
เมื่อตะวันลับไปแล้ว กษัตริย์แห่งแคว้นปะทุมดี ใช้ห้องบรรทมของพระองค์ เป็นที่สนทนากันกับ หนุ่มชาวนาคา โดยมีพระดาบสแห่งสุวรรณภูมิเป็นบุคคลที่สามที่ร่วมรับรู้
"เจ้าจงสาธยายความมา เหตุใด เจ้าจึ่งพูดว่า ธิดาศรีรรรณของเรา จักมีอายุขัยสิ้นในเร็ว ๆ นี้ ?"
หนุ่มชาวนาคา เริ่มเล่าอดีตความเป็นมา จนมาถึงเรื่องการเห็นภาพการก่อกบฏในสมาธิ และ องค์หญิงศรีวรรณต้องจบชีวิตในเหตุการณ์นี้
พระดาบสถามขึ้น
"ข้าจักรู้ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์นี้ จักเป็นจริง ?"
"ในสมาธิที่ข้าเห็น แม่ทัพใหญ่สามคน ร่วมกันพาทหารบุกเข้าพระราชวัง ข้าเห็นเช่นนั้น"
เจ้าธรรมราชาขมวดคิ้ว
"แม่ทัพทั้งสาม ประจำอยู่คนละทิศของแคว้น มาอยู่รวมกันได้เป็นเรื่องที่แปลก"
จุลินทร์ออกความคิด
"หากเป็นเช่นพระองค์ตรัส ขอเพียงแค่พระองค์ ทรงรับสั่งให้แม่ทัพทั้งสามประจำการอยู่ ณ ทิศอันใกล้
โพ้นนั้นห้าวัน ก่อน และ หลัง ขึ้นสิบห้าค่ำศกนี้ ห้ามเดินทางออกนอกลำเนานั้นเด็ดขาด แล้วทรง
ส่งคนติดตามแม่ทัพทั้งสามอย่างลับ ๆ
หากจักมีการวางแผนกบฏเกิดขึ้น แน่นอนว่า แม่ทัพเหล่านั้น จักต้องเตรียมทัพ เดินทางออกจากลำเนา เพื่อมุ่งสู่พระราชวัง
ซึ่ง คนติดตามของพระองค์ ก็จักสังเกตเห็นถึงการณ์ผิดปกติ แล รีบส่งม้าด่วนมาแจ้งพระองค์ในทันที
ม้าด่วนเดินทางเพียงไม่ถึงข้ามวัน จักมาถึงพระราชวัง ส่วนทัพทหารนั้นเดินทางเป็นกลุ่ม จำต้องใช้ระยะเวลาเดินทางช้ากว่าม้าด่วนหนึ่งตัว
พระองค์ ก็จักทรงได้รับข่าวนั้น ก่อนที่แม่ทัพจักพาทหารเดินทางมาถึง"
เจ้าธรรมราชา กับ พระดาบส เดินออกจากห้องบรรทมเพื่อสนทนากัน
ครู่ใหญ่ก็เดินกลับเข้ามา
เจ้าแห่งปะทุมดีพูดขึ้น
"เราเห็นพ้องกับเจ้าในเรื่องนั้น"
จุลินทร์ย้ำอีกครั้ง
"หากพระองค์ทรงเข้าพระทัยตามที่หม่อมฉันทูลไปแล้ว ขอพระองค์ทรงมอบองค์หญิงให้แก่หม่อมฉัน"
"หากที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริง ยังไงเสีย เราก็จักรู้ข่าวนั้นก่อนเกิดการกบฏ มีเวลาเพียงพอที่จักหาทางเอาตัวรอด
ศรีวรรณเป็นลูกสาวเรา เราย่อมปกป้องนางได้"
จำเลยเริ่มมีน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
"พระองค์คิดตื้นเกินไป ! อายุขัยเมื่อสิ้นแล้ว หาใช่หลบหนีกันง่ายเช่นนั้นไม่
ถึงแม้พระองค์จะช่วยองค์หญิงหนีจากการจับกุมของกบฏ องค์หญิงก็จักต้องสิ้นพระชนม์วันใดวันหนึ่งภายในระยะอันใกล้นี้
ขอให้หม่อมฉัน ได้เป็นผู้ทำพิธีกรรม ส่งองค์หญิงกลับสู่ภพที่นางจากมา
แล โปรดให้พระดาบส ถอนเวทย์อาคมนี้ จากหม่อมฉันด้วยเถิด"
พระดาบสพูดขึ้น
"ถ้าหากเกิดเหตุการณ์กบฏขึ้นจริง ข้าจักเป็นคนถอนเวทย์ให้เจ้า"
จุลินทร์มองหน้าฤาษี
"นี่ท่านหมายความเช่นใด ? ท่านจักกักข้าไว้ในร่างสัตว์ครึ่งวันเช่นนี้มิได้"
พระเจ้าธรรมราชายกมือชี้หน้าจุลินทร์
"เจ้าบังอาจเข้าวังมาดูหมิ่นเหยียดหยามลูกสาวเรา นำเรื่องที่เรายังพิสูจน์มิได้ว่าเป็นจริงมากล่าว ให้พระอาจารย์สาปเจ้าเป็นสัตว์นี่นับว่าเป็นบุญโขอยู่แล้ว ความจริง เจ้าสมควรถูกสั่งตัดหัวประจานเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างด้วยซ้ำ
หากเลยสิบห้าค่ำศกนี้ไปเจ็ดวัน มิมีการกบฏเกิดขึ้น ก็จักมิมีการถอนเวทย์นั้น เจ้าจักต้องใช้ชีวิตที่เหลือของเจ้า เยี่ยงนี้
ตะวันขึ้น เจ้าจักเป็นงู ตะวันลับ เจ้ากลับเป็นคน สมควรแล้วสำหรับสิ่งที่เจ้าบังอาจทำกับลูกสาวของเรา"
*****************************************************************************

พระราชธิดาศรีวรรณ ฟังความจากพระอาจารย์แล้ว มีสีหน้าสลด เริ่มหลั่งน้ำตา
พันไม่กล้าที่จะสบหน้าองค์หญิงของตนเอง
"หากที่พระอาจารย์กล่าวมาเป็นเรื่องจริง อายุขัยของศิษย์นั้น คงจะมีเหลืออีกไม่นานใช่รึไม่ เจ้าคะ ?"
พระอาจารย์ถอนหายใจ
"ทูลองค์หญิงตามตรง หม่อมฉันมิมีความเชี่ยวชาญในเรื่องอายุขัยของมนุษย์
วิชาสุริยัน จันทรา นั้น มีอำนาจมากล้นก็จริงแหล่ แต่หามีวิธีจัดการใด ๆ กับอายุขัยของมนุษย์ได้ไม่
ในหล้านี้ หม่อมฉันได้ยินเพียงแต่ คำสอนของพระสัมมา ฯ เท่านั้น ที่มีกล่าวไว้"
"คำสอนของพระสัมมา ฯ ! สิ่งใดเรียกคำสอนของพระสัมมา ฯ ?"
"หม่อมฉันหมายถึง ลัทธิของพระสัมมา ซึ่ง พระโสณะ แล พระอุตตระ เป็นผู้นำมาเผยแพร่นั้น มีคำกล่าว คำสอน เกี่ยวกับอายุขัยของมนุษย์
พระบิดาขององค์หญิงนั้น มิทรงได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้เมื่อยังพิสูจน์มิได้ว่า คำพูดของเจ้าล่ามอวดดีผู้นั้น เป็นจริง หรือ เท็จ พระองค์ก็ทรงรับสั่งให้เหล่าอำมาตย์ แล เหล่าปุโรหิตต่าง ๆ ค้นหาพิธีกรรมใด ๆ ที่จักยืดอายุขัยของผู้ใดผู้หนึ่ง
เหล่าอำมาตย์ แล เหล่าปุโรหิต ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ลัทธิที่ให้คำตอบเรื่องเหล่านี้ได้ คือ ลัทธิขององค์พระสัมมา ฯ"
องค์หญิงศรีวรรณ มองขึ้นไปที่คัมภีร์เทียบบนแท่นศิลา 
"คัมภีร์เทียบนั่น คือ สิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันกับอายุขัยของศิษย์ ใช่รึไม่ เจ้าคะ ?"
"มิผิด พ่ะยะค่ะ! ผู้ที่สงเคราะห์ส่งคัมภีร์เทียบนี้มา คือ พระอรหันตสาวก ศิษย์แห่ง พระโสณะ ท้ายคัมภีร์มีคำทำนายระบุอนาคตของพระองค์อยู่ด้วย"
"อนาคตของศิษย์เหรอเจ้าคะ ?"
"ใช่ พ่ะยะค่ะ ! คำทำนายของพระโสณะ มีส่วนเกี่ยวข้องกับอนาคตขององค์หญิงศรีวรรณ
ด้วยเวลาที่เร่งรัด พระบิดาของพระองค์ ทรงอ่านคำทำนายท้ายคัมภีร์แล้ว ก็ทรงตรองมิแจ้ง ทรงมิเข้าพระทัยว่า คำทำนายส่วนไหน ที่เกี่ยวเนื่องด้วยองค์หญิงศรีวรรณ
หากแต่ ใจความทั้งหมดนี้ ผู้ที่เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วนั้น คือ พ่อหลวงตวันอธิราช เนื่องด้วย พระองค์ทรงได้สดับความหมายจากปากของพระโสณะ ด้วยพระกรรณเอง
ด้วยคำทำนายทั้งหมด มีใจความที่มากหลาย พระโสณะมีความเมตตา จารทั้งหมดลงเป็นคัมภีร์ เพื่อให้พ่อหลวงทรงอ่านได้อีกภายหลัง
แต่ใจความสำคัญของคำทำนาย พ่อหลวงได้เข้าพระทัยหมดแล้ว"
องค์หญิงพลัดถิ่นพยักหน้าช้า ๆ
"คัมภีร์เทียบนี้ สำคัญกับศิษย์อย่างนี้นี่เอง เสด็จพ่อจึ่งให้ศิษย์เป็นผู้นำมามอบให้พระอาจารย์"
"คัมภีร์นี้สำคัญต่อชาวทวารวดีทั้งผอง จำต้องส่งมอบถึงพระหัตถ์ของพ่อหลวงตะวันอธิราช เพื่อสืบต่อพระศาสนาให้ชาวทวารวดีทั้งมวล รู้แจ้ง
หม่อมฉันเอง เป็นหนึ่งในผู้ที่ปวารณาตัวแล้ว"
"พระอาจารย์ปวารณาตัวกระทำสิ่งใดรึ เจ้าคะ ?"
"เมื่อคัมภีร์นี้ถึงพระหัตถ์พ่อหลวง แล ได้รับการจารใหม่เป็นภาษาทวารวดี หม่อมฉันจักถวายชีวิตเพื่อศึกษาลัทธิของพระสัมมา ฯ แล ถวายชีวิตในการเผยแพร่"
องค์หญิงศรีวรรณส่ายหัวช้า ๆ
"ศิษย์รู้น้อย จึ่งมิเข้าใจว่า ลัทธิแห่งพระสัมมา ฯ มีคุณวิเศษใด ๆ เหนือวิชาสุริยัน จันทรา ถึงกับ พระอาจารย์ซึ่งเป็นพระดาบสที่ทรงอภิญญาเลื่องลือไปทั้งแดนสุวรรณภูมิ ยังต้องปวราณาตนเอง เพื่อศึกษา ?"
พระดาบสหัวเราะเบา ๆ
"ลัทธิแห่งพระสัมมา ฯ มี อภิธรรม เป็นเลิศ
อภิธรรม คือ ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ว่ากันว่า ผู้ที่รู้อภิธรรม แล ปฏิบัติได้จนถึงที่สุด จักชนะความตายได้"
องค์หญิงหัวเราะเบา ๆ
"ชนะความตาย ! หากเป็นเช่นนั้นจริง อายุขัยของศิษย์ก็จะยืดยาวต่อไปได้อีกใช่รึไม่ เจ้าคะ ?"
พระดาบสสั่นหัว
"ความหมายของ การชนะความตายได้ มิใช่แปลความตรงเช่นนั้น การชนะความตายในความหมายของพระสัมมา ฯ คือ การมิมีการเกิดอีก เมื่อสิ้นการเกิด ก็จักมิต้องพบกับความตาย"
องค์หญิงศรีวรรณ ส่ายหัวอีก
"ช่างเป็นคำกล่าวแบบกำปั้นทุบดิน เสมือนเด็กไร้เดียงสา พูดเพื่อเอาชนะคะคาน"
พระดาบสพยักหน้าช้า ๆ ไม่ถือสาหาความศิษย์ที่ยังไม่ประสีประสากับสรรพศาสตร์ใด ๆ
"คัมภีร์นี้จักส่งมอบถึงพระหัตถ์ของพ่อหลวง ฯ โดยพลัน หากตกอยู่ในมือผู้อื่น ที่แปลความภาษานี้ออก จักเสียการณ์ได้ ด้วย คำทำนายท้ายคัมภีร์นั้น มิสมควรให้ผู้คนรู้เป็นสาธารณะ"
องค์หญิงพยักหน้าเข้าใจ คำทำนายเรื่องเมืองช้างค่อมยังติดคาอยู่ในจิต
"พระองค์ จักเป็นผู้มอบคัมภีร์เทียบนี้ ให้กับพ่อหลวงตะวันอธิราชด้วยพระองค์เอง แล ทรงฟังรับสั่งจากพ่อหลวง ฯ ว่าจักทำเยี่ยงใดกับอายุขัยของพระองค์" พระดาบสกล่าว
"ศิษย์เป็นห่วงองค์แดง น้องสาวของศิษย์ หากมิมีศิษย์อยู่เพื่อปกป้องน้อง ลำเนาเดิมก็หากลับได้ไม่ ศิษย์ควรจักต้องนำองค์แดงไปฝากเสด็จอาไว้"
องค์หญิงหันมาทางพัน
"คงต้องลำบากท่านอีกแล้วหนา ท่านพัน ที่ต้องนำพาฉันไปเข้าเฝ้าเสด็จอา"
พระดาบสท้วงขึ้น
"คงมิใช่ท่านพันดอก ที่จักนำพาพระองค์จากสำนักนี้ ไปเข้าเฝ้าพ่อหลวง ฯ อันตรายจักมีกับองค์แดง หากต้องเดินทางจากที่นี่ไปพร้อมกับพระองค์ เนื่องด้วยพระปิตุลา พระเชษฐาของเจ้าธรรมราชา คงจักต้องให้ทหารตามหาพระองค์ระหว่างทางเป็นแน่
พ่อหลวงตะวันอธิราชเป็นพระอนุชาของพระมเหสีจอมเงิน พระปิตุลาคงสั่งทหารดักเส้นทางระหว่างปะทุมดี แล ทวาวรดีจนหมดสิ้นแล้ว
ขอให้เชื่อในหม่อมฉัน ทรงวางใจให้องค์แดงฝึกวิชาอยู่ ณ ที่นี้ก่อนเถิด มิจำให้องค์แดงต้องทรงรับรู้เรื่องการยึดบัลลังก์ จนกว่าจักฝึกวิชาสำเร็จ
หม่อมฉันจักหาคนที่มีความสามารถเป็นเอกอุ นำพาพระองค์ แล คัมภีร์เทียบไปถึงพระหัตถ์พ่อหลวง"
"ผู้นั้นเป็นผู้ใด เจ้าคะ ?"
องค์หญิงศรีวรรณ ขมวดคิ้ว หันไปมองหน้านายกองทหารประจำราชวัง หากไม่ใช่นายกองผู้ไว้ใจได้คนนี้ แล้วจะเป็นใคร ?
พันเองก็ขมวดคิ้ว ไร้คำตอบ
"หากหม่อมฉันเจรจาความกับผู้นั้นได้แล้ว จักทูลให้พระองค์ทรงทราบโดยพลัน" พระดาบสตอบ
*****************************************************************************

ในจิตใจยังคิดวิตกกังวลกับเรื่องราวเหตุการณ์บ้านเมืองของพระสหายองค์แดง ผจัญราชบุตรจึงยังไม่เข้าห้องบรรทม ยืนอยู่ชานเรือนแหงนมองดูดาว
นกฮูกบินจากต้นไม้ลงมาเกาะที่ราวบันได
ผจัญบุตรกางมือขึ้น เรียกนกฮูก
"ฮูกน้อยเอ๋ย ! มานี่ !"
ด้วยความประหลาดใจเป็นที่สุด นกฮูกกลับตีปีก บินจากราวบันได มาเกาะที่แขนของผจัญบุตร
ราชบุตรรู้สึกดีใจอย่างเหลือเชื่อ จ้องมองดูนกฮูกที่กระพริบตาปริบ ๆ อยู่บนแขนของตนเอง
"เจ้าฟังความข้าออกรึ ? ทำไมเจ้าช่างเชื่องเสียจริง ?"
"ท่านอยากให้ฮูกตัวนี้ทำสิ่งใดอีกเล่า จงกล่าวมา ข้าจักบอกมันให้" เสียงชายหนุ่มที่ไม่คุ้นหูดังมาจากความมืดข้างล่างชานเรือน
ราชบุตรเพ่งมองไปยังความมืดข้างล่าง มีเงาตะคุ่ม ๆ ของผู้ชายคนหนึ่งปรากฏ
"ท่านคือผู้ใด ? สำแดงตนเถิด ข้าหามองเห็นท่านไม่"
ชายหนุ่มก้าวเดินจากความมืด มาที่ชานบันไดใกล้กับกระถางคบเพลิง
แสงไฟต้องกับสร้อยสังวาลย์ที่แนบเนื้อหน้าอกเป็นเงาวาว
ผจัญบุตรถามขึ้น
"ท่านคุ้นเคยกับฮูกตัวนี้รึ ?"
"สัตว์ทั้งหมด ข้าสั่งได้ มิมีเว้น"
ราชบุตรเบิกตาโต
"ท่านเป็นศิษย์พระอาจารย์ใช่รึ ?"
หนุ่มแปลกหน้า ร้องขึ้น
"ฮูกเจ้า กลับรังเถิด ไป !"
นกฮูกกางปีก กระพือ บินจากท่อนแขนของผจัญบุตร หายลับไปในความมืด
"ท่านคุยกับฮูกรู้เรื่องจริง !"
"ท่านสนใจในการสื่อกับสัตว์รึ ?" เขาถามเจ้าชาย
"เป็นเช่นนั้น ! หากเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่านี้ ไม่ทราบว่า พี่ชายจะสื่อได้รึไม่ ?"
พี่ชายผู้แปลกหน้าหัวเราะ
"ท่านจงรอสักประเดี๋ยว ข้ากำลังเรียกมา อีกสักพัก คงมาถึง"
ผจัญบุตรชะเง้อคอมองดูไปในความมืด
"ยังมิใช่เพลานี้ดอก ! สนทนากันไปพลางก่อนเถิด
ท่านมาจากแห่งใดรึ ? เป็นลูกหลานคหบดีตระกูลใด ?"
ผจัญราชบุตร ไม่ชอบโอ้อวดตัวเอง จึงเลี่ยงตอบแบบสุภาพ
"ข้านั้นมาจากเจนปุระ มิใช่ผู้ที่สำคัญนักดอก
พี่ชายเล่า ร่ำเรียนสุริยัน หรือ จันทรา มานานเท่าใดแล้ว จึ่งได้มีความสามารถสื่อกับสัตว์ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ ?"
ชายผู้นั้นอมยิ้ม "ดูท่าทางท่านสนใจเรื่องการสื่อกับสัตว์มากจริงเชียว ! สุริยัน จันทรานั้น มีอิทธิได้หลายวิธี เหตุใดจึ่งสนใจเรื่องการสื่อกับสัตว์เป็นพิเศษ ?"
ในใจราชบุตร กำลังนึกถึงความสำคัญของบ้านเมือง
หากราชวงศ์เจนอุษาได้คชสารเศวตฉัตรเชือกนั้นไปครอง จะปลุกความฮึกเหิมให้กับประชาชนได้เป็นทวีคูณ
เมื่อถึงเวลานั้น กองทัพของเจนปุระ จะไม่กลัวแคว้นนานเยว์บุกรุกรังแกอีกต่อไป การหาอาณาเขตเพื่อเป็นทางออกทะเล ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ยากมากนัก
"ข้าสนใจการสื่อกับสัตว์ใหญ่ ข้าชอบสัตว์ใหญ่เป็นพิเศษ"
"โฮก !" เสียงคำรามของเสือโคร่งดังขึ้นใกล้ ๆ
เสือโคร่งตัวสูงเกือบเท่าหน้าอกของชายแปลกหน้า ปรากฏตัวขึ้นราง ๆ จากแสงคบเพลิงที่ส่องถึง แต่เริ่มชัดขึ้น เมื่อมันค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ
ความใหญ่โตของมัน ทำให้เจ้าชายต้องก้าวถอยหลัง
เสือเดินมาจนใกล้ถึงชานบันได
"หมอบลง !" เขาออกคำสั่ง
เสือโคร่งทรุดขา หมอบลงข้าง ๆ เท้าของเขาทันที
ผจัญบุตรสั่นหัว ไม่เชื่อสายตาตนเอง
"ท่านมีฤทธิ์บังคับสัตว์ได้ถึงเพียงนี้ พี่ชาย ท่านมีนามว่ากระไร ?
หากท่านจักสอนวิชาบังคับสัตว์นี้ให้ข้า ท่านจักรังเกียจรึไม่ ? ท่านต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน ขอจงบอกด้วยเถิด"
เขายืนยิ้ม
"ข้าสอนท่านได้ มิรังเกียจดอก ! การสื่อกับสัตว์ เริ่มต้นมิใช่ยากนัก หากจักสื่อกับเสือ ต้องเริ่มที่สื่อกับลูกของมันก่อน ลูกเสือตัวน้อย เมื่อสื่อกับเสือตัวน้อยได้แล้ว การสื่อกับเสือตัวใหญ่ ก็มิใช่ยากนัก"
ผจัญบุตรพยักหน้า มีรอยยิ้ม
"มิใช่ยากนัก.... นั่นทำให้ข้ารู้สึกลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง ! เช่นนั้น ข้าขอเรียนวิชาการสื่อกับเสือจากท่าน
พี่ชายเรียกข้าว่า จัน เถิด พี่ชายมีนามว่ากระไรรึ ?"
"เรียกข้าว่า ชิด !" ชายแปลกหน้าตอบ
"พี่ชิด ! ท่านจักพร้อมสอนข้าเมื่อใด วานบอก"
นายชิดโน้มหัวลงเล็กน้อย "หากท่านสนใจเรียนรู้กับผู้ด้อยความสามารถเช่นข้า ข้าก็นับว่าเป็นการให้เกียรติแล้ว ท่านรอข้าจัดเตรียมเสือตัวน้อย แล สถานที่เสียก่อน บัดนั้น ข้าจักมาบอกท่าน"
รอยยิ้มที่กลั้นไม่ได้ หลุดออกมาทางใบหน้าเจ้าชายแห่งเจนปุระ
หากเขาเริ่มต้นด้วยการสื่อกับลูกเสือได้ ต่อไป ก็จะสื่อกับเสือได้ และ หากเริ่มต้นด้วยลูกของสัตว์ชนิดต่าง ๆ อนาคต เขาก็จะสื่อกับสัตว์ต่าง ๆ ได้ไม่จำกัด
_____________________________________________________________________________________
1 , 2 , 3, 4 < อ่านหน้า
ต้องการอ่านตอนต่อไป โปรดแสดงความคิดเห็น
ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร กับ อภิญญาฆราวาส ตอน ที่ 43 นี้ ?
แสดงความคิดเห็น กดที่นี่
สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่
กลับขึ้นด้านบน อ่านตอนอื่น
แสดงความคิดเห็น
|