
บ้านเรือนในเขตทุ่งตะเลง มีลักษณะเป็นกุฎีคาร มีจั่วขวางตะวันเป็นเอกลักษณ์
ไม่ว่าจะเรือนเล็ก เรือนใหญ่ ก็มีหลังคารูปสามเหลี่ยมหัวแหลมทั้งสิ้น
คณะเดินทางมาถึงเขตทุ่งตะเลงตอนบ่ายแก่ ๆ ยังเห็นผู้คนชาวรามัญ เดินกันขวักไขว่ เด็กน้อย เด็กโต เทินของไว้บนหัวกันเป็นปกติ
แอนดี้ถามขึ้น
"เขาไม่ใช้มือถือของกันนะครับ มือก็ว่าง ๆ แต่วางไว้บนหมวกผ้าแทน ผมเคยไปบาหลี ที่นั่นก็ใช้หัวแบกของกันเป็นปกติ"
"เขาเรียกว่า เทิน ไม่เรียกแบก แบกนั่นต้องใช้บ่า ถ้าใช้หัว เรียกว่าเทิน"
"อ้อ ครับ ! แล้วบ้านเค้าเหมือนกับว่าหันหน้าไปแนวเดียวกันหมดเลย"
"ชาวมอญนี่สร้างบ้านดูตะวันเป็นหลัก เขาจะไม่หันหน้าบ้าน หรือ หลังบ้านให้พระอาทิตย์ แต่จะสร้างบ้านให้พระอาทิตย์ข้ามจากด้านซ้ายไปด้านขวา หรือ ข้ามด้านขวามาด้านซ้าย บ้านก็จะไม่ร้อนมากนัก ไม่งั้น แดดส่องเข้าหน้าบ้าน ร้อนตายห่า"
"อือ ใช่ครับ !"
"การสร้างบ้านแบบนี้ เขาเรียกว่า ขวางตะวัน ชาวมอญนี่เป็นปราชญ์ของแถบสุวรรณภูมิเลย วิชาการหลายอย่างนี่ ชาวมอญเป็นต้นแบบค้นคิด แล้วก็แพร่หลายไปเรื่อย ๆ ต่อ ๆ กันมา จนคนที่ไม่ใช่มอญ ก็นำไปใช้ตามกัน"
"ท่านลุงนี่ถ้าจุติแล้ว ไปสมัครงานที่กระทรวงวัฒนธรรมได้เลย ความรู้ใช่ก้อย"
สหายพรหมเหล่ตามองหลาน
สาว ๆ ในเกวียนปะทุมดี ชะโงกหน้าออกมามองสองข้างทางด้วยความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งนังเป็ง....สาวเชื้อสายมอญ ก็ยังไม่วายจะตื่นเต้นกับการได้เห็นบรรยากาศของทุ่งตะเลงครั้งแรกในชีวิต
มีแต่ปทุมที่คอยแต่ชะเง้อมองไปที่คณะของนายสิงดีด้านหน้า เธอยังไม่เห็นชายคนไหนในคณะสิงดี ที่มีรูปร่างคล้ายกับนายชิดโกสุมเมื่อเย็นวาน
*********************************************************************

สิงดีจัดหาที่พักด้วยการเช่าเรือนไม้ร้างหลังใหญ่ของเศรษฐีชาวมอญ เป็นที่นับยามของคณะ
บ่ายแก่ ๆ ของวันที่ฟ้าครึ้ม เหล่าลูกจ้างคนงานกำลังขนสัมภาระบางส่วนขึ้นบนเรือน
นายพันสั่งลูกน้องให้ตรวจตราไปรอบบริเวณเรือน
เจ้าชีวัม.... แขกสิงหลลูกจ้างสิงดี เดินนำคนงานชายสามคนก้มเงย ๆ มองหาอะไรบางอย่างที่หลังกองเกวียนของคณะ
คนงานชายคนหนึ่งชี้มือไปที่พงหญ้าบนพื้น แล้วทั้งสี่คนก็รีบเดินเข้าไปในป่าละเมาะที่ติดกับเรือนไม้
พันไม่มีความต้องการสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้อื่น สมาธิของเขาต้องจดจ่ออยู่กับการระวังภัยให้กับคณะปะทุมดี
สิงดีใช้ให้ตองสีช่วยหอบหิ้วของกำนัลพะรุงพะรังเต็มสองมือ เพื่อนำไปมอบให้กับเศรษฐีชาวมอญ เจ้าของเรือนไม้ร้างหลังนี้ ซึ่งพักอยู่ในเรือนหมู่ห่างออกไปในระยะไม่พ้นสายตา
เสียงตะโกนของนังแดงดังตามมา
"ช้าก่อน สิงดีท่าน !"
แดงวิ่งจากเรือนไม้ มาหยุดยืนอยู่หน้านายพัน
"อ้ายพัน ข้ามีเรื่องจักขอท่านให้ยินยอม
หากว่าสิงดีต้องออกไปทำการค้าเร่ แล เล่านิทานสิบแคว้นในกาดทุ่งตะเลง ข้าจักขอติดตามไปฟังด้วย ท่านจักยอมหรือไม่ ?" นังแดงพูดด้วยเสียงที่ดัง เพื่อให้นายสิงดีได้ยินพร้อมกัน
สิงดีหัวเราะ แล้วโบกมือ
"มิต้อง มิต้อง ไปไกลถึงกาดหรอกเจ้า !
ค่ำนี้ ข้าจักเล่านิทานสิบแคว้นที่เรือนไม้ใหญ่ของเศรษฐีสมิงมะละเมิง จักมีสหายชาวรามัญของท่านสมิงมาร่วมฟังเป็นที่ครึกครื้น เจ้าติดตามข้าไปที่เรือนนั้นได้ มิมีอันใดขัด"
นังแดงหันหน้ามามองนายพัน เขาพยักหน้าช้า ๆ
"ข้าจักจัดคนให้ตามเจ้าไป"
แดงกระโดดตัวเบา ๆ ด้วยความดีใจ
สิงดีพูดทิ้งท้าย
"ก่อนพลบค่ำ เมื่อข้าพร้อม ข้าจักให้คนไปบอกท่านพัน ท่านพันจักส่งใครติดตามมาด้วย ข้าก็มิขัด
เพลานี้ ข้าขอตัวนำของกำนัลไปเรือนท่านสมิง"
แอนดี้ถามขึ้น
"สมิงนี่ คือ เสือสมิงหรือเปล่าครับ ?"
"ไม่ใช่ ! สมิงที่เป็นเสือนั่นออกเสียงว่า สะ- หมิง แต่สมิงนี่ แกฟังดี ๆ สิ เค้าออกเสียงว่า สะ- เมิง ถ้าแกไปค้นพงศาวดารไทย คนไทยใช้แทนด้วยคำว่า สมิง ไปเลย เพราะคำว่า สะ เมิง ที่เค้าออกเสียงน่ะ มันสะกดยาก
สะเมิงเป็นชื่อที่ให้เกียรติ คล้าย ๆ กับตำแหน่งที่คนยกย่อง ใช้เรียก ผู้นำก็ได้ ใช้เรียกแม่ทัพก็ได้ ใช้เรียกขุนนางก็ได้ เหมือนกับคนไทยสมัยก่อน มีคำเรียกว่า พณ ฯ ท่าน อะไรประมาณนี้แหละ
เศรษฐีมอญที่ชื่อ มะละเมิงรายนี้ ชาวบ้านยกย่องให้เป็นหนึ่งในพวกผู้นำ หรือ อาจจะเรียกว่าผู้ใหญ่บ้านแบบไม่เป็นทางการก็ได้ เค้าก็เรียกคำนำหน้าให้เกียรติว่าสะเมิง"
"อ้อ ! เข้าใจแล้วครับ สะเมิงท่านลุง !"
*************************************************************************
นังเป็ง กับ นังจันกำลังช่วยปทุมจัดของเข้าที่ในห้องนอน
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ข้าเอง พัน ! เปิดประตูให้ข้าด้วย !"
ปทุมพยักหน้าให้นังเป็ง เดินไปเปิดประตู
นายพันยกหีบไม้เข้ามาในห้อง เขายืนดูสภาพห้องเพียงไม่นาน แล้วก็ตัดสินใจเดินไปที่มุมห้อง วางหีบไม้ลงที่พื้นมุมห้อง
ในห้องนอนขณะนี้ มีสามสาวที่อยู่ในห้อง ส่วนแดงน้องสาว และ นังดวง นังดี ออกไปเดินเที่ยวเล่นนอกเรือน
พันยืนอยู่ที่กลางห้อง
"ข้าขอออกคำสั่ง ตั้งแต่ เพลานี้ ที่มีหีบไม้นี้อยู่ในห้องนอน บรรดาสาวเจ้าหกนาง อย่างน้อยหนึ่งนาง จำต้องอยู่เฝ้าประจำห้อง ห้ามมิให้ปล่อยห้องนี้ว่างไร้ผู้ใดเฝ้าเป็นอันขาด
แล หน้าต่างฟากนั้น...." พันชี้ไปที่หน้าต่างฝั่งที่ติดกับป่าละเมาะ
".... จงปิดไว้ตลอด เพื่อความปลอดภัย ห้องนี้ยังมีหน้าต่างอีกสองฟากที่เปิดรับลมได้โดยปลอดภัย พวกเจ้าอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับหน้าต่างฟากนั้นเป็นอันขาด"
สามสาวพยักหน้ารับรู้
พันขมวดคิ้ว เมื่อมองลอดหน้าต่างออกไปที่กิ่งไม้บนต้นขเจา กระรอกตัวหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่บนต้นไม้
"นั่นฮอกของเจ้ารึ นังทุม ?"
ปทุมมองตาม แล้วส่งยิ้มให้
"มิผิด ! ข้าปล่อยให้มันมีอิสระเสียบ้าง อยู่ในเกวียนทั้งวันคงน่าหน่ายสำหรับมัน"
พันหัวเราะหึ ๆ แล้วจ้ำเท้า เดินออกจากห้องไป
จันบ่นออกมาด้วยเสียงพึมพำ
"ท่านพันนี่ดุจัง ! เหมาะสมกับผู้นำคณะแท้ ๆ"
ปทุมพยักหน้าเห็นด้วย
"เหมาะแท้ ข้าเชื่อใจในตัวเขา"
จันถามขึ้น
"เพลานี้ เราอยู่กันสามนางเพียงลำพัง จักสนทนาด้วยวาจาดั่งเคย ควรรึไม่ ? ข้ารู้สึกไม่เหมาะสมที่จักกล่าวตามที่ฝึกกัน อึดอัดขนาด หากต้องสนทนาตามนั้น ข้าปิดปากเงียบเสียดีกว่า"
นังเป็งผู้อาวุโส เอื้อมมือมาแตะแขนนังจัน
"เพื่อความปลอดภัยของหมู่เรา อึดอัดก็จำต้องทน หากเอ่ยวาจาตามที่ฝึกกันมิได้ หุบปากเสียจักเป็นคุณกว่า"
ปทุมทรุดตัวลงนั่งบนตั่ง แล้วพูดขึ้น
"พี่จัน พี่เป็ง ข้ามีเรื่องขอให้พี่สองคนช่วย"
จัน และ เป็ง นั่งลงบนพื้นห้อง ตั้งใจฟัง
"คนงานของนายสิงดีมีหลายผู้คน คืนนี้ ทุกผู้ต่างก็นับยามกันในเรือนเดียวกันนี้ พี่สองคน ช่วยเสาะดู มีคนงานป้อจายผู้ใด ที่รูปร่างละม้ายคล้ายอ้ายพัน สูงเท่าอ้ายพัน แล วัยมิเกินซาวห้า หากแม้นว่าพี่สองคน เสาะเจอเมื่อใด ให้ถามนามมาแจ้งให้ข้ารู้"
สองสาวพยักหน้ารับรู้
เสียงตีเกราะไม้รัว ดังลั่นมาจากนอกเรือนข้างล่าง
สามสาวรีบเดินไปเกาะหน้าต่างดู
ผู้ตีเกราะไม้ คือ คนงานชายของสิงดี มีแขกชีวัมยืนอยู่ใกล้ ๆ
พันกับลูกน้องสามคน กำลังเดินเข้าไปถามเรื่องราว คนงานเล่าเรื่อง แล้วชี้มือเข้าไปในป่าละเมาะ
ปทุมไม่ได้ยินเสียงสนทนา เห็นแต่ท่าทางก็แน่ใจว่า น่าจะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น
นายพันสั่งการกับลูกน้อง แล้วตะโกนเรียกนายสาง
ปทุมได้ยินเสียงตะโกนสั่งลูกน้องครั้งสุดท้ายของผู้นำคณะปะทุมดี
"รีบไปที่เรือนหมู่ แจ้งให้สิงดีรับรู้ แล จำต้องแจ้งให้ท่านสมิง นำคนของท่านตามไปด้วย !"
ก่อนที่นายพัน และ นายสาง จะเดินตามแขกชีวัม และ คนงาน เข้าไปในป่าละเมาะ
*************************************************************************
พัน สิงดี และ สมิงมะละเมิง ยืนสนทนาช่วยกันวิเคราะห์เหตุการณ์อยู่กลางป่าละเมาะ โดยมีข้าทาสชายของมะละเมิงสามคน กำลังก้มลงตรวจดูสภาพศพของทหารเจนปุระที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นดิน
ชีวัม สาง กับคนงานของสิงดีอีกสองคน ยืนอยู่วงนอก
สิงดีมองหน้าพัน แล้วพูดขึ้น
"เห็นร่างเช่นนี้แล้ว ท่านคิดว่าใช่รึไม่ ?"
สมิงมะละเมิง..... เจ้าบ้านวัยอาวุโสอายุประมาณเกือบหกสิบปี แต่งกายตามแบบผู้ดีชาวรามัญ มีผ้าทอฝีมือดีโพกหัว นุ่งลอยชาย (กางเกงมอญ) ด้วยผ้าสีหม่น ผูกผ้าคาดเอวสีเงินเงาวับเสริมบุคลิกให้ดูมีสง่าราศีมากขึ้น เขาหันหน้ามามองผู้นำคณะปะทุมดีเช่นกัน
"พัน.... ท่านมักคุ้นกับทหารผู้นี้มาก่อนรึ ?"
"มิได้ ท่านสมิง ! เพียงแต่ สิงดี กับ ข้านั้น ไม่แน่ใจว่า อาจจะเคยปะกับชายผู้นี้มาก่อน
ท่านสมิง ขอให้คนของท่าน พลิกศพให้ข้าสองคน ปะหน้าชายผู้นี้ด้วยเถิด"
"เฮ่ย ! อะกลอ พลิกศพหน่อยเหวย !"
อะกลอ....หนุ่มรามัญผู้เป็นข้ารับใช้ท่านสมิง พยักหน้าให้ขี้ข้าหนุ่มอีกสองนาย ช่วยกันพลิกศพ
ศพนายทหารเจนปุระ ถูกพลิกมานอนหงายแล้ว
ทั้งสิงดี และ นายพัน พยักหน้าพร้อมกัน
"เป็นดั่งคาดจริง !" สิงดีพูดขึ้นก่อน
พันอธิบายให้สมิงมะละเมิงฟัง
"ทหารเจนปุระผู้นี้ ปะกับกองเกวียนของเราเมื่อบ่าย หมู่เขาข้ามแดนมาเพื่อจับตัวสาวสองนาง หนีการเกณฑ์สนมเข้ามาในแดนทวารวดี"
ท่านสมิงมองดูที่ศพ แล้วขมวดคิ้ว
"เช่นนั้น เหตุใดจึ่งมาสิ้นลมอยู่ในพงละเมาะแห่งนี้ ? สาวสองนางนั้นเป็นผู้ลงมือกระนั้นฤา ?"
อะกลอได้คลำศพจนถ้วนทั่วแล้ว พูดขึ้น
"ทหารผู้นี้ กระดูกคอ แล กระดูกหลัง กระดูกซี่โครง หัก แต่ ไร้รอยปะทะ"
สมิงมะละเมิง พัน และ สิงดี ต่างขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่อะกลอพูด
สิงดีถามขึ้นก่อน
"กระดูกหักหลายแห่ง ไร้รอยปะทะ เป็นไปได้อย่างได้ฤา จู่ ๆ กระดูกจึ่งได้เปราะหักด้วยตนเอง ?"
พันพึมพำ
"ไร้รอยถูกทุบตี...." เขาถามอะกลอ "ผิวหนัง มีรอยถูกรัดหรือไม่ ?" ข้าขอเข้าไปดูศพหน่อยเถิด
สมิงมะละเมิง พยักหน้าอนุญาต
พันทรุดตัวลงนั่งข้างศพเจนปุระ อะกลอกับข้าชาวรามัญอีกคน ช่วยกันเปิดเสื้อ
พันสังเกตุเห็นรอยจ้ำรอบคอ หลัง และ สะโพก
สิงดียืนอยู่ ณ ที่เดิม มองด้วยตาก็เห็นรอยเหล่านั้น เขาหันหลังกลับไปมองหน้าชีวัมทันที
ชีวัมพยักหน้าช้า ๆ เป็นการยืนยันว่า เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่นายของเขากำลังคิด
พันพูดขึ้น
"กระดูกหัก เพราะการถูกรัด มิใช่กระทบของแข็ง สาวสองนางนั้น มิน่าจะทำการเยี่ยงนี้ได้"
อะกลอพูดขึ้น
"สมิงนายข้า ควรทำเยี่ยงไรกับศพนี้ ? เหล่าทหารเจนปุระ หากพบว่าทหารนายนี้ สิ้นลมอยู่ในเขตของหมู่เรา คงต้องมีเรื่องราวกัน เขาอาจกล่าวหาว่า เป็นการกระทำของหมู่เรา"
สมิงถลึงตา พูดกับอะกลอ
"หุบปาก ! อย่าพูดจาไร้เหตุผลต่อหน้าแขกของข้า ! นี่เป็นแดนทวารดีแห่งพระเจ้าตวันอธิราช ทหารเจนปุระข้ามแดนมารนหาที่วายชีพ ใยจึ่งริบังอาจมาทำลำพอง แม้นคิดจะทวงศพคืน ก็อย่าหวังว่าข้าจะยอมให้อย่างง่ายดาย"
อะกลอหัวหด ยกมือไหว้นายทันทีที่โดนตวาด
สมิงกันมาถามนายพัน
"ท่านกล่าวว่า หมู่ทหารเจนปุระข้ามมาในแดนแห่งทวารวดี เช่นนั้น ย่อมมีมากกว่าหนึ่งนาย แล้วทหารที่เหลือเล่า หายไปที่ใด ? ใย ปล่อยให้สหายมาสิ้นลมอยู่ที่นี่ตามลำพัง ?"
พันกระพริบตาถี่ ใช้ความคิดเพียงอึดใจ แล้วพูดขึ้น
"หรือ นี่อาจเป็นแค่ศพแรก ? ศพนี้แขกชีวัมของนายสิงดีเป็นคนมาพบ หากหมู่เราจักพาคณะแยกกันไปค้นหาลึกเข้าไปในป่าละเมาะ อาจได้ร่องรอยอื่น".
อะกลอเดินข้ามาหานายของเขา ปรึกษากันว่าควรตัดสินใจอย่างไรกันต่อไป
สิงดีก็เดินเข้าไปหาชีวัม แขกสิงหลส่งภาษาสิงหลเล่าเหตุการณ์
ขณะที่พันกำลังสั่งการให้สาง นำความไปบอกลูกน้องที่เรือนไม้ สิงดีก็เดินมาจับแขน
"ท่านพัน ข้าขอแทรกความด้วยเรื่องที่ชีวัมเล่า"
พันเลิกคิ้ว "เรื่องใดฤา ?"
สิงดีกระซิบเบา ๆ จบประโยค นายพันมีสีหน้าประหลาดใจ
"ท่านมั่นใจว่า เป็นเช่นนั้น ?"
สิงดีมีสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้
"ข้าแค่คิดว่า อาจเป็นเช่นนั้น !"
สมิงแห่งทุ่งตะเลง เดินเข้ามาหา พัน และ สิงดี แล้วพูดขึ้น
"อะกลอกำลังไปนำคนมาเพิ่มอีกยี่สิบ เพื่อค้นหาในป่าละเมาะ จำต้องรีบทำเสียก่อนตะวันจะพลบ"
***********************************************************************************
1< อ่านหน้า > 3, 4, 5
สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่
กลับขึ้นด้านบน อ่านตอนอื่น
|