ตอน 34

เพลิงแห่งเตโช

 

 

เสียงปัญจะวิทย์ แก่งอุดม พูดอย่างเนือย ๆ มาตามสาย

"น่าจะเป็นมาสักพักนึงแล้ว ที่ผมส่งพลังไปปลายทาง แล้วไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไม่เห็นภาพปลายทาง ไม่รู้สึกอะไรเลย ผมก็ไม่รู้ว่าส่งพลังถึงหรือเปล่า หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเค้า หรือผมอาจจะทำอะไรผิดไป  มีอะไรคุณปั้นแนะนำผมมาแล้วกัน"

ครูปั้นตอบผู้อาวุโสแห่งแก่งอุดมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ อ่อนน้อม

"คุณปัญจะวิทย์ก็เป็นเหมือนกันเหรอคะ ? ปั้นเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่ มันไม่ใช่แค่ช่วงนี้ น่าจะไม่ได้ตรวจปลายทางอย่างละเอียด มาเป็นปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้เอะใจ เพราะทุกครั้งเวลาส่งพลังไป จะไม่มีปัญหา ปั้นก็เลยไม่ได้ดูละเอียด 

คืน ๆ นึง ต้องมีเรื่องส่งพลังไปถึงศิษย์ กับ คนไข้หลายราย  ไม่ได้ฉุกคิดเรื่องใครเป็นพิเศษ พอมาช่วงนี้ ต้องการสื่อสารส่งพลังไปหาเค้า แต่กลับไม่มีพลังอะไรกลับมา ถึงได้ลองถามคุณปัญจะวิทย์"

"อ้าว เหรอครับ ? ถ้าคุณปั้นสื่อสารไม่ได้ด้วยนี่ถือว่าผิดปกติแล้ว"

"เค้ายังติดต่อได้ตามปกติใช่มั้ยคะ ? มีคนยังติดต่อเค้าได้อยู่ ?"

"ครับ ! ผมแจ้งมัณให้ติดต่อไป เธอก็บอกว่ากำลังเรียกเค้าเข้าไปที่บ้านไตรสรณ์  แสดงว่ายังติดต่อกันได้  ถ้าเค้ากลับไปที่บ้านนั้น ผมก็ฝากไว้แล้วว่าให้ติดต่อผมกลับมา   ผมฝากกับต่อไป  ต่อก็รับปากว่าจะบอกเค้า"

"ต่อติดต่อกับเค้าโดยตรงไม่ได้ ?"

"ไม่ได้ครับ ! เค้าติดต่อกับน้องวิ น้องสาวเท่านั้น เมื่อเค้ากลับมาที่บ้าน ต่อก็คงจะบอกเค้าให้มาหาผม"

"ค่ะ ! งั้น ปั้นก็ขอฝากคุณปัญจะวิทย์ด้วย พาเค้ามาหาปั้นนะคะ ครั้งนี้ต้องขอเจอตัว อยากรู้ว่าทำไมถึงสื่อสารไปถึงเค้าไม่ได้ ต้องเจอตัวให้แม่หญิงสาวิตรีดู"

เสียงสัญญาณโทรศัพท์แทรกเข้ามา หน้าจอขึ้นชื่อ ผู้โทรเข้า คือ ฐิติชญา

"ปั้นขอวางสาย รับอีกสายนึงก่อนนะคะ"

เธอสลับสายจากผู้อุปถัมภ์คนสำคัญ มารับสายทหารเอกมือขวาของพระศรี ฯ

"สวัสดีค่ะ ญา !"

"สวัสดีค่ะ ครูปั้น ! ญามีเรื่องปรึกษาค่ะ ครูปั้นยังไม่นอนใช่มั้ยคะ ?"

"ยังจ้ะ ! ยังไม่นอน คุยได้  เป็นยังไง ? วันนี้ได้รวมพลังส่งไปทิศเดิมหรือเปล่า ?"

"ค่ะ ! ส่งแล้วค่ะ  ปลายทางคล้าย ๆ ว่ามีผู้หญิงอยู่ที่นั่น แต่รู้สึกไม่ชัดค่ะ แต่ก็รู้สึกว่า วันนี้พลังมีมากขึ้น ไม่รู้ว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า"

ทหารเอกพูดไปตามที่สัมผัสได้

"ไม่หรอก ! ก็ตามที่ญารู้สึกนั่นแหละถูกต้อง วันนี้พลังเยอะ เพราะศิษย์หลายที่รวมกันส่งพลังมาที่ญา ช่วงนี้เราต้องเร่ง เพราะทั้งสามโลกเปิดทางให้เรากำจัดมาร   ปลายทาง ไม่ว่าจะเห็น หรือ รู้สึกว่าเป็นอะไร ก็ถือว่าตามนั้น

พลังที่คนอื่น ๆ เคยส่งไป ส่งผ่านได้แค่ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซนต์ มีพลังของญาเท่านั้น ที่ส่งผ่านไปได้ร้อยเปอร์เซนต์  ต่อไปนี้ ถ้ารวมพลังที่ญาก่อน แล้วให้ญาเป็นคนส่ง ก็จะส่งได้เต็มที่"

ทอมไม่เข้าใจเหตุผลว่า เหตุใด เธอถึงเป็นคนพิเศษที่มีพลังมากกว่าคนอื่น แต่เธอเชื่อว่าพลังเหล่านั้นที่เธอส่งมีจริง เพราะเธอสัมผัสได้ 

"ญาขอปรึกษาครูปั้นเรื่องอื่นได้มั้ยคะ ?"

"ได้สิจ๊ะ !"

ทหารมือขวาถอนหายใจ

"ญามีเรื่องกับที่บ้านอีกแล้วค่ะ คราวนี้ทั้งพ่อกับแม่เลย เมื่อเย็นนี้เอง"

"หือ ! เกิดอะไรขึ้น ? ญาลองเล่ามาซิ !"

"คนแถวบ้าน เป็นข้าราชการระดับสูง จัดงานที่บ้าน จอดรถเกะกะซอย ญาก็ไปแจ้งที่สำนักงานนิติบุคคล แต่พ่อกับแม่ตำหนิญาว่า ญาทำผิด เพราะ เค้ามาบอกเราล่วงหน้าแล้วว่าจะจัดงาน แล้วเค้าก็เคยช่วยหมู่บ้านไว้ตอนน้ำท่วม เค้าออกเงินส่วนตัวช่วยส่วนรวม  

พ่อกับแม่ ไม่พอใจญามาก  ญาก็เถียง พ่อกับแม่โกรธมาก  แม่ถึงกับบอกว่าถ้าไม่พอใจที่จะอยู่ที่นี่ ก็ให้ย้ายออกไป"

เจ้าสำนักรู้สึกประหลาดใจถึงกับอุทาน

"ตายจริง !  ย้ายออกไป เรื่องใหญ่เลยนะ ญา ! ถ้ากำลังโกรธ แล้วย้ายออกไป ตอนกลับ ยากแน่ ๆ พ่อแม่ยิ่งเสียใจเข้าไปใหญ่ ญาอย่าทำอย่างนั้นนะ"

"ค่ะ ! ญาก็ไม่รู้จะทำยังไงดี  ทำไมมีเรื่องวุ่นวายกับที่บ้าน ทั้ง ๆ ที่ตั้งแต่เด็กจนโต ญาไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจเลย ? ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ ?"

ครูปั้นเงียบไปสักอึดใจ

"ธาตุไฟกำเริบ ! พลังของญาร้อนเกินไป  มันเป็นผลของการส่งพลังที่ญาทำ"

"เกี่ยวกันเหรอคะ ?"

"เกี่ยว ! ช่วงนี้ญาทำงานทางด้านพลัง มันก็ส่งผลในชีวิตประจำวันด้วย  พลังธาตุไฟ ก็ส่งผลให้เลือดร้อน ใจร้อน  ต้องแก้ไขแล้วล่ะ !  ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้"

"ต้องแก้ยังไงคะ ?"

"อย่างแรก เรื่องพ่อแม่  ยังไงก็สำคัญที่สุด  ญาต้องไปขอโทษทั้งสองคน ไปกราบเท้าเลย แล้วขอให้พ่อแม่อภัยให้  ยังไงญาก็ผิด  ครูฟังที่ญาเล่ามา ครูว่าญาใจร้อนไปหน่อยนะ  เรื่องแบบนี้ถ้าพ่อแม่เค้าต้องการยังไง เราก็น่าจะยอมได้ ไม่ใช่เหรอ ?"

ครูปั้นพูดเหมือนที่ใจเธอคิด ณ ขณะนี้  ใครฟังเรื่องราวก็ต้องมีความเห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ทำเกินไป เธอต่างหากที่ทำเกินกว่าเหตุ  แต่ ทำไมความคิดแบบนี้ไม่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น ?

"ค่ะ ! ปกติญาก็ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องพวกนี้ พ่อแม่อยากให้ญาทำอะไร ญาทำได้หมด  แต่ วันนี้ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น  ญา... เหมือนกับ ญายอมไม่ได้  ใจมัน.... มันต้องสู้....."

ครูปั้นดักทาง

"ใจมันเหมือนมีไฟมาเผา ได้ยินอะไรก็ไม่เข้าหู"

"ใช่ค่ะ ! มันพร้อมลุยได้เลย" ครูปั้นพูดเหมือนที่เธอกำลังคิด

"นั่นแหละ ! เป็นผลของการฝึกพลัง !

ญาแก้ไขเรื่องที่บ้านก่อน ญาต้องไปกราบขอโทษพ่อแม่  พ่อแม่จะด่าว่ายังไง เราต้องยอมรับ ห้ามเถียง  ห้ามย้ายออกจากบ้านนะ เรื่องใหญ่เลย  พ่อแม่ยิ่งจะเสียใจเข้าไปใหญ่  หากทำอย่างนั้น เรื่องจะยิ่งยากเข้าไปอีก"

"ค่ะ ! ญาจะรอตอนเช้าดี หรือว่า รีบทำเลยดีคะ ?"

"อย่ารอถึงเช้าเลย ! คิดถึงหัวอกพ่อแม่ ป่านนี้สองคนคงนอนน้ำตาไหลในอก  คุยกับครูเสร็จ ญารีบไปขอขมาพ่อแม่ ให้พ่อแม่อภัยให้ เคลียร์กันให้เข้าใจภายในคืนนี้  แล้วจะได้นอนหลับทั้งสามคน"

"ค่ะ ! ถ้าทำงานให้พระศรี ฯ แล้วมีผลแบบนี้ ญาต้องหยุดก่อนหรือเปล่าคะ ?"

"หยุดก่อนดีกว่า ! คืนนี้ครูจะถามแม่หญิงสาวิตรี  แล้วเราค่อยมาว่ากัน ญารีบไปขอขมาพ่อแม่ก่อนเถอะ"

"ค่ะ !"

****************************************************************************** 

บรรยากาศแห่งสายฝนของบางกอกซีดาร์ฟันปาร์ค ทิ้งอารมณ์ครึ้ม ๆ ไว้ในใจของเขา

หลังอาบน้ำ รุ่งโรจน์ถอดล็อกเก็ตห้อยคอออกมาทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำ

เมื่อมองล็อกเก็ตห้อยคอทุกครั้ง จะนึกถึงคำถามที่พ่อเคยทิ้งไว้เป็นคำสอนตั้งแต่สมัยยังเด็ก

พ่อตั้งคำถามนี้กับเขา ในคืนวันที่ให้นาฬิกาข้อมือไซโก้เรือนเก่าที่มีอายุสิบห้าปี ณ ขณะนั้น แต่หากนับถึงวันนี้ ถ้ามันยังไม่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นเศษเหล็ก นาฬิกาไซโก้เรือนนั้น คงมีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปี มากกว่าอายุของเขาเองเสียอีก

คำถามที่พ่อถาม ก่อนให้นาฬิกา ก็ คือ 'สะสมอะไรมีค่าที่สุด ?'

เขาพยายามคิดคำตอบอย่างฉลาดที่สุด เท่าที่เด็กอายุไม่ถึงสิบขวบจะคิดได้

คำตอบของเขา คือ ..... สะสมที่ดิน !

สะสมทรัพย์สินอื่น ๆ ราคาตลาดก็จะตกไปตามกาลเวลา แต่ที่ดินมีแต่ราคาขึ้น

ด้วยอายุเพียงเท่านั้น คิดได้ขนาดนั้นก็ถือว่า เก่งเกินกว่ายามปกติแล้ว ยามปกติที่เด็กชายรุ่งโรจน์ ไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบเรียนหนังสือ ไม่ชอบสะสมความรู้รอบตัวใด ๆ

คำตอบในครั้งนั้น ก็ทำให้พ่อยิ้มได้ แต่คำเฉลยของพ่อนั้น แยบคายกว่ามาก เป็นคำตอบที่ทำให้เขาศรัทธาทันทีเมื่อได้ฟังคำอธิบาย และ กลายเป็นสิ่งที่เขายึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด

ใช่จริง ๆ ! สิ่งสะสมอื่นใด ล้วนไม่มีค่า  แม้แต่ล็อกเก็ตห้อยคอนี้ ก็ตาม

พ่อให้นาฬิกาเรือนโปรดแก่เขา โดยไม่ย้ำว่าต้องรักษาให้ดี แต่กลับบอกว่า ถ้ามันเสีย หรือ มันหาย ก็อย่าไปเสียดาย พ่ออะไรสอนลูกแบบนี้กันนะ ? เขานึกถึงแล้วก็มีรอยยิ้มออกมา

ล็อกเก็ตนี้ มีไว้ใช้ห้อยคออย่างเดียว เขาไม่เคยทนุถนอม ไม่กลัวว่ามันจะขาด จะเปื้อน หรือ แม้แต่จะหาย เขาก็ไม่เคยกังวล

สิ่งที่ปฏิบัติเป็นปกติ คือ ถ้ามันยังอยู่ ก็ห้อยไว้ เพื่อระลึกถึงพระคุณพ่อแม่ ถ้ามันหายเมื่อไหร่ ก็ไม่ได้หมายความว่า สติจะเลอะเลือนถึงขนาดลืมบุญคุณพ่อแม่

พ่อบอกว่า ' .....สิ่งที่สมควรสะสม เมื่อสะสมแล้วมันจะติดตัวไปมากกว่าทรัพย์สินอื่นใด โตขึ้น ทำให้สาวหลงได้มากกว่าเครื่องประดับ มากกว่าทรัพย์สิน ก็คือ ....'

ไอ้คำว่า 'ทำให้สาวหลง' นี่ ทำให้ตาสว่างขึ้นมาในคืนนั้น ข้างในมีแต่รอยยิ้ม มองภาพว่าในอนาคต เขาจะเป็นชายหนุ่มที่มีสาวมารุมชอบ

จากคืนนั้นมา ถึงเวลานี้ สิบกว่าปี การสะสมของเขาได้ออกผลประทับตา ประทับใจสาว ๆ ได้มากน้อยขนาดไหน เขาไม่เคยได้มีโอกาสถามสาวคนใด แต่ด้วยเหตุผลทุกประการที่เขานึกออก นาน่า ไม่ใช่หนึ่งในผู้หญิงพวกนั้น

นาน่ารู้จักสถานะตัวตน และ กำพืดของเขาดีกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้รู้จักบุคลิกของเขา หากย้อนไปนึกถึงสาวคนอื่น เช่น ฝน ฝนได้รู้จักกับบุคลิกของเขามากกว่าสถานะตัวตน

การได้เดทกับนาน่าเป็นครั้งที่สอง กลับทำให้เขาเปลี่ยนความคิด เขาเริ่มมั่นใจว่า เธอไม่ได้เข้าหาเขาเพราะเสน่หาในเชิงชู้สาว แต่ เธอเข้าหาเขาเพราะสถานะตัวตนของเขาจริง ๆ ประวัติชีวิตของเขา ต้องมีสิ่งใดเกี่ยวพันกับชีวิตเธอแน่ ๆ

ความคิดเรื่อยเปื่อย แล่นไปตามแรงเฉื่อย คิดไปคิดมา ยังไงก็ต้องกลับไประลึกถึงจดหมายนิรนาม

เธอ หรือ เขา หรือ เพศใดก็ตามเถอะ ที่เป็นคนเขียนจดหมายเหล่านั้น เขาต้องรู้จักบุคลิกของคนที่ชื่อรุ่งโรจน์เป็นอย่างดียิ่ง

ว่าแล้ว รุ่งโรจน์ก็เดินไปที่ลิ้นชัก หยิบกองจดหมายนิรนามทั้งกองออกมาวางไว้บนเตียง

เขาพึมพำกับตัวเองในความคิด

'นี่คุณดูสิ ! สาวสวยระดับนางแบบเพิ่งมาเดทกับผม แต่ผมกลับมาสนใจจดหมายของคุณมากกว่า'

จดหมายของผู้เขียนนิรนามประมาณสิบฉบับถูกกองวางไว้บนเตียง เขาสุ่มหยิบมาทีละฉบับ เปิดอ่านใจความซ้ำ

อ่านไปก็อมยิ้มไป คิดกับตัวเองว่า

'นี่กูบ้าไปหรือเปล่า หรือว่า กูหลงตัวเอง ขนาดมีใครมาชื่นชม ก็เก็บมาปลื้ม คิดว่าตัวเองเลิศเลอ ?'

ใจความในจดหมายแต่ละฉบับ ยากที่จะทำให้เขาระงับอารมณ์หลงไหลไปด้วย สำนวนเหล่านั้นกลายเป็นคำพูดที่คุ้นเคย

แต่... คนที่เขียนนั้น เป็นเพศใดกันแน่ ? สมัยนี้ ยากที่จะบอกได้ว่า จดหมายประเภทนี้ เขียนโดยผู้หญิงจริง ๆ

แต่... หากว่าคนเขียน ไม่ใช่ผู้หญิง ความประทับใจทั้งหมดที่มีต่อนายนิรนามคนนี้ จะหายไปหมดทันทีหรือไม่ ?

ไม่ใช่แน่ ๆ ! ถ้าเขาได้รู้จักผู้ชายที่มีรสนิยมในการใช้ชีวิตประมาณนี้ เขาก็ยินดีจะเป็นเพื่อนกับนายนิรนามคนนี้ได้อย่างเต็มใจ

ผู้ชายที่ชอบเข้าห้างไดโสะ ดูอนิเมชั่นญี่ปุ่น ฟังเพลงจีน ดูหนังเก่า ๆ ..... นี่มันคือภาพสะท้อนตัวเองชัด ๆ !

เขาหัวเราะหึ ๆ เมื่อรู้ตัวเองว่า กำลังนั่งคิดอะไรเป็นตุเป็นตะมาได้ถึงขนาดนี้

ถ้าจะมีใครคนใดคนหนึ่ง ล่วงรู้ความเป็นตัวตนของเขา คนคนนั้น จะต้องเป็นคนที่รู้ว่า กล่องอาร์เอ็มเอ บรรจุสิ่งใดอยู่บ้าง เพราะ ทุกสิ่งในกล่องนั้นที่บิดาบังเกิดเกล้าทิ้งไว้ให้ มันคืออดีตที่เขาย้ำคิดย้ำทำจนกลายเป็นบุคลิกประจำตัว ณ ปัจจุบัน

80 % ของเพลงที่ยังฟังอยู่ ณ ปัจจุบัน มาจากแผ่นเสียง และ เทปคาสเซ็ทในกล่องนั้น

100 % ของหนังที่ประทับใจที่สุดในชีวิต มาจากวิดีโอคาสเซ็ทในกล่องนั้น

เรื่องราวเหตุการณ์ในโยนกนคร ที่ถูกบันทึกโดยลายมือของพ่อ ก็มาจากกล่องนั้น 

บันทึกเรื่องโยนกนครสามารถเชื่อมโยงเขา เข้าหาตัวตนของพ่อได้โดยผ่านตัวกลางที่จับต้องได้ ณ ปัจจุบัน นั่น คือ พี่แอนดี้... สิงห์แห่งโยนกนคร

'การเดินทางตามอาร์เอ็มเอ ก็คือการเดินตามทางหลวงพ่อ'...... ประโยคนี้ได้บอกความนัยแบบง่าย ๆ ตรงไปตรงมา คือ หากจะเดินทางเดียวกับพ่อบังเกิดเกล้า ก็จงเดินตามคำสอนของหลวงพ่อแห่งอุทัยธานีที่ละสังขารไปแล้ว

สิ่งของในกล่องอาร์เอ็มเอ ยังมีรายละเอียดที่เขาเรียนรู้ไม่มีวันจบ  มันจะจบได้อย่างไร แค่เรื่องบันทึกเหตุการณ์ในโยนกนคร.... อดีตที่ผ่านมากว่าพันปี เรื่องนี้เรื่องเดียวก็ต้องนั่งระลึกชาติไปสืบสาวค้นคว้าถึงจะรู้  หากไม่มีพี่แอนดี้ ก็ไม่มีใครอื่นอีกที่จะไขปัญหาเหล่านี้

คิดมาถึงเรื่องนี้ได้ยังไง ?   ล็อกเก็ตห้อยคอก็ล้างเสร็จแล้ว แต่ใจลอยคิดอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ จนขณะนี้ที่ตัวเองนอนอยู่บนเตียง เพิ่งจะมีสตินึกออกว่า กำลังนึกถึงคำสอนของพ่อ   

.... สิ่งที่สะสม แล้วมีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทอง คือ ทักษะ....ไม่ใช่แค่ความรู้ !

ความง่วงค่อย ๆ กลืนสติของเขาเข้าสู่ภวังค์แห่งนิทรา

"พี่ชื้น ! ช่วยด้วย !"

เสียงตะโกนที่ดังลั่นทำให้เขาสะดุ้งตื่น จดหมายหลายฉบับยังกองอยู่บนเตียงข้าง ๆ ลำตัว 

เขาลุกจากเตียง เดินตรงไปที่ประตู  เปิดประตู เดินออกจากห้องนอน

รุ่งโรจน์เดินลงบันไดมากลางดึก เสียงโทรทัศน์ยังดังอยู่บริเวณห้องรับแขก

เขาชะโงกหน้าจากบันไดขั้นสุดท้าย โผล่ไปที่ห้องรับแขก

"น้านิด !"

น้าสาวสะดุ้งสุดตัว มองมาที่บันได เมื่อเห็นหน้าหลานชาย ก็ตาลุกวาว หยิบหมอนจากโซฟาแล้วขว้างอย่างแรงมาที่หลาน

หลานชายมือไว ยกมือฉวยหมอนไว้ได้

"อ้ายเด็กบ้า ! กลางดึก เสือกมาตะโกนให้ตกใจ  ไฟบันไดก็ไม่เปิด แกจะให้ชั้นตกใจตายหรือไง ?"

หลานชายยกมือไหว้

"ขอโทษ น้านิด ! ดูหนังผีอยู่เหรอ ?"

"แกนั่นแหละผี ! ไม่รู้จักมารยาท ! ดึกแล้ว แกทำไมไม่เปิดไฟเหมือนคนปกติ ? เสือกเดินลงมาเงียบ ๆ น่าโมโหจริง !"

รุ่งยกมือไหว้อีกครั้ง

"ขอโทษ ! ไม่ได้ตั้งใจแกล้ง จะถามน้านิดว่า ได้ยินเสียงใครตะโกนมั้ย  เมื่อกี๊น่ะ ?"

"จะหาใครบ้าเหมือนแก มาตะโกนตอนดึก ๆ ?"

"ก่อนผมลงมา น้านิดได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนมั้ยล่ะ ? "

"ผู้หญิงที่ไหนจะมาตะโกนตอนนี้ ? นี่มันจะห้าทุ่มแล้ว ! "

คำตอบแค่นี้ก็ทำให้เขามั่นใจแล้วว่า เสียงนั้นมาจากความฝันจริง  แต่ เป็นการตะโกนที่ดังกว่าทุก ๆ ครั้ง เหมือนกับว่า เจ้าของเสียงนั้น มายืนอยู่หน้าห้องนอน

เขาเดินถือหมอนมาวางคืนที่โซฟา แล้วเดินกลับขึ้นบันไดไป

"ไอ้นี่มันละเมอหรือไง ? " เสียงน้าสาวบ่นลับหลัง

*****************************************************************************

ชื้น.... คือ หมอเถื่อนสาวสมัยโยนก   หากเขา คือ ชื้น เสียงที่ได้ยิน คือ เสียงคนในอดีตมาเรียกเขาในปัจจุบัน ?

คนที่น่าจะไขข้อข้องใจนี้ได้ มีคนเดียวเท่านั้น

เขากดโทรศัพท์มือถือไปหา สิงห์แห่งโยนก ฯ

"โทรศัพท์คุณแอนดี้ครับ ?" เป็นเสียงผู้ชายรับสาย

"พี่แอนดี้ อยู่มั้ยครับ ?"

"พี่แอนดี้ยังไม่ออกจากห้องนอนเลยครับ"

"พี่แอนดี้เข้านอนแล้วเหรอครับ ?"

"ไม่ใช่ครับ ! ใครโทรมาครับ ?"

"ผม ชื่อ รุ่งครับ"

"อ๋อ รุ่ง ! ผมชื่ออเนก เป็นคนดูแลพี่แอนดี้  ปกติพี่แอนดี้จะพักตั้งแต่ทุ่มนึง แล้วประมาณสองทุ่มกว่า ๆ ก็จะออกจากห้องนอน แต่คืนนี้อาจจะเพลียมาก ห้าทุ่มแล้วยังไม่ออกมาเลย  มีเรื่องด่วน ก็เรียกไม่ได้ พี่แอนดี้สั่งว่า เวลาพักต้องใช้สมาธิ ห้ามเรียกเด็ดขาด ตอนนี้น้องสาวก็เข้าโรงพยาบาล พี่แอนดี้ยังไม่รู้เลย  ผมต้องรอเค้าออกมาเอง"

"น้องสาวเข้าโรงพยาบาล คุณหงส์เหรอครับ ?"

"ใช่ ! แต่ตอนนี้มีอาเจิ้นไปดูแลแล้ว"

"คุณหงส์เป็นอะไรครับ ?"

"ปวดท้อง โรคประจำตัวน่ะ"

"เข้าโรงพยาบาลอะไรเหรอครับ ?"

"โรงพยาบาลกรุงเทพครับ"

เขาหมดคำถามที่จะถามต่อ

"ครับ งั้นผมไม่รบกวนแล้วครับ"

"จะฝากข้อความไว้มั้ย รุ่ง ?"

"ไม่ต้องดีกว่าครับ ! พี่แอนดี้น่าจะมีเรื่องด่วนกว่าเรื่องของผมแล้ว"

รุ่งตัดสาย คิ้วเริ่มขมวด

เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนที่เรียกเขาว่า 'พี่ชื้น' คือ คุณหงส์ ที่กำลังเข้าโรงพยาบาล ?

หากลำดับเหตุการณ์เสียงเรียก คำว่า พี่ชื้น ที่เขาได้สัมผัส.....

.....  ครั้งแรก ขณะอยู่บนฟลอร์เลสโคสเตอร์ กับ แคลร์  ซึ่งหลังจากลงมาจากเครื่องเล่น เขาก็ได้รู้จักกับคุณหงส์เป็นครั้งแรก

..... ครั้งที่สอง ในห้องคอนเสิร์ทฮอลล์ ซึ่งวันนั้น คุณหงส์มีอาการปวดท้อง 

..... ครั้งที่สาม ในห้องน้ำบ้านพี่แอนดี้ ซึ่งคืนนั้น คุณหงส์ระบายความในใจออกมาในเพลงคาราโอเกะ

...... ครั้งที่สี่ ในคืนนี้ ที่คุณหงส์เข้าโรงพยาบาล น่าจะเป็นเครื่องยืนยันว่า ชื้น ต้องเคยเกี่ยวข้องมากับ คุณหงส์ ในอดีต

เขาเคยช่วยบรรเทาอาการปวดท้องของคุณหงส์ด้วยการนวดน่อง  เป็นไปได้หรือไม่ว่า คืนนี้ จิตของเธอเรียกหาเขาขณะที่เธอป่วย ?

เขาควรไปเยี่ยมไข้เธอหรือไม่ ?  

การไปเยี่ยมไข้ผู้หญิงเวลาเที่ยงคืน มันไม่น่าจะใช่เรื่องที่สมควร  คงไม่มีโรงพยาบาลไหนอนุญาตให้แขกที่ไม่ใช่ญาติ เข้าเยี่ยมในยามวิกาล

****************************************************************************************

อ่านหน้า >2. 3, 4

สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่

กลับขึ้นด้านบน  อ่านตอนอื่น

 

 

 

 

 
Copyright © 2008, pendulumthai.com All rights reserved