
"ผจัญราชบุตร หม่อมฉันมีข่าวมาทูลพ่ะยะค่ะ !
ราชบุตรรูปงามลืมตาจากการทำสมาธิบนแคร่ไม้ เมื่อได้ยินเสียงพญานุรักษ์อดีตพระพี่เลี้ยงที่ปัจจุบันมาเป็นหัวหน้าองครักษ์ประจำพระองค์เรียกพระนาม
เขาพยักหน้าให้องครักษ์พูดได้
"ม้าด่วนจากปุโรหิตแห่งปะทุมดีแจ้งว่า พระเชษฐาของเจ้าธรรมราชาแห่งปะทุมดี ร่วมกับแม่ทัพใหญ่ได้ยึดบัลลังก์ของเจ้าธรรมราชาเสียแล้ว"
ผจัญบุตรเบิกตาโต
"เหตุเกิดขึ้นเมื่อใด ?"
"เมื่อสามวันล่วงมาแล้วพ่ะยะค่ะ" พญานุรักษ์ตอบ
ผจัญบุตรมีสีหน้าเป็นกังวล เมื่อนึกถึงภาพในอดีต ที่ตัวเขา เคยพบปะกับผู้ครองนครปะทุมดี และ ราชธิดาสมัยเมื่อเขายังเด็ก
"เจ้าธรรมราชา กับ พระราชธิดา ปลอดภัยดีรึ ? มีข่าวรึไม่ ?"
"ข่าวแจ้งว่า เจ้าธรรมราชา หนีออกจากวังมาได้ ส่วนพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ มิได้อยู่ในราชวัง ณ ขณะนั้นพ่ะยะค่ะ"
"บิดา และ พี่สาวของข้ารู้หรือยัง ?"
"ม้าด่วนจากปะทุมดี จักไปถึงกรุงเจนปุระในอีกสามวันข้างหน้า เมื่อนั้น เจ้าอุรุชัยวรมัน แล พระราชธิดา จักทรงรู้พ่ะยะค่ะ"
"การณ์นี้ ยังมิรู้กันเป็นสาธารณะในเขตสุวรรณภูมิล่ะสิ คงเพราะสำนักดาบสนี้ ห่างกับปะทุมดีเพียงแค่ควบม้าข้ามวัน เราจึ่งรู้ความก่อนที่อื่นใด
เป็นเหตุการณ์ที่น่าตระหนกยิ่ง ข้าเป็นห่วงเจ้าธรรมราชา และ ธิดาทั้งสอง เกรงว่าจะได้รับภัยจากการณ์นี้
ม้าด่วน แจ้งความอื่นใดโดยละเอียดอีกหรือไม่ ? พญานุรักษ์ ท่านจงเล่ามาเสียให้หมด !"
อดีตพระพี่เลี้ยงทูลความ
"ม้าด่วน กล่าวว่า กษัตริย์ธรรมราชาทรงมีความระแวงสงสัยล่วงหน้าว่า แม่ทัพใหญ่จักคิดการกบฏ จึ่งทรงส่งราชธิดาทั้งสองพระองค์ให้อยู่ในความดูแลขององครักษ์ เดินทางออกนอกพระราชวังในยามค่ำ ก่อนวันเกิดเหตุ
ส่วนเจ้าธรรมราชา ทรงหลบหนีโดยการช่วยเหลือของชาวนาคากลุ่มหนึ่งพ่ะยะค่ะ"
"นั่นหมายถึง เจ้าธรรมราชา มิได้ออกจากวังพร้อมพระราชธิดา ทั้งหมดอาจจะนัดหมายไปเจอกัน ณ ที่แห่งอื่นก็เป็นได้
ข้าหวังว่า พวกเขาจักอยู่รอดปลอดภัย"
หัวหน้าองครักษ์พยักหน้าเข้าใจ เพราะรับรู้ถึงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างผู้ครองนครทั้งสองแคว้นนี้มาตลอด
"รอฟังดำริจากพระบิดา แล พระราชธิดาก่อนเถิดพ่ะยะค่ะ คงมิมีสิ่งใดที่เราควรกระทำ ณ เพลานี้"
เจ้าชายรูปงามถอนหายใจ
"หากสหาย จะช่วยเหลือกันด้วยมิตรภาพ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ควร บิดา แล พี่สาวข้าคงมิมีสิ่งใดขัด พี่สาวข้ามั่นหมายเสียหนักหนา ที่จะให้ข้ามีคู่เป็นหนึ่งในราชธิดาของปะทุมดี
แต่กาลกลับมาเกิดเหตุเปลี่ยนบัลลังก์ ณ เพลานี้ สิ่งที่มั่นหมายไว้ อาจจำต้องเปลี่ยนตามไป ข้าเป็นห่วงพวกเขาเสียจริง"
"มิมีสิ่งใดที่ผจัญราชบุตรควรห่วงยิ่งไปกว่า การมุร่ำเรียนวิชาจันทราจากท่านดาบสให้สำเร็จ
หากพระองค์มีวิชาจันทราติดตัวแล้ว กาลข้างหน้า ด้วยสุริยันของพระราชธิดา และ จันทราของพระองค์เอง ประสานกันเป็นฤทธิ์เป็นเดช ความสำเร็จย่อมเป็นไปได้ในทุกอย่างที่เจนปุระพึงต้องการพ่ะยะค่ะ"
หัวหน้าองครักษ์ให้สติอย่างได้ใจความ
ผจัญบุตรมีรอยยิ้มเมื่อนึกถึงความสามารถของพี่สาว
"พลังสุริยันของพี่สาวข้าช่างน่าทึ่งเสียจริง เพียงแค่อ้อมกอดก็ให้ความอบอุ่นแก่พระมารดาของข้าในฤดูหนาวได้ โดยไม่ต้องมีผ้าคลุมกันหนาวห่มกายใด ๆ
ครั้งที่พระมารดาป่วยเป็นไข้ในครั้งนั้น พี่สาวข้านอนกอดพระมารดาเพียงสามคืน พระมารดาก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง น่าศรัทธาเสียจริง"
"เป็นเช่นนั้นจริงพ่ะยะค่ะ ! พลังสุริยันของพระราชธิดา น่าเกรงขามยิ่ง !" พญานุรักษ์พยักหน้ายืนยัน
"ช่างน่าเสียดายจริง พินิจความดูแล้ว วิชาสุริยันนั้น น่าจะเหมาะสมกับชายชาตรีอย่างข้ามากกว่า" ผจัญบุตรสั่นหัวช้า ๆ
"พระราชธิดารับสั่งมาแล้ว พระองค์ควรศึกษาวิชาจันทรา ขอให้พระองค์กระทำตามที่รับคำกับพระราชธิดาจักเป็นคุณกว่า"
ผจัญบุตรพยักหน้ายอมรับ
"ท่านคิดว่า พลังสุริยันของพี่ข้า เมื่อร่วมกันกับจันทราที่ข้ากำลังจักร่ำเรียนนั้น จักกำราบคชสารเศวตฉัตรเชือกนั้นได้รึไม่ ?"
อดีตพระพี่เลี้ยงพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
"ย่อมจักกำราบได้แน่นอนพ่ะยะค่ะ !
หากเมื่อพระองค์ทรงร่ำเรียนสำเร็จแล้ว หากเมื่อนั้น คชสารเชือกนั้นยังมิได้ปักลำเนา ณ ที่ใด ข้าเชื่อมั่นว่า พระราชธิดา แล พระองค์ จักใช้สุริยัน จันทรา กำราบช้างให้เชื่องอยู่คู่ขัณฑสีมาแห่งเจนปุระได้อย่างแน่นอนพ่ะยะค่ะ"
ผจัญบุตรพยักหน้า
"อยู่ในสมาธิมานานตามสมควรแล้ว ข้าจักไปผ่อนคลายด้วยการเดินเตร่เล่น ขอให้ท่านติดตามข้าไปเพียงผู้เดียวเถิด
องครักษ์อื่นใด ขอให้อยู่ห่างไว้ ไม่จำเป็นต้องตามอย่างใกล้ชิด ได้รึไม่ ?"
พญานุรักษ์ใคร่ครวญเพียงครู่เดียว แล้วพยักหน้า
"หากเพียงเตร่เล่นในละแวกนี้ กระหม่อมเห็นว่าย่อมเป็นเช่นนั้นได้ พ่ะยะค่ะ !"
***********************************************************************************

คณะกองเกวียนของสิงดี หยุดขบวนในบริเวณที่โล่ง ห่างจากรั้วไม้ของสำนักดาบสไม่มากนัก
ชายฉกรรจ์สามคนวิ่งจากใต้ร่มไม้ ตรงเข้ามาหานายพันที่อยู่บนหลังม้า
"ท่านพัน ! เกิดเหตุด่วน พวกข้ามารอท่านตั้งแต่ตะวันฉาก ก่อนท่านจะทำการสิ่งใด ฟังสิ่งที่พวกข้าจักเล่าเสียก่อนเถิด"
พันมองเห็นบริวารของเขามีสีหน้าตึงเครียด เขาพยักหน้า
"ข้าจักผูกม้าไว้ที่ต้นไม้นั่น พวกเจ้าจงตามมา !"
สิงดีสั่งพักกอง ลูกจ้างทุกชีวิตกระจายตัวกันออกไปหาที่ร่มพักผ่อน
พันคุยกับลูกน้องที่เดินทางมาจากคนละเส้นทางด้วยความจริงจัง มีสีหน้าตึงเครียด
สิงดีไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ ได้แต่ตะโกนถาม
"นายพัน ! ข้าจักเข้าสำนักดาบส เพื่อนำข้าวของสัมภาระมอบให้แก่พระอาจารย์ ข้ามาถามท่านว่า ท่านจักเข้าไปพร้อมกัน หรือ ท่านยังมิสะดวก ?"
พันตะโกนตอบ
"เชิญท่านเข้าสำนักไปก่อนเถิด พวกข้ายังหาพร้อมไม่ !"
สิงดีพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินกลับไปที่ขบวน
พันเดินผละจากบริวาร ตรงมาที่เกวียนของสาว ๆ เพื่อเรียกปทุม
"ปทุม ! ข้ามีความจักกล่าวกับเจ้า มาด้วยกันก่อนเถิด !"
ปทุมก้าวลงจากเกวียน เดินตามพันไป กระรอกตัวน้อย วิ่งบนพื้นดินตามปทุมไปด้วย
แดงมองหน้าหงสา แล้วชี้ไปที่ป่าไผ่ ห่างจากจุดที่จอดเกวียนประมาณไม่ถึงยี่สิบก้าว
"เราไปเดินเล่นกัน" เธอหันไปบอกพี่ ๆ ที่เหลือ
"พี่คนใดจักตามข้าไป ข้าจักไปเตร่เล่นที่นั่น ?"
ดวงพูดขึ้น
"ข้าจักเรียกอ้ายสางไปด้วยกับเจ้า"
แดงหยิบแหวนออกมาสวมที่นิ้ว แล้วอมยิ้ม พูดพึมพำกับตัวเอง
"ถึงจุดหมายแล้ว คงสวมเจ้าได้ตามเดิมแล้วสิ ธำมรงค์สีชาด"
***********************************************************************************

ป่าไผ่มีบรรยากาศร่มรื่น เสียงนกร้องดังไปทั่วบริเวณ
สางเดินเข้ามาประกบแดง เมื่อเห็นว่ามีชายสองคนกำลังเดินมาทางนี้
แดงกำลังหยิบดอกไม้ทัดหูหงสา
ผจัญบุตรหยุดเดินทันที ทำให้พญานุรักษ์ต้องหยุดไปด้วย
แหวนอัญมณีสีชาดบนนิ้วมือแดง ต้องตาเจ้าชายอย่างชัดเจน
สางขยับตัวเข้ามาขวางสายตา
เจ้าชายรูปงามพูดขึ้นกับองครักษ์
"ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตา"
"ผู้ใดรึ พ่ะยะค่ะ ?" พญานุรักษ์ถามขึ้น
ผจัญบุตรชี้ไปที่แดง แล้วมองหน้าสาง
"พี่ชาย โปรดบอกข้าเถิด ว่านั่นคือ องค์แดงใช่รึ ?"
สางมีสีหน้าประหลาดใจ
เสียงของผจัญบุตรทำให้แดงต้องหันมามอง เธอขยับตัวมายืนอยู่ข้าง ๆ สาง หงสายืนอยู่ข้างหลังแดงอีกที
แดงจ้องหน้าองค์ชาย ผจัญบุตรพยามยามจ้องไปที่แหวนบนนิ้วมือของแดง
"ธำมรงค์นั้น ฝีมือสกุลช่างระดับสูง น้องหญิงได้แต่ใดมา ? " ผจัญบุตรมองหน้าแดงอย่างพิจารณา แล้วหัวเราะ
"มิต้องตอบพี่ดอก น้องหญิงองค์แดง ! น้องจำพี่มิได้สิท่า"
แดงขมวดคิ้ว สางพูดกับแดงทันที
"เราเดินกลับไปที่หน้าสำนักเถิด"
พญานุรักษ์ยกมือโบก 
"ช้าก่อน น้องชาย ! พวกเราหาใช่อันธพาล คิดจะระรานไม่ ดูการแต่งกายของพวกเราสองคน น้องชายก็น่าจะดูออก
เราเป็นศิษย์ของท่านดาบส มิใช่โจรร้ายที่ไหน"
แดงถามขึ้น
"ท่านรู้จักนามของข้า ?"
เจ้าชายเพ่งมองที่แหวนอีกครั้ง แล้วตอบ
"พี่มั่นใจว่าพี่รู้จัก น้องหญิง หากธำมรงค์นั้นเป็นของน้องหญิงจริง นาม แล อริยศักดิ์ของน้องหญิงพี่รู้หมด"
"รู้ว่ากระไรฤา ?" แดงถามกลับ
ผจัญบุตรเชิดหน้าขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เน้น
"พระมารดาของน้องหญิง บรรทม แล นิมิตถึงอัญมณีสีแดง เมื่อทรงพระครรภ์ จึงทรงตั้งนามแต่นิมิตของน้องหญิงว่า มณีชาด หมายความถึงอัญมณีสีแดง
นามแต่วงศ์ ของน้องหญิง คือ ปะทุมวดี แห่งราชวงศ์ปะทุมวดี
ส่วนนามแต่ตน เมื่อกำเนิดนั้น พ่อหลวงตะวันอธิราชแห่งทวารวดี ซึ่งเป็นพระญาติของน้องหญิง ทรงตั้งให้ว่า นรีนัด หมายถึงหลานสาวอันเป็นที่รัก
นามแต่ยศ ของน้องหญิงคือ ราชกัลยา
นามแลอิรยศักดิ์เต็มของน้องหญิง ขานว่า องค์หญิงนรีนัดมณีชาดปทุมราชกัลยา พระธิดาคนสุดท้องของ เจ้าธรรมราชาแห่ง ราชวงศ์ปะทุมดี"
แดงมองหน้าสาง แล้วพยักหน้าช้า ๆ
สางพยักหน้ารับ แล้วเดินถอยหลังออกไป เอื้อมมือฉุดแขนหงสา ให้ถอยออกมาด้วยกัน
หงสาเบิกตาเลิ่กลั่ก มองหน้าสาง
"แม่หญิงแดง คือ เจ้าฟ้า รึ ?"
สางพยักหน้าช้า ๆ
องค์หญิงนรีนัดมองหน้าเจ้าชายผจัญบุตร กระพริบตาปริบ ๆ ขมวดคิ้ว แล้วพูดขึ้น
"เจ้าพี่ คือ เจ้าชายผจัญบุตร แห่งเจนปุระ ?"
ผจัญบุตรหัวเราะเสียงดัง
พญานุรักษ์รู้ว่าคู่สนทนาเริ่มจำกันได้ จึงก้าวถอยหลังออกไป ปล่อยให้สองพระองค์คุยกัน
"น้องหญิง เจริญชันสาขึ้นมาก หากแต่ยังมีเค้าโครงเดิมมากโขอยู่"
"เจ้าพี่ก็เช่นกัน ! รูปที่เขาวาดกัน งามไม่สู้องค์จริง"
ผจัญบุตรยกมือขึ้นประมาณเอวตัวเอง
"ครานั้นที่เราปะกันล่าสุด น้องหญิงมีองค์บอบบาง สูงเพียงประมาณนี้ได้"
องค์หญิงนรีนัด หัวเราะร่า
เจ้าชายผายมือไปที่องค์รักษ์
"นี่คือ พญานุรักษ์ องครักษ์ประจำตัวของพี่"
พญานุรักษ์คุกเข่าลงทันที แล้วพนมมือขึ้นจรดศรีษะ
"พญานุรักษ์ หัวหน้าองครักษ์ ขอกราบถวายบังคม องค์หญิง !"
องค์แดงส่งยิ้มให้
"ลุกขึ้นมาเถิด !"
ราชองครักษ์แห่งเจนปุระ ลุกขึ้นมายืนตามปกติ
เจ้าชายนึกขึ้นได้ ถามขึ้นทันที
"แล้วข่าวที่ว่า ได้เกิดการ....."
พญานุรักษ์ติงขึ้นทันที
"หม่อมฉันเห็นว่า...."
ผจัญบุตรหันหน้าไปมององครักษ์ พญานุรักษ์ส่ายหัวช้า ๆ
องค์ชายเข้าใจสัญญาณทันทีว่า ไม่ควรถามเรื่องเหล่านั้น
เขาเรียบเรียงคำถามใหม่
"น้องหญิง เสด็จมาที่นี่ เพื่อร่ำเรียนวิชากับท่านดาบสใช่รึ ?"
องค์แดงพยักหน้า
"เพคะ !"
"แล้วองค์หญิงศรีวรรณเล่า ?"
"พี่สาวของน้องหญิงก็เสด็จมาด้วย เพคะ"
เจ้าชายแห่งเจนปุระจ้องหน้าองค์หญิงแห่งแคว้นเพื่อนบ้าน สีหน้า และ นัยน์ตาเธอ ยังสดใสร่าเริง ไม่เหมือนกับคนที่ผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ มา
"น้องหญิง สนใจศึกษาทางด้านใด สุริยัน หรือ จันทรา ?"
องค์แดงสั่นหัว
"น้องยังมิรู้ดอก ! พระบิดาอยากให้เสด็จพี่ศรีวรรณ กับ น้อง สนทนาเพื่อเลือกตามแต่ใจ หากเสด็จพี่ศรีวรรณเลือกสุริยัน น้องก็จะเลือกจันทรา"
หงสาได้ยินความที่ทั้งสองพระองค์สนทนากันชัดเจน เธอเริ่มสั่นหัว แล้วพึมพำขึ้น
"เจ้าชายแห่งเจนปุระ ! ข้าอยู่มิได้แล้ว" เธอรีบเดินถอยหลังผละออกไป
สางหันไปเรียก "หงสา เจ้าจักไปไหน ?"
องค์แดงหันหน้ามา เห็นหงสากำลังวิ่งหนี เธอก็นึกได้ว่าเป็นเพระเหตุใด
ราชบุตรถามขึ้น
"เกิดเหตุใดขึ้นกับไพร่ของน้องหญิง ?"
"น้องอาจมีเรื่องทูลขอความเมตตาจากเจ้าพี่ หากเจ้าพี่จะมีพระกรุณา"
พันกับบริวารสองคน เดินมาถึงบริเวณ
เมื่อมองเห็นเจ้าชายผจัญบุตร และ พญานุรักษ์ ถึงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ดูจากการแต่งกายแบบชนชั้นสูง เขามั่นใจว่า ทั้งสองน่าจะเป็นศิษย์ของพระดาบส
พันหยุดห่างออกไปประมาณสิบก้าว แล้วตะโกนขึ้น
"พระดาบสท่านรออยูที่อาศรม มิควรร่ำไร ตะวันจะพลบแล้ว"
องค์แดงย่อเข่าเล็กน้อย
"น้องหญิงต้องขอตัว !"
เจ้าชายพยักหน้า
"เดินไปด้วยกันเถิด ! พี่จักพาน้องหญิงไปกราบพระดาบสด้วยกัน" 
ผจัญบุตรเปิดทางให้พระสหายแดง เดินก่อน เขาเดินตามหลังคู่กับพญานุรักษ์
ราชบุตรแห่งเจนปุระ กระซิบถามองค์รักษ์
"ข่าวที่ท่านได้มา เป็นความจริงเช่นนั้นรึ ? ดูท่าทาง องค์แดงยังมีความสุข เหมือนกับการได้มาเที่ยวเล่น มิใช่การหนีลี้ภัย ?"
พญานุรักษ์ขมวดคิ้ว
"เป็นไปได้หรือไม่ พ่ะยะค่ะ ว่า องค์แดง ยังไม่ทรงทราบเรื่อง ?"
***************************************************************************
1 < อ่านหน้า > 3, 4, 5
สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่
กลับขึ้นด้านบน อ่านตอนอื่น
|