
อาศรมของพระดาบสแห่งสุวรรณภูมิ มีแท่นศิลาก้อนใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ปูด้วยอาสน์หนังเสือ เป็นที่รองนั่งของพระดาบส
ฤาษีผู้ทรงฌาณอยู่ในชุดห่มสีเปลือกไม้ หนวดเครายาวรุงรัง โพกหัวด้วยผ้า มัดผมเสียบจุกด้วยลำไม้
เบื้องหน้าของพระดาบส... ด้านซ้าย คือ สองสาวพี่น้องแห่งปะทุมดี นั่งพับเพียบบนพื้น บริเวณใกล้ ๆ มีกระรอกวิ่งเล่นอยู่รอบ ๆ ด้านขวา คือ เจ้าชายผจัญบุตร และ พญานุรักษ์ราชองครักษ์ นั่งพับเพียบบนพื้นเช่นกัน
พระดาบสเคี้ยวหมากอยู่เต็มแก้ม เริ่มสนทนาด้วยถ้อยคำที่อู้อี้
"องค์หญิง องค์ชาย คงรู้จักกันแล้วสินะ"
องค์แดงหัวเราะหึ ๆ เมื่อเห็นน้ำหมากพระอาจารย์กระจายหยดมาที่หน้าแท่นหิน
เจ้าชายผจัญบุตรตอบ
"ศิษย์รู้จักองค์หญิงทั้งสองอย่างดีแล้วขอรับ พระอาจารย์"
พระอาจารย์พยักหน้า แล้วหัวเราะ
"ดี ๆ ! ไหน ๆ เจ้าชายผจัญบุตรก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่ ขอศิษย์พี่ขานอริยศักดิ์ขององค์หญิงทั้งสองเป็นการต้อนรับเถิด"
ผจัญบุตร ยกมือพนมเหนือหัว เป็นการตอบรับ
"ได้ขอรับ พระอาจารย์ !"
ผจัญบุตรลุกขึ้นยืน กางขาเล็กน้อย มือทั้งสองไพล่หลัง แล้วพูดขึ้น
"ข้าแต่ องค์หญิงผู้มีเกียรติ ผู้มีนามแต่นิมิตจาก ดอกไม้ที่พญานาคจากสรวงสวรรค์ยื่นให้ จึ่งได้นามแต่นิมิตว่า ทิพยโกสุม
ผู้มีนามแต่วงศ์ ว่า ปะทุมดี แห่งราชวงศ์ปะทุมดี
ผู้มีผิวพรรณที่ประเสริฐเป็นเลิศที่สุดในแคว้น จึ่งมีนามแต่ตนว่า ศรีวรรณ
ผู้เป็นธิดาองค์แรกแห่ง เจ้าธรรมราชา และ พระมเหสีจอมเงิน จึ่งได้นามแต่ยศว่า ราชกุมารี
ผู้มีอริยศักดิ์เต็ม ขานว่า องค์หญิงทิพยโกสุม ปะทุมดี ศรีวรรณ ราชกุมารี ....."
นังปทุม หรือ องค์หญิงศรีวรรณ ผงกหัวเล็กน้อยเป็นการตอบรับ
เจ้าชายผจัญบุตร ขานต่อ
"ข้าแต่ องค์หญิงผู้มีเกียรติ ผู้มีนามแต่นิมิต จาก อัญมณีสีแดง จึ่งได้นามแต่นิมิตว่า มณีชาด
ผู้มีนามแต่วงศ์ ว่า ปะทุมวดี แห่งราชวงศ์ปะทุมวดี
ผู้เป็นหลานอันเป็นที่รักแห่งพ่อหลวงตวันอธิราชแห่งทวารวดี จึ่งได้นามแต่ตนว่า นรีนัด
ผู้มีลำดับยศ เป็น อัครราชกุมารีองค์ที่สอง แห่งพระเจ้าธรรมราชา และ พระมเหสีจอมเงิน แห่งปะทุมวดี จึ่งได้นามแต่ยศว่า ราชกัลยา
ผู้มีอริยศักดิ์เต็มขานว่า องค์หญิงนรีนัดมณีชาดปะทุมราชกัลยา....
ข้า... เจ้าชายผจัญบุตร มกุฏราชกุมาร ในเจ้าอุรุชัยวรมัน แห่งราชวงศ์เจนอุษา ยินดีต้อนรับ"
แอนดี้หัวเราะก๊าก
"ลิเกมาก ถึง มากที่สุด ตั้งแต่เคยได้ดูหนังดูละครมา"
สหายพรหมหัวเราะตาม
"ก็เป็นมารยาท การให้เกียรติกันแบบเชื้อพระวงศ์ของคนสมัยนั้น คือ การที่อีกฝ่าย จำชื่ออิสริยยศของอีกฝ่ายได้ มันถือเป็นการให้เกียรติกัน"
"คงท่องได้แม่นละมั้ง ก็ท่าทางองค์หญิงทั้งสอง น่ารักซะขนาดนั้น คงท่องกันทั้งวันทั้งคืนแน่"
องค์หญิงนรีนัดมีสีหน้าเป็นกังวล คิ้วขมวดอยู่ตลอดเวลา เธอถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน
"ศิษย์น้องมีความปรีดาเป็นอย่างยิ่ง ที่ศิษย์เจ้าพี่ให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ แต่ศิษย์น้อง บังอาจ ขอความกรุณาปรานีจากศิษย์เจ้าพี่หนึ่งเรื่อง ต่อหน้า พระอาจารย์"
องค์ศรีวรรณมีสีหน้าประหลาดใจ แหงนหน้าจ้องไปที่หน้าน้องสาวตัวเอง
"น้องจักคิดขอสิ่งใด ?"
องค์แดงมองหน้าพี่สาว แล้วพยักหน้าขอให้พี่สาวเชื่อใจเธอ
ดาบสผู้เป็นพระอาจารย์หัวเราะ
"องค์แดงมีความกล้าอยู่ในสายพระโลหิตมาแต่กำเนิด"
ผจัญบุตรพยักหน้า
"ศิษย์น้องทูลขอสิ่งใด ว่ามาเถิด ขอให้พี่ได้ยินความนั้นก่อน จึ่งตอบน้องได้"
"น้องจักขอชีวิตคนผู้หนึ่ง น้องขอพระราชทานอภัยโทษจากเจ้าพี่ ขอความเป็นอิสระให้กับนางผู้นั้น"
เจ้าชายเอียงคอ
"นางผู้ใด ? นางผู้นั้นมีความผิดอันใดต่อพี่รึ ?"
"นาง คือ สาวเจนปุระ ที่หนีการเกณฑ์สนมข้ามมายังแดนทวารวดี"
ผจัญบุตร หันไปหาพญานุรักษ์ องครักษ์อธิบายความด้วยน้ำเสียงกระซิบ
"หากเกิดเหตุนั้นขึ้นจริง นางผู้นั้นต้องด้วยกฏมณเฑียรบาล ต้องเป็นนางห้ามสาธารณะ หรือ เลือกถูกประหาร กฏนี้มีเพื่อทำให้คนในปกครอง เกิดความเคารพยำเกรง ฝ่าฝืนมิได้เป็นอันขาดพ่ะยะค่ะ"
ผจัญบุตรพยักหน้าเข้าใจ แล้วหันมามององค์แดง
"ไพร่สาวผู้นั้น ที่วิ่งหนีไป ใช่รึ ?"
องค์แดงพยักหน้า
ผจัญบุตรมีสีหน้าเคร่งเครียด พญานุรักษ์อ่านสีหน้าออก เพราะเขาคือผู้เลี้ยงดูเจ้าชายมาตั้งแต่เด็ก
องครักษ์เสนอความเห็นด้วยเสียงกระซิบ
"หม่อมฉันเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้ ขอให้พระองค์รับปากองค์หญิงเช่นนี้......" พญานุรักษ์ลุกขึ้นยืน แล้วกระซิบข้างหูราชบุตร
ผจัญบุตรพูดกับองค์แดง หลังจากฟังความจากองครักษ์แล้ว
"หากน้องหญิงจักรับปาก มิปริวาจาบอกกับผู้ใดว่า สาวคนนั้น เป็นชาวเจนปุระ ที่หนีการเกณฑ์สนมมา
พี่ก็จักรับปาก จักมิให้ทหารแห่งเจนปุระ ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับไพร่ของน้องหญิง หากน้องหญิงจักรับสาวคนนั้นไว้เป็นข้าประจำองค์ แล นางไม่ควรคิดลาจากน้องหญิงกลับไปแค้วนเจนปุระอีก"
องค์แดงมีรอยยิ้ม หันไปยิ้มให้พี่สาว แล้วหันกลับมายกมือไหว้
"น้องขอขอบพระทัยในความกรุณาของเจ้าพี่ น้องรับปากตามที่เจ้าพี่ทรงแนะนำ"
ทั้งสององค์ ทรุดตัวกลับลงนั่งที่พื้น
ดาบสกล่าวขึ้น
"ขอเชิญองค์หญิงทั้งสอง เสด็จสู่ที่พัก ทรงเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย พักผ่อนเสียก่อนหนึ่งราตรี วันพรุ่งค่อยกระทำพิธีไหว้ครูพร้อมกับศิษย์ผู้อื่น"
องค์หญิงศรีวรรณ พูดขึ้น
"หากศิษย์จักขอสนทนากับพระอาจารย์ตามลำพังอีกสักหน่อย ได้รึไม่ ? ศิษย์มีของสำคัญที่จำต้องมอบแก่มือของพระอาจารย์"
ดาบสพยักหน้า
"ย่อมได้ ! เช่นนั้น เชิญสองพระองค์ เสด็จกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด"
ผจัญบุตร กับ องค์แดงพยักหน้ารับรู้
พี่สาวพูดกับน้องสาว
"บอกอ้ายพัน ให้นำหีบไม้มาที่อาศรมได้"
กระรอกวิ่งกลับขึ้นมาบนหน้าตักขององค์หญิงศรีวรรณ
***************************************************************************

องค์หญิงนรีนัด กับ ดวง และ ดี ถือคบเพลิง ยืนรอข่าวจากนายสาง และ พวก ที่ริมป่าไผ่
เป็นเวลานานพอสมควร กว่าสาง และ พวก จะเดินกลับออกมา
องค์แดงทักขึ้นทันที
"อ้ายสาง เจอตัวรึไม่ ?"
สางสั่นหัว
"ไม่เจอขอรับ !"
องค์หญิงมีสีหน้าเป็นกังวล พึมพำออกมา
"ฟ้ามืดแล้ว เจ้าหนีไปที่แห่งใดรึ หงสา ?"
"มิต้องตามดอก สาวนางนั้นอยู่กับข้า ปลอดภัยดี" เสียงชายหนุ่มดังมาจากในป่าไผ่
สาง และ พรรคพวก หันหลังไป โบกคบเพลิงเพื่อส่องทาง หาต้นเสียง
ต้นเสียง เป็นชายฉกรรจ์ ไม่ใส่เสื้อ มีสร้อยสังวาลย์ประดับหน้าอก นุ่งผ้าหยักรั้ง กำลังเดินตรงมาทางองค์หญิง และ พรรคพวก
สางเอื้อมมือข้ามหัวไหล่คว้าดาบออกจากฝัก ตะโกนขึ้นทันที
"หยุดอยู่ตรงนั้น ! เจ้าเป็นผู้ใด ? เจ้านำหงสาไปไว้ที่แห่งใด ?"
เมื่อเห็นนายสางเตรียมรับมือด้วยอาวุธ เขาก็เอื้อมมือสองข้างไปด้านหลัง คว้ากริชสองเล่มขึ้นมาชู
"ข้าเป็นผู้ใด ใช่กงการของพวกเจ้า พวกเจ้าพร้อมสู้กับบริวารของข้ารึ ?"
เสียงคำรามของเสือโคร่งมาพร้อมกับการปรากฏตัวของมัน แสงไฟจากคบเพลิงส่องสว่างเห็นเสือโคร่งตัวใหญ่เดินย่างเท้ามาจากด้านหลังของชายผู้นั้น
เสียงเห่าหอนของหมาป่าเป็นฝูงดังลั่นป่าไผ่
สางตะโกนลั่น
"ส่งองค์หญิงกลับที่พัก !"
ไม่ทันที่พรรคพวกจะปฏิบัติตาม ฝูงหมาป่าวิ่งจากป่าไผ่ กระโจนเข้าโจมตีสาง และ พรรคพวก ต่างคนต่างไม่ได้ตั้งหลัก ใช้คบเพลิงป่ายซ้ายขวา วิ่งกันกระเจิดกระเจิงไม่รู้ทิศทาง
***********************************************************************************

เมื่อมั่นใจว่าวิ่งมาไกลจากฝูงหมาป่าพวกนั้น องค์แดงก็รู้ว่าตนเองนั้นหลงป่าเสียแล้ว
แต่ไฟจากคบเพลิงที่เห็นอยู่ในระยะสายตานั้น ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็มีใครสักคนให้เธอได้ถามทาง
"ช่วยด้วย ! ข้าหลงป่าอยู่ทางนี้"
คบเพลิงพาแสงสว่างใกล้เข้ามา จนเริ่มเห็นว่าเป็นใคร
"หงสา !" องค์แดงตะโกนขึ้น เมื่อเห็นชัดเจนว่า หงสา กำลังเดินมากับชายหนุ่มที่มีสร้อยสังวาลย์ห้อยคอคนนั้น
องค์หญิงเดินถอยหลังกรูด
"เจ้าพาชายผู้นี้มาเพื่อเหตุใด ? เหตุใดเขาจึ่งต้องทำร้ายพวกเราด้วย ?"
"ขอองค์หญิงทรงอภัยหม่อมฉัน ชายผู้นี้ มิได้หวังร้ายต่อองค์หญิงแต่ประการใด อย่าได้ทรงถอยหนี"
องค์แดงได้ยินดังนั้น ก็คิดได้อย่างรวดเร็ว ความมืดในป่าไผ่เป็นอุปสรรคกับเธอแน่นอน ถึงจะหนี ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย จึงยอมหยุด ยืนอยู่ที่เดิม
ชายผู้มีร่างกายกำยำ และ สูง เดินถือคบเพลิงเข้ามาใกล้ตัวองค์หญิง
หงสาคุกเข่าลง แล้วยกมือไหว้
"ขอองค์หญิงทรงอภัยแก่หม่อมฉัน ! หม่อมฉันนี้ช่างโง่นัก หาสำเนียกไม่ว่า แม่หญิงที่มีจิตใจเมตตาต่อข้านี้ คือ เจ้าฟ้า หาใช่สาวสามัญธรรมดา"
องค์แดงพยักหน้ารับรู้
"เจ้าลุกขึ้นเถิด ! ชายผู้นี้เป็นผู้ใด ?"
ชายผู้นั้น จ้องหน้าองค์หญิง แล้วยิ้ม
"ข้าเป็นใคร ณ เพลานี้ หาสำคัญต่อเจ้าไม่ ! เพลานี้ ข้ามีหนี้จำต้องสะสาง"
"หนี้กับผู้ใด ? ที่แห่งนี้คือสำนักฝึกวิชาอาคม แล บำเพ็ญตบะ ท่านมิควรรุกรานสถานที่ที่พึงเคารพ"
เขาหัวเราะหึ ๆ
"หากเจ้าอยากจะเคารพไอ้ฤาษีจัญไรนั่น เจ้าก็รอข้าส่งมันไปนรกเสียก่อน เจ้าก็ตามไปเคารพมันได้"
"ท่านมีกิริยาวาจาอุกอาจเยี่ยงโจร นามท่านขานว่าใดก็มิยอมบอก"
เขาหัวเราะเบา ๆ
"นามข้า ณ เพลานี้ คือ ชิดนรี เจ้ารู้แล้ว เจ้าจักระลึกได้รึ ?"
องค์แดงขมวดคิ้ว
"ระลึกสิ่งใด ? ชิดนรี ชายจากแคว้นใดกัน มีชื่อเยี่ยงสตรี ?"
"ข้าอยากชิดกับเจ้าอย่างไรเล่า ! นามเจ้าคือ นรีนัด ใช่รื ? สักวัน ข้าคงได้ชิดกับเจ้า"
"ท่านบังอาจมาก ! ท่านรู้อยู่ว่าข้าคือผู้ใด ไยจึ่งบังอาจพูดจาล่วงเกิน ?
ท่านคงมิรู้สิว่า ที่สำนักดาบส ณ เพลานี้ เจ้าชายผจัญบุตรแห่งเจนปุระ ซึ่งเป็นสหายของข้าประทับอยู่ พร้อมทหารราชองครักษ์ เพียงแค่ข้าบอกกล่าวให้เขาสั่งสอนท่าน ท่านก็อาจถูกสับเป็นพันชิ้นได้ในทันที"
ท่านคิดร้ายต่อพระอาจารย์ ท่านมีอาคมแก่กล้าประการใด ถึงยโสโอหังเยี่ยงนี้ ?"
เขาหัวเราะร่วน
"เจ้าชายหน้าไหนจักมาพิทักษ์เจ้าได้ วันใดที่ข้าต้องการเจ้า วันนั้นเจ้าก็ต้องเป็นของข้า"
แล้วหันกลับไปบอกหงสา
"เจ้าพาองค์หญิงนี่ กลับไปที่พักเถิด"
***************************************************************************

นายพันนำหีบคัมภีร์มามอบให้พระดาบส พร้อมทั้งเล่าข่าวที่เพิ่งได้รับรู้มาจากบริวารของเขา
การกบฏเกิดขึ้นจากแม่ทัพใหญ่สามคน ยกทหารบุกเข้าพระราชวังตอนเที่ยงคืน โดยการนำของพระเชษฐา
ไม่มีการรบเกิดขึ้น เพราะฝ่ายพระราชวัง ไร้คนบัญชาการ มีแค่ทหารประจำวัง
ราชองครักษ์พาเจ้าธรรมราชา หลบออกจากวังตั้งแต่ก่อนตะวันตกดิน
ฤาษีผู้ทรงฌาน ไม่ได้มีปฏิกริยาตื่นเต้นใด ๆ เมื่อได้ยินที่นายพันเล่า มีแต่คำรำพึงว่า
"เป็นเช่นนั้นจริงสิหนอ ! เป็นหนี้บุญคุณเจ้าเสียแล้ว !"
องค์หญิงศิริวรรณถามกลับ
"เป็นหนี้ผู้ใดกันเจ้าคะ ?"
ดาบสแห่งสุวรรณภูมิถอนหายใจ หยิบคัมภีร์เทียบวางไว้บนแท่นศิลา แล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก้มลงกราบหน้าแท่นศิลา
ฤาษีหันกลับมา นั่งบนอาสน์หนังเสือที่ปูอยู่บนพื้นอาศรม
พันนั่งโน้มหัวลงต่ำกว่าเดิมอีก เพราะเกรงว่า ศรีษะจะสูงกว่าท่านดาบส
พระอาจารย์ยกมือ
"นั่งตามแต่สบายเถิด ท่านพัน ! ฉันไม่คุ้นหน้าเธอเลยนะ เราเคยได้ปะกันมาก่อนรึ ?"
พันส่ายหัว
"มิเคยดอก ท่านดาบส ! ข้าเองมิใช่แม่ทัพใหญ่ เป็นเพียงหัวหน้าทหารประจำราชวัง แม่ทัพใหญ่เท่านั้น ที่มีโอกาสได้ปะกับท่านในท้องพระโรง ข้าเองไม่จัดว่าอยู่ในลำดับที่สำคัญ"
ฤาษีพยักหน้าช้า ๆ ลูบเคราตัวเอง
"มิสำคัญดอกรึ ! หากเธอมิใช่คนสำคัญ เหตุใดเจ้าเหนือหัวจึ่งให้รับผิดชอบเป็นผู้นำพระราชธิดาสองพระองค์มาถึงที่แห่งนี้ ?"
พระราชธิดาศรีวรรณพูดขี้น
"ท่านหัวหน้ากอง เป็นคนที่เสด็จพ่อไว้วางพระทัยมาก ด้วยเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี ศิษย์เองก็มิได้เฉลียวใจคิดว่า เหตุใดจึ่งมิให้แม่ทัพใหญ่มาเป็นผู้พิทักษ์ในการเดินทาง
ศิษย์รู้แต่ว่า ศิษย์มีความมั่นใจในตัวท่านพัน ด้วยเห็นท่านถวายการรับใช้เสด็จพ่อมาตั้งแต่ศิษย์ยังจำความได้"
ฤาษีหัวเราะ
"นี่ละหนา ! แม่ทัพใหญ่ แต่ใจมิสะอาด รึจะสู้ ข้าราชบริพารที่มีใจซื่อสัตย์จงรักภักดีได้
แม่ทัพเหล่านั้น ใช่ว่าจะใหญ่จริงสักเท่าใดหนอ องค์หญิงก็ประจักษ์อยู่
แค้วนปะทุมดี มิใช่แคว้นที่ชำนิชำนาญเรื่องการรบ แม่ทัพที่มีนั้น มีเพื่อการดูแลความสงบภายในแคว้น มีไว้เพื่อกำราบโจรด้อยฝีมือเท่านั้น หาใช่เพื่อการรบกับข้าศึกใด ๆ ไม่
ฝีมือการออกทัพ เรียกว่าไม่ประสีประสาใด ๆ ด้วยไร้ประสบการณ์ หาเทียบได้ไม่กับกองทัพแห่งเจนปุระ หรือ กองทัพอันเกรียงไกร ของ พ่อหลวงตะวันอธิราช"
พันก้มหน้า มีสีหน้าที่สลด ก้มลงกราบองค์หญิงศรีวรรณ
"หม่อมฉัน ขอให้องค์หญิงทรงลงโทษที่หม่อมฉันไร้ปัญญา หาได้เฉลียวใจใด ๆ ไม่ว่า พระราชบิดาของพระองค์ มีความนัยแฝงอยู่ จึ่งมิส่งแม่ทัพให้การคุ้มครอง แต่กลับออกอุบายส่งนายกองไร้ฝีมือเช่นหม่อมฉันมาพิทักษ์การเดินทาง
หากแต่เพียง หม่อมฉันมีปัญญามากกว่านี้ อาจจักช่วยอารักขาราชวัง จากการกบฏของเหล่าแม่ทัพเหล่านั้นได้"
ฤาษีหัวเราะร่า
"ฮ่า ๆๆๆๆ ! เธอนี่ซื่อเสียเหลือเกิน ก็เธอเพิ่งเล่าความก่อนหน้านี้ว่า พระเชษฐาเป็นผู้บงการแม่ทัพทั้งหมด แล้วหากเธอเฉลียวใจล่วงหน้า เธอมีกำลังเท่าใด จักต่อสู้กับแม่ทัพทั้งหมดได้ ?
ป่านนี้อาจพาลให้องค์หญิงทั้งสองต้องสังเวยพระชนม์ไปเสียแล้วก็เป็นได้"
องค์หญิงส่งยิ้มให้พัน
"มิมีโทษใดที่ท่านต้องถูกลงทัณฑ์ ! ฉันเองต่างหาก ที่รู้สึกยกย่องในความจงรักภักดีของท่าน หากไม่มีท่าน ป่านนี้ฉันกับน้องสาว อาจจะมิได้มีชีวิตอยู่เสียแล้ว"
เธอยกมือไหว้พระอาจารย์
"เสด็จพ่อทรงรู้ล่วงหน้าว่า จักเกิดการกบฏ จริงหรือเจ้าคะ พระอาจารย์ จึ่งส่งเราสองพี่น้องออกมาหาพระอาจารย์อย่างเงียบ ๆ ?"
"ทรงรู้ แต่มิทรงมั่นใจดอก องค์หญิง !
มีคนมาทูลการณ์นี้ล่วงหน้า แต่ถ้อยความที่ได้ยิน ก็ยากนักที่จักเชื่อ หากมิใช่เนื่องด้วยเหตุการณ์ของราชบุตรหูปิง เจ้าธรรมราชา กับ หม่อมฉัน ก็คงมิได้รู้ความนี้"
องค์หญิงศรีวรรณขมวดคิ้ว จับต้นชนปลายไม่ถูก
"เรื่องเป็นเช่นใดฤาเจ้าคะ พระอาจารย์ ? เหตุใดจึ่งเกี่ยวข้องกับราชบุตรหูปิงในครั้งกระนั้น ?"
ฤาษีเล่าความย้อนอดีต เริ่มต้น ณ วันที่ราชบุตรหูปิง แห่งนานเยว์ เข้าเฝ้าเจ้าธรรมราชา
-------------------
1, 2 < อ่านหน้า > 4, 5
สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่
กลับขึ้นด้านบน อ่านตอนอื่น
|