ตอน 43 หน้า 1

ผจัญบุตร กับ จุลินทร์นาคราช (3)

สำนักดาบสแห่งสุวรรณภูมิ

 

 

สมิงมะละเมิง เดินพาทอหรุ่ย...ลูกสาว กับภรรยาคนที่สาม มาร่ำลาคณะเดินทางของนายสิงดีด้วยตนเอง

เจ้าบ้านพยักหน้าให้นายพัน ที่กำลังยืนสั่งการบริวารให้ขนสัมภาระขึ้นเกวียน

พันมีสีหน้าแปลกใจ

"ความจริงควรเป็นข้าเองต่างหาก ที่ประเดี๋ยวจักต้องไปกล่าวคำอำลาท่านสมิงเจ้าบ้าน มิควรอย่างยิ่งที่ให้ท่านต้องมาร่ำลาผู้น้อยถึงที่"

สมิงยกมือโบก

"มากความใช่ที่ ! รู้จักกันแล้ว ถือเป็นสหาย

ท่านพัน ท่านจะถือสาสิ่งใดรึไม่ หากทอหรุ่ย ลูกสาวข้า จักขอพบกับปทุม คนในคณะของท่าน ?"

พันมีสีหน้าฉงน กระพริบตาถี่ เขานึกไม่ออกว่า ลูกสาวของสมิง ซึ่งเมื่อค่ำวันวาน ก็ไม่ได้มีโอกาสพบหน้ากับปทุม เหตุใดจึงต้องการขอพบกับเธอ

สมิงมองหน้าพัน แล้วถามย้ำ

"ท่านถือสารึไม่ ? เพียงแค่ปะหน้าสนทนา ไม่กี่คำ คงไม่เสียเวลาร่ำไรให้ท่านเสียการดอก"

พันหยักหน้าหงึก ๆ

"มิขัด ท่านสมิง ! หากท่านมิรังเกียจที่จะยืนรอเพียงสักประเดี๋ยว ข้าจักไปเรียกนางมาหาท่านที่นี่"

สมิงส่งยิ้มให้ แล้วพยักหน้า

***************************************************************************************

พันขึ้นมาตามปทุมที่ห้องนอนบนเรือนไม้ ต่างคนต่างแปลกใจว่า เหตุใด ทอหรุ่ยจึงเจาะจงจะพบกับปทุม ทั้ง ๆ ที่ ทั้งสองคน ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

"ปทุม เมื่อค่ำวานตอนที่ข้าอยู่ที่เรือนท่านสมิง เจ้ามิได้ออกไปย่ำเล่นนอกเรือนใช่รึ ?"

ปทุมสั่นหัว

"ตะวันลับแล้ว ใยข้าจึ่งคิดพิเรนทร์เยี่ยงนั้น ?"

"เช่นนั้น เหตุใดนางจึ่งเอ่ยนาม อยากปะกับเจ้าเล่า ?"

ปทุมสั่นหัวอีกครั้ง

"ข้าก็หารู้ไม่ ! หากอ้ายตรองแล้วว่า ข้ามิควรปะกับนาง อ้ายก็บอกนางไปเสียว่าข้ามิเต็มใจพบกับนาง"

พันส่ายหัวช้า ๆ

"มิควร มิควร ! เจ้าไปพบกับนางเถิด อย่างน้อย ฟังความที่นางจักกล่าวกับเจ้า อาจได้รู้ความว่า นางรู้นามเจ้าได้แต่ใด"

พันเดินนำปทุมลงจากเรือน

เมื่อปทุมเดินเข้ามาใกล้สองพ่อลูก เธอยกมือไหว้สมิงมะละเมิง กับ ภรรยา

"ข้าไหว้ท่านสมิง และ แม่เรือน" สมิง และ ภรรยา ยกมือรับไหว้

ทอหรุ่ยส่งยิ้ม แล้วยกมือไหว้ปทุม

"ส่วนข้าขอไหว้พี่สาว"

ปทุมขมวดคิ้ว แต่มีรอยยิ้ม

"เจ้าไหว้ข้าด้วยเหตุใด ?"

ทอหรุ่ยหันมายื่นมือขอดอกบัวจากแม่เลี้ยง

เมื่อได้ดอกบัวมาอยู่ในมือแล้ว เธอเดินเข้าไปแทบจะประชิดตัวปทุม แล้วยื่นดอกบัวให้

"ข้าขอไหว้พี่สาว ด้วยดอกบัวดอกนี้"

ปทุมขมวดคิ้ว พันยืนจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ระยะห่างของเขา ไกลเกินกว่าจะได้ยินเสียงกระซิบของทอหรุ่ย

ปทุมยื่นมือรับดอกบัว

"เจ้าให้ข้าด้วยเหตุใด ?"

ทอหรุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

"ประการหนึ่ง ข้าขอไหว้พี่สาว ขอให้พี่สาวรับข้าเป็นน้อง ด้วยดอกบัวนี้ พี่สาวจักรังเกียจรืไม่ ?"

ปทุมเงยหน้าไปมองสมิงมะละเมิง เขายืนยิ้มอยู่

ปทุมรู้ได้ทันทีว่า ทอหรุ่ยคงได้ปรึกษากับผู้เป็นพ่อเรื่องนี้แล้ว ส่วนนายพันซึ่งยืนคุยกับสิงดีอยู่ไกลออกไปอีกห้าหกก้าว คงไม่ได้ยินสิ่งที่ทอหรุ่ยได้พูดมา

เธอหันหน้ามามองทอหรุ่ย แล้วพยักหน้าช้า ๆ

"ได้จ้ะ !"

"ประการสอง บัวดอกนี้ แทนดอกไม้ทิพย์ ซึ่งคือ นามแต่นิมิตของพี่สาว ข้าจึ่งจัดให้ไพร่ของข้า ไปเด็ดมาแต่เช้าก่อนตะวันขึ้น"

ปทุมทวนคำ

"นามแต่นิมิต ? เจ้ารู้จักข้า ?"

"ข้ารู้ แต่มิเคยปะกับท่าน เพลานี้จึ่งเป็นเพลาดี ที่เราได้ปะกัน ในกาลข้างหน้า ข้าเพียงขอให้ท่านมีความเมตตาปรานีข้า ในฐานะน้องสาวของท่านคนหนึ่ง หวังว่าท่านคงมิรังเกียจ"

ปทุมได้แต่กระพริบตา เธอรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก

"น้องสาวรู้จักข้ามาแต่ใด ?"

"ผัวข้าเล่าเรื่องของพี่สาวให้ข้าฟัง มิเพียงแต่นามแต่นิมิตเท่านั้น กระทั่งนามแต่วงศ์ นามแต่ศักดิ์ นามแต่ตนของพี่สาว ข้าก็รู้

ข้าจักขอให้ผีบ้านผีป่า คุ้มครองพี่สาว เดินทางโดยปลอดภัย"

"เดี๋ยว ๆ ๆ ! ขอเบรคตรงนี้ก่อนท่านลุง !" แอนดี้ยกมือโบกเหมือนตำรวจจราจรห้ามรถ

"นามแต่นิมิตนี่ มันคืออะไรครับ ?"

สหายพรหมพยักหน้า

"นิมิตแปลว่าอะไรล่ะ ?"

"แปลว่าฝันครับ"

"ใช่ ! นามแต่นิมิต คือ ชื่อที่ได้จากความฝัน มันเป็นประเพณีของคนโบราณ เวลาแม่ตั้งท้อง ถ้าฝันถึงอะไร ก็จะตั้งชื่อลูกตามฝัน เช่น ฝันเห็นพระจันทร์ ก็ตั้งชื่อลูกว่าจันทร์ ฝันเห็นกิ้งกือ ลูกก็ชื่อกิ้งกือ"

แอนดี้หัวเราะหึ ๆ

"มุกนี้ไว้แหย่เด็กนักเรียนเถอะลุง ! แม่ผมคงฝันถึงแอนดี้ วิลเลียมส์ ท่านลุงรู้จักหรือเปล่า ?"

"รู้ ๆ ! ข้านี่ก็นักฟังเพลงนะโว้ย ! รุ่นนั้น แฟรงค์ สินาตร้า เพอรี่ โคโม่ ดีน มาร์ติน ร้องได้หมด จะหาว่าคุย

แม่แกชอบแอนดี้ วิลเลียมส์ เหรอ ?"

แอนดี้หัวเราะชอบใจ

"เปล่า ! แม่ผมไม่รู้จักหรอก ชื่อแอนดี้นี่ผมตั้งของผมเอง ท่านลุงก็รู้ดีอยู่แล้ว เป็นเทวดาประจำตัวผม ท่านจะไม่รู้ได้ไง ? ทำมาเป็นเหวอ จะหาเรื่องคุยว่าตัวเองก็รสนิยมดีใช่มั้ยล่ะ ?"

"แล้วมึงจะเสือกถามทำไม ว่ากูรู้จักแอนดี้ วิลเลียมส์หรือเปล่า ?"

"แหย่เล่นคั่นเวลาน่ะ แล้วไอ้นามแต่วงศ์ นามแต่ศักดิ์ นามแต่ตนเนี่ย มันอะไรอีกล่ะครับ ?"

ท่านลุงเกาหัว

"ไอ้ที่เหลือนั่น ไม่เล่าตอนนี้ เล่าแล้วมันจะสปอยล์ คนดูหนังเขาจะกระทืบชั้น ปล่อยให้ไปอึ้งตอนเฉลย"

แอนดี้ทำจมูกหึ่งแล้วสั่นหัว

"ความลับเยอะ ! งั้น กลับไปดูกันต่อเถอะ"

ทอหรุ่ยเดินผละจากปทุม กลับไปหาสมิงมะละเมิง

สมิงพูดขึ้นกับสิงดี

"สิงดี ข้ามีเรื่องต้องขอกับท่านเหมือนกัน"

สิงดีผงกหัว

"ท่านสมิงจงกล่าวมาเถิด"

เขาหันหน้ามาทางลูกสาว

"ทอหรุ่ย เจ้าว่าไป !"

"เกวียนขนสัตว์ของท่าน มีสาวสองนาง ข้าจักขอรับไว้เป็นไพร่ของข้า"

สิงดีหัวเราะลั่น

"มิมีดอก ! เกวียนขนสัตว์ของข้า มีแต่สัตว์ สาวอื่นในคณะของข้า ต่างอยู่ในเกวียนอื่น ต่างคนก็มีหน้าที่ มีภาระ มีผัว ไม่สามารถทิ้งภาระมาเป็นไพร่ที่นี่ได้"

"ข้ามิได้หมายความถึงนางอื่น สองนางนี้ อยู่ในเกวียนขนสัตว์ของท่าน ท่านจงพาข้าไปที่เกวียนเถิด"

เจ้าของคณะเร่หัวเราะร่า แล้วเดินนำเจ้าของบ้านไปที่เกวียนขนสัตว์

พัน และ ปทุม เดินตามไปด้วย

กลิ่นของมูลสัตว์โชยมาตามกระแสลม เมื่อสิงดีพาคณะเดินมาถึง

"ชีวัม ! เจ้าขึ้นไปดูบนเกวียน มีผู้ใดอยู่บนเกวียนรึไม่ ?"

แขกสิงหลตัวดำมีสีหน้าตื่น เอียงคอด้วยความสงสัย ใครจะไปอยู่ในเกวียนสัตว์เพื่ออะไร ?

สิงดีตะโกนซ้ำ

"ไปดูบนเกวียน ! เดินเข้าไปจนถึงในสุด ดูว่ามีผู้ใดอยู่บนนั้นรึไม่"

เมื่อได้ยินคำสั่งของนายอย่างแน่ชัดอีกครั้ง ชีวัมก็รีบ กระโดดขึ้นท้ายเกวียน แล้วมุดตัวแทรกเข้าไประหว่างกรงสัตว์ทั้งหลาย

เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงชีวัมก็โวยวายเป็นภาษาสิงหล

สิงดีฟังความเข้าใจ จึงตะโกนสั่ง

"ผู้ใดอยู่บนนั้น เจ้าลากตัวลงมา !"

สิงดีหันมามองหน้าพัน

"เหตุใดจึ่งมีผู้ใดมาหลบในเกวียนขนสัตว์ ? ประหลาดเสียจริง !"

พันหรี่ตา มองผ่านกรงไม้ พอเห็นรูปร่างเป็นสาวสองนาง ห่มผ้าคลุม

"นั่นปะไร ! ข้าว่าต้องเป็นสาวเจนปุระสองนางนั้นเป็นแน่"

ชีวัมพาสองสาวเดินลงจากเกวียน สองนางมีผมเผ้ายุ่งเหยิง ต่างคนมีผ้าคลุมกายท่อนบน ไม่มีเสื้อใส่ ท่อนล่างเป็นผ้าถุง

ทั้งสองยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่ล้อมรอบ

สิงดีก้าวเข้าไปหาสองนาง แล้วถามขึ้น

"เจ้าสองคน หนีทหารเจนปุระมา ใช่รึ ?"

สาวทั้งสองมองหน้ากัน และ กัน แต่ยังนิ่งเงียบ

สมิงมะละเมิง เดินเข้ามาข้าง ๆ สิงดี แล้วพูดกับสาวทั้งสอง

"ข้าคือเจ้าของที่แห่งนี้ นี่คือทุ่งตะเลง แดนของชาวตะเลง ข้าขอรับรองความปลอดภัยของเจ้าทั้งสอง ขอให้เจ้าพูดความจริง

จงตอบคำถามที่นายคณะถามเจ้า !"

สองสาวไม่ตอบ แต่พยักหน้าช้า ๆ

พันตะโกนถามขึ้น

"ใครฆ่าทหารเจนปุระ ? เจ้าเห็นรึไม่ ?"

สองสาวต่างสั่นหัว สาวนางหนึ่งมีรูปร่างผอมเกร็ง พูดขึ้น

"ข้าขอน้ำ !"

สิงดีตะโกนบอกชีวัม

"เจ้าไปเอาตะบวยตักน้ำมาให้นังสองคนนี่ดื่มเสียก่อน"

แดงวิ่งมาจากด้านหลังเข้ามาเกาะแขนพี่สาว

"เกิดเหตุอันใดขึ้น ?" เมื่อเธอมองเห็นสองสาวเจนปุระ ก็วิ่งพรวดเข้าไปยืนชิดกับสองสาว แล้วมองตั้งแต่หัวจรดเท้า

"นี่พี่สาวทั้งสอง ปลอดภัยดีสินะ" แดงมองเห็นแผลที่หน้าแข้งของสาวเจนปุระคนที่ตัวเล็กกว่า เธอทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ

"มิเจ็บดอกรึ ?" แดงชี้ไปที่แผล

สาวเจนปุระที่ตัวเล็กพยักหน้า

แดงลุกขึ้นยืน แล้วถือวิสาสะ เอื้อมมือไปเลิกปลายผ้าที่ห่มกายท่อนบนของสาวตัวเล็กขึ้นมาดู

รอยแผลเล็กใหญ่เต็มไปทั่วบริเวณสะเอว

"ข้าจักเรียกพี่ดวงมาช่วยเยียวยา"

ชีวัมเดินกลับมาพร้อมกับตะบวยน้ำ

********************************************************************************

คณะเจ้าบ้าน กับ คณะผู้กำลังจะเดินทาง ยังนั่งล้อมวง ฟังทอหรุ่ย ซักถามเหตุการณ์กับสาวเจนปุระทั้งสองนาง

เมื่อสองสาวหนีข้ามเนินเขาจากเจนปุระมาถึงแดนทุ่งตะเลง ทั้งคู่ก็วิ่งเข้าป่าละเมาะ สิ่งที่เธอทั้งสองจำได้ คือ วิ่ง วิ่ง และ วิ่ง

จนทั้งคู่มาหมดแรง ต้องล้มตัวลงนอน อยู่ที่ใต้ร่มไม้ใหญ่

เมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้ว ร่างกายเริ่มปวดล้าจนแทบจะยันกายลุกขึ้นไม่ไหว ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยบาด รอยข่วน จากกิ่งไม้ ใบไม้

เมื่อจนปัญญาที่จะเดินต่อไป ทั้งสองต่างจำต้องยอมรับชะตากรรม

หากทหารเจนปุระตามมาในทิศทางนี้ ช้าเร็ว ก็คงเจอเธอทั้งสองคน นอนหมดแรงอยู่ ณ ที่นี้ ชีวิตของเธอทั้งสอง คงต้องจบลงที่การถูกจับไปลงทัณฑ์ด้วยการบำเรอกาม หรือ อาจโดนประหารเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง สุดแล้วแต่ความต้องการของเจ้าชีวิต

ระหว่างที่ต่างคนต่างนอนหมดแรง เธอทั้งสอง กลับเห็นงูเหลือมตัวใหญ่สีเหลือง เลื้อยมาบนดิน จนใกล้บริเวณที่เธอทั้งสองนอนพิงหลังกับต้นไม้ แต่งูไม่ได้ตรงเข้ามาหา กลับเลื้อยไปขดตัวนอนอยู่ห่างออกไปจากต้นไม้นั้นสักเจ็ดแปดก้าว

หากงูเหลือมตัวนั้น ต้องการชีวิตเธอสองคน เธอทั้งสอง ก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ การตายด้วยงู หรือ ตายด้วยน้ำมือทหารเจนปุระ ก็ค่าเท่ากัน ทั้งสองจึงไม่ดิ้นรนหาทางหลบหนี นอนหายใจรวยรินอยู่ใต้โคนต้นไม้

ไม่นานหลังจากนั้น เริ่มมีงูชนิดอื่นเลื้อยมาที่บริเวณนี้เพิ่มทีละตัว สองตัว งูหลายชนิดเริ่มโผล่มาจากพุ่มไม้บ้าง จากต้นไม้บ้าง เหมือนกับว่า พวกมันมารวมตัวกัน ไม่ต่ำกว่ายี่สิบตัว

เมื่องูเหลือม เริ่มเลื้อยจากไป งูอื่น ๆ ก็ต่างเลื้อยตามไปด้วย

พวกมันจากไปในทิศทางเดียวกัน

หลังจากนั้น อีกพักใหญ่ ตะวันเริ่มจะลับ มีผู้ชายคนหนึ่ง มาช่วยเธอ อุ้มเธอทีละคนไปหาที่หลบ แล้วหาห่ออาหารมาให้เธอกิน จัดการหาที่ให้ที่เธอหลบอยู่ในเกวียนขนสัตว์

พันพูดขึ้น

"เช่นนั้น น่าจะเป็นที่แน่ชัดว่า ทหารเจนปุระสองนายนั้น สิ้นชีพเพราะเหล่างูพวกนั้น"

พันมองหน้าทั้งสองสาว แล้วถามขึ้น

"เจ้าสองคน มีนามว่าไร ?"

สาวเจนปุระที่ตัวสูงกว่า เป็นคนตอบ

"ข้าชื่อแรม นังหนูนี่ ชื่อหงสา"

พันพยักหน้า แล้วถามต่อ

"ชายที่ช่วยเจ้าไว้ มีนามเยี่ยงไร ?"

สองสาวสั่นหัว

พันถามขึ้นบ้าง

"หน้าตาเป็นเยี่ยงไร ? หากข้าจักให้เจ้าชี้ตัวคนทั้งคณะ เจ้าจักชี้ได้รึไม่ ?"

แรมตอบ

"ตะวันลับแล้วเพลานั้น หาได้ปะหน้าโดยแจ้งไม่"

ปทุมถามขึ้น

"สูง แล กำยำ พอกับอ้ายพันนี้ ใช่รึ ?"

สองสาวเจนปุระมองไปที่นายพัน แล้วมองหน้ากัน ค่อย ๆ พยักหน้า

พันขมวดคิ้ว แล้วเดินเข้ามาหาปทุม

"เจ้ารู้รึ ว่าผู้ใดช่วยสองนางนี้ ?"

ปทุมพยักหน้าช้า ๆ

"ข้าคิดว่าข้ารู้" เธอหันไปถามสองสาวเจนปุระ

"เจ้าพอบอกได้รึไม่ว่า อาหารในห่อที่เจ้ากินเมื่อค่ำวาน คือสิ่งใด ?"

สองสาวพยักหน้า แรมเป็นผู้ตอบ

"บอกะต๊าด แล เนื้อปลา"

ทอหรุ่ยพูดขึ้นเพื่อตัดความ

"ผู้ใดช่วยเจ้า หาสำคัญไม่ เจ้าสองคนปลอดภัยนับว่าเป็นบุญโขแล้ว ริจะกลับลำเนาก็หากลับได้ไม่ เจ้าต้องตายแน่ หากกลับไปแดนเกิด ข้าจึ่งขอรับเจ้าสองคนไว้ เป็นไพร่ในเรือนข้า"

สมิงมะละเมิงพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่ลูกสาวพูด

ปทุมกลับมองหน้าสิงดี แล้วขมวดคิ้ว เธอเดินตรงไปหาสิงดี แล้วพูดด้วยเสียงกระซิบ

"เจ้าเหลือมตัวนั้นเป็นของท่านแน่นอน เหตุใดจึ่งออกจากกรงมาได้ตามแต่ใจ ? นี่คงมิใช่กาลครั้งแรก ที่เหลือมนั้นออกจากกรงได้ด้วยตัวมันเอง ท่านมีสิ่งใดปิดพวกข้าอยู่รึ ?"

สิงดีกระพริบตา ถอนหายใจ

"เราต่างมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ข้าเชื่อว่า เจ้าเองก็มี

เหตุใดอาหารที่เจ้ากิน ต้องเป็นอาหารที่เหลือจากการกินของนายพัน ?

คิดว่าข้ามิรู้ดอกรึ ? หญิงที่อ่านอักขระได้เยี่ยงเจ้า เดินทางโดยมีผู้คุ้มกัน กินอาหารต้องผ่านการกรองจากผู้คุ้มกันก่อน ท่านจะเป็นผู้ใดได้ หากมิใช่......"

"เก็บเรื่องของเราไว้กล่าวกันที่อื่นเถิด" ปทุมยอมถอย เพราะพ่อค้าเร่คนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างเจนจัด ไม่ใช่คนทั่วไปที่ซักถามให้จนได้ง่าย ๆ

เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้เริ่มแน่ใจในอะไรบางอย่าง

ปทุมเดินกลับไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ทอหรุ่ย แล้วกระซิบเบา ๆ

"น้องสาว ! ข้าขอสนทนากับเจ้าสองคน ในที่ลับหูฟากโน้นได้รึไม่ ?"

ทอหรุ่ยพยักหน้า สองสาวปลีกตัวจากกลุ่มเดินออกมาชายป่าละเมาะ

"ทอหรุ่ยน้องเจ้า ! ผัวเจ้า มีนามว่า ชิดโกสุมใช่รึ ?" ปทุมถามขึ้น

ทอหรุ่ยสั่นหัว

"มิใช่ ! ผัวข้ามีนามว่า จุลินทร์"

คำตอบของทอหรุ่ย ไม่ตรงกับที่ปทุมคาด เธอถอนหายใจ

"จุลินทร์คือผู้ใด ? เหตุใดจึ่งเล่าเรื่องข้าให้เจ้ารู้ ? ข้าขอพบเขาได้รึไม่ ?"

ทอหรุ่ยสั่นหัว

"มิได้ดอก ! ผัวข้ามีภาระจำต้องจรไปแหล่งอื่น พี่สาวอย่าได้กังวลใด ๆ ผัวข้ามีแต่ความประสงค์ดีต่อพี่สาว"

การซักไซร้ต่อไป เสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนของเธอเองให้คนที่ไม่ควรรู้ได้รู้ ปทุมเลือกที่จะจบการสนทนาไว้แค่นี้

"ข้าหมดคำถาม ! อีกมิช้า คงต้องรีบจรจากที่นี่ไปสำนักท่านดาบส ข้ามิควรร่ำไร"

สองสาวเดินกลับมาที่กลุ่ม

จันกำลังทำความสะอาดแผลให้กับแรม ส่วนแดงกำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้กับหงสา

ทอหรุ่ยพูดขึ้น

"ประเดี๋ยวข้าจักให้ข้าบนเรือนของข้า พาเจ้าสองคนไปที่พัก ท่านสิงดีจักได้เริ่มเดินทางเสียที"

หงสาลุกพรวดขึ้นยืน

"ข้าแต่แม่หญิง ! ข้าจักขอติดตามคณะเดินทางไปด้วยได้รึไม่ ? ข้าจักติดตามอ้ายไปทุกที่"

แดงถามขึ้น

"อ้ายผู้ใด ?"

หงสาจับข้อมือแดง

"แม่หญิงผู้กรุณา ได้โปรด ขอข้าติดตามอ้ายผู้นั้นไปด้วยเถิด"

แดงมีสีหน้างุนงง

ทอหรุ่ยรู้ทันทีว่า สาวเจนปุระตัวเล็กนางนี้ หมายถึงใคร

"เจ้ามิอยากอยู่ในที่แห่งนี้ ข้ามิอาจห้ามได้ จักติดตามอ้ายผู้ใด ข้าก็มิขัด หากแต่ เจ้ารู้รึว่า จักติดตามไปทิศทางใด ?"

หงสาชี้ไปที่เกวียนขนสัตว์

"ข้าจักขอติดตามเกวียนเล่มนี้ไป ได้รึไม่ ?"

หงสาเลิกลั่กมองหน้าคนโน้นคนนี้ เธอจับข้อมือแดง แล้วเขย่า

"แม่หญิง โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด !"

แดงมองหน้าปทุมผู้เป็นพี่สาว ปทุมมองไปที่พัน เธอรู้ว่าผู้นำคณะของเธอ คงไม่เห็นด้วยแน่ ๆ

ทอหรุ่ยกลับเดินเข้ามาหาปทุม

"พี่สาว ! นังหงสานางนี้ หากเป็นตามที่ข้าคิด นางได้เจอผู้ที่นางไว้ใจได้ ผู้ที่นางเชื่อมั่น ก็เหมือนกับที่ข้าได้เจอผัวของข้า ชีวิตข้าฝากไว้กับเขาได้

หากมิเป็นการเดือดร้อนมากนัก พี่สาวมีเมตตาให้นางขึ้นเกวียนไปสำนักดาบสด้วย จักเป็นพระคุณแก่นางอย่างใหญ่หลวง"

ปทุมขมวดคิ้ว

"เจ้าได้เจอผัวของเจ้า ข้าพอเข้าใจ แต่ นางคนนี้กับอ้ายผู้นั้น เหตุใดเจ้าจึ่งมั่นใจว่า นางจักไว้ใจเชื่อมั่นในชายผู้นั้นได้ ?"

ทอหรุ่ยไม่ตอบ เพียงแค่พยักหน้ายืนยัน

ปทุมหันไปมองหน้านายพัน เขากระพริบตาปริบ ๆ แล้วถอนหายใจช้า ๆ

"พี่ดวง พาสาวนางนี้ไปขึ้นเกวียน พวกราจักต้องรีบจรจากทุ่งตะเลงมิชักช้า หากฝนมาจักพาให้คณะต้องลำบาก"

แดงมีรอยยิ้ม จับหัวหงสาเขย่าเบา ๆ

"ไป ! ไปด้วยกันเถิด !"

**********************************************************************************

คณะของนายสิงดีออกเดินทางแล้ว

พันรู้สึกหนักใจไม่น้อยที่มีเรื่องไม่คาดคิดแทรกเข้ามาระหว่างการเดินทาง แต่เมื่อคิดถึงระยะทางที่เหลือ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินครั้งนี้ ภาระที่ใหญ่ และ มีเกียรติที่สุดในชีวิตการรับใช้ผู้มีพระคุณของเขา ก็คงหมดสิ้น

แดงนั่งคุยกับหงสาตลอดทาง คงเป็นเพราะวัยใกล้เคียงกัน

"เจ้ามีชีวิตใหม่แล้วนะ ในแดนทวารวดี หากแต่ เจ้าจักตามหาอ้ายผู้นั้นได้เยี่ยงไร ? เจ้าได้นัดหมายกับอ้ายผู้นั้นไว้รึ ?"

แดงสั่นหัว

"หากข้าติดตามแม่หญิงแดงไป ข้าจักพบอ้ายผู้นั้นอีกเป็นแน่"

แดงหัวเราะ

"วาจาเจ้านี่แปลก ! อ้ายใดที่ท่านว่า หากเป็นคนของอ้ายพัน ข้าล้วนรู้จักหมด

อ้ายผู้นั้นกล่าวกับเจ้าเยี่ยงใดเล่า เจ้าถึงเพียรแต่จะติดตามเขา ?"

หงสากลับหันไปมองหน้าปทุม

แดงเขย่าข้อมือหงสา

"มีเรื่องอันใดเกี่ยวข้องกับพี่สาวข้าด้วยรึ ?"

หงสามองหน้าแดง

"ข้ารู้แต่ว่า หากข้าติดตามแม่หญิงทั้งสองคนไป ข้าจักได้เจออ้ายอีกแน่นอน"

เสียงฟ้าคำรามดังขึ้น

สาว ๆ ชะโงกหน้าออกไปมองท้องฟ้า เมฆฝนดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว

ฝนเริ่มโปรยลงมา

*****************************************************************************

 อ่านหน้า > 2, 3, 4, 5

สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่

กลับขึ้นด้านบน  อ่านตอนอื่น 

 

 

 

 
Copyright © 2008, pendulumthai.com All rights reserved