยังมีคำว่า ริเวอร์"

"ญาล็อกอินเข้าระบบ ในหัวข้อ เมสเสจ มันจะมีโค้ดที่ส่งให้เรา เก็บไว้ในเซิฟเวอร์ไว้ด้วย  แต่พอเราล็อกอิน กดไปที่ข้อความโค้ด  มันจะไปเปิดคำแปลของโค้ดอีกที  แต่มันต้องล็อกอินด้วยชื่อกับรหัสผ่านของเราเท่านั้น เราถึงจะเข้าไปอ่านความหมายของโค้ดได้"

เธอเอียงคอ

"พูดถึงที่เอ็นแอลทีแล้ว ก็นึกถึงโธมัสเนอะ ไปอยู่ตุรกีไม่รู้จะสนุกขนาดไหน"

พิจิตรอมยิ้ม

"แล้วคิดถึงหิมะด้วยมั้ย ?"

ทอมยิ้มอย่างมีความสุข

"ญาคิดถึงทะเลสาปที่กอสลาร์ อยากรู้ว่า เวลามันไม่เป็นน้ำแข็ง มันสวยขนาดไหน"

"ถ้ามีโอกาส เราจะกลับไปที่นั่นกันอีกครั้ง"

เธอละแขนจากพวงมาลัยมาจับแขนพิจิตร แล้วเขย่า

"จริง ๆ นะคะ ! อยากไป  อยากกลับไปอีก !"

เขาพยักหน้า

"พี่ก็อยาก เราไปตอนฤดูอื่นกัน ที่มันไม่หนาว  ที่นั่น น่าจะสวยไปอีกแบบ"

คำพูดของพิจิตร ทำให้เธอระลึกถึงความหลังได้ เป็นความหลังที่มีแต่ความทรงจำที่มีความสุข

"เราไปหางานทำที่เยอรมันกันดีมั้ย ถ้าเอ็นแอลทีไม่จ้างเราต่อ ?"

"เบื่อเมืองไทยแล้วเหรอ ? หรือ คิดถึงที่นั่นมากกว่า ?"

ทอมกระพริบตาถี่ ใช้ความคิดเพียงแค่อึดใจ ก่อนตอบ

"ทั้งสองอย่างค่ะ !  เวลาที่เราอยู่ที่นั่นกัน บรรยากาศทุกอย่าง มันแตกต่างจากที่นี่ .....มาก"

เธอเอื้อมมือไปกุมมือพิจิตร

"ญามีเพลงสำหรับพี่จิตรด้วยนะ  ต้องเพลงนี้เท่านั้น เพราะว่า ยูแคนรีดมายมายด์"

พิจิตรหัวเราะ

"พูดเรื่องอะไรเนี่ย ?"

"ก็ตั้งใจพูดให้พี่จิตรงงไงคะ ? อดีตชาติน่ะ พี่จิตรอ่านใจญาได้นะ จำได้มั้ย ที่ญาเคยนั่งสมาธิแล้วบอกพี่จิตรว่า ญาถามพี่จิตรในอดีตว่าอ่านใจญาได้มั้ย ? พี่ตอบว่าได้"

"หือ ! พี่ในปัจจุบัน หรือ ในอดีต ?"

"ในอดีตค่ะ !"

พิจิตรพยักหน้า รับรู้ว่าจำได้

ทอมเอื้อมมือไปกดปุ่ม Play ที่เครื่องเสียงติดรถ

"ฉะนั้น เพลงนี้ ญาก็มอบให้พี่จิตร ว่าจะส่งเป็นไฟล์ไปให้ แต่ วันนี้บังคับให้ฟังบนรถเลยดีกว่า"

อินโทรของเพลง Can You Read My Mind ดังขึ้น

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือพิจิตรก็ดังขึ้นพร้อมกัน เขายกโทรศัพท์ขึ้นดูหน้าจอ แล้วกดรับสาย

"ว่าไง บี ?"

ทอมกดปุ่มปิดเครื่องเล่น เพื่อไม่ให้รบกวนการสนทนาของเขา

พิจิตรถือโทรศัพท์ห่างจากหูเล็กน้อย เสียงปลายทางลอดออกมาชัด ขนาดทอมจับใจความได้

"พี่จิตร ไม่ต้องเข้าบ้านตอนนี้เลย เจ๊มาที่บ้าน ม๊าบอกว่าพี่จิตรจะมา เจ๊ยืนรอหน้าบ้านเลย  ระเบิดลงแน่  พี่จิตรเปลี่ยนเป็นวันอื่นเลย"

เขานิ่งไปชั่วขณะ แล้วพูดตอบ

"ไม่เป็นไร !  ชั้นไม่กลัว อยากจะอาละวาดก็ให้มันอาละวาดไป  ห้ามมันไม่ได้ อีกสิบนาทีคงถึง"

เขาตัดสาย แล้วถอนหายใจ

"เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ?" โชเฟอร์ถามขึ้น

"บีบอกว่าพี่สาวกำลังรอฉะพี่อยู่  พี่เคยเล่าเรื่องพี่สาวให้ฟังคร่าว ๆ แล้วใช่มั้ย ?"

"ค่ะ ! แค่บอกว่า ไม่ค่อยไว้ใจให้พี่สาวดูแลแม่"

พิจิตรพยักหน้า

"เค้าวัตถุนิยมมากจนพี่กับเค้าคุยกันไม่รู้เรื่อง  ต้องใช้รถเบ๊นซ์ ต้องมีของแบรนด์เนม กระเป๋าวิตตอง ลูกสาวตัวกะเปี๊ยกต้องมีไอโฟน  จิตใจส่งออกแต่ภายใน ไม่มามองภายใน"

ฐิติชญาทำได้ดีที่สุด คือ รับฟัง  ไม่คิดจะซักถามใด ๆ

"ใจเย็น ๆ นะคะ ยังไงก็พี่น้องกัน"

พี่จิตรหันไปมามองหน้าเธอ

"ญาว่า พี่เป็นคนใจร้อนมั้ย ?"

"ไม่ค่ะ ! พี่จิตรมีความเป็นผู้ใหญ่ สุขุม ญาเชื่อว่าซักวัน คนอื่นจะต้องเข้าใจพี่"

พิจิตรพยักหน้ารับฟัง

**********************************************************************************

1, 2 < อ่านหน้า >4, 5

สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่

กลับขึ้นด้านบน  อ่านตอนอื่น 

 

 

 

 
Copyright © 2008, pendulumthai.com All rights reserved