
แอนดี้แปลกใจเมื่อยมทูตพาเขา เดินแยกมาจากทางเดินรวมที่มีเหล่ายมทูตจากทิศอื่น ๆ พาวิญญาณที่เพิ่งจบชีวิตบนโลกมนุษย์ เดินแถวเรียงกันไปสำนักพระยายม
ทูตจากปรโลกนำเขามาที่ศาลาแก้วหลังคาแปดเหลี่ยม แล้วชี้นิ้ว
"เข้าไปรอในนั้น !"
แอนดี้ปฏิบัติตามโดยดี ไม่มีคำถามที่จะสนทนา เพราะรู้ว่า ถึงพูดไป ท่านยมทูตพูดน้อยท่านนี้ คงไม่โต้ตอบด้วย
ถึงแม้ไม่มีคำถาม แต่ก็อดจะแปลกใจไม่ได้
ศาลาแห่งนี้ ไม่ใช่สำนักงานที่พระยายมราชกับคณะปฏิบัติงานแน่ ๆ และ คงเป็นไปไม่ได้ที่ ท่านลุงพุฒจะมาเยี่ยมเขาด้วยตนเองที่นี่ เขาคงไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น
ยมทูตเดินหายไปไหนแล้ว
ศาลานี้คือที่แห่งไหนกัน ?
แอนดี้เดินกำลังจะก้าวลงจากศาลา แต่เหมือนมีกระจกใสมากั้นไว้ เขาไม่สามารถก้าวลงจากศาลาได้ 
ทิดเอกหัวเราะให้กับตัวเอง "นี่เอาเรามากักไว้นี่นา !"
ทางเดินจากศาลาที่ทอดยาวไปข้างหน้า มีใครสองคน กำลังเดินมาทางนี้
คนเดินนำหน้าเป็นชายหนุ่มในเครื่องทรงเทวดาเหมือนพระเอกคณะลิเก มีชฏาประดับเพชรสวยงาม คนที่เดินตามหลัง เป็นหญิงสวยสง่า และ เขารู้จัก เธอคือ......พระนางจันทิมา !
เวลาเพียงอึดใจเดียว ทั้งสองก็เดินมาถึงบริเวณศาลา
เทวดาที่เดินนำหยุดอยู่ที่หน้าศาลา แล้วผายมือให้พระนาง ฯ
"ท่านมีเวลาเพียงแค่ นับถอยหลังจากร้อย เชิญใช้เวลาของท่าน !"
พระนางจันทิมาในเครื่องแต่งกายเต็มยศเหมือนกษัตริย์หญิงในยุคโบราณ เดินก้าวเท้าขึ้นบนศาลา 
แอนดี้ทำท่าจะคุกเข่า เขาตั้งใจจะก้มลงกราบ
พระนาง ฯ ยกมือห้าม
"มิต้อง ! ท่านจงยืน !"
พระนาง ฯ กลับเป็นฝ่ายทรุดตัวลง นั่งลงกับพื้น แอนดี้รู้สึกตกใจ เทพผู้มีฤทธิ์ก้มหัวหมอบ แนบฝ่ามือลงกราบที่ปลายเท้าของเขา
เขาพยายามจะย่อเข่าเพื่อทรุดตัวลงตาม แต่เข่าของเขารู้สึกแข็งไปหมด จึงจำเป็นต้องยืนทื่อ ปล่อยให้พระนางกราบเท้า
เมื่อกราบเสร็จ พระนาง ฯ เงยหน้าขึ้น แอนดี้ประหลาดใจยิ่งขึ้น เมื่อเห็นน้ำตาของพระนาง
เทพผู้มีอำนาจเป็นที่เลื่องลือในเทวภพ ณ บัดนี้ มีสีหน้าเศร้าสร้อย เริ่มสนทนาทั้ง ๆ ที่ยังนั่งอยู่บนพื้นศาลา
"ขอโปรดท่านจงฟัง ! เวลามีจำกัด จงอย่าเจรจา !
เหตุผลที่พระอาจารย์ของท่าน ส่งพระโป่งผู้มากอภิญญามาช่วยการงานท่านในครั้งนี้ ด้วยในอดีต พระโป่งผู้นี้ คือ ฤาษีที่เป็นครูของ ผจัญบุตร และ จุลินทร์นาคราช เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาอันมากมายให้แก่ท่านทั้งสอง รวมถึง วิชาในการสื่อจิตบังคับสัตว์เดรัจฉาน
ถึงแม้ท่านทั้งสองจะเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน แต่ ก็เป็นคู่ปรับกันมาตลอด
ณ กาลปัจจุบัน พระโป่งเป็นนักบวชที่ละความอยากได้แล้วอย่างน้อยสองในสี่ส่วน ไม่เพ่งคิด ไม่เพ่งย้อนอดีต ไม่ว่าจะถูกชักนำด้วยสิ่งใด พระสงฆ์ท่านนี้ ไม่ระลึกถึงอดีตด้วยเจตนาจะลืมภพเก่า เพื่อเข้าสู่ทางแห่งพระขีณาสพ
ท่านเองก็เช่นกัน ท่านกำลังเดินรอยตามนักบวชอื่น ๆ ที่สนใจแต่ปัจจุบันขณะ ท่านไม่ระลึกถึงอดีต ท่านมิเคยระลึกได้ว่า เรามีความผูกพันกันมาอย่างไร แต่ปางใด การงานที่เราคอยรับใช้ท่าน เราได้กระทำจนสุดความสามารถ..."
น้ำตาพระนางไหลออกมาจากสองดวงตา
"...ณ บัดนี้ เราจำต้องขออำลาท่าน แต่ก่อนจะจากกัน เราขอแนะนำทางเลือกให้ท่าน เป็นครั้งสุดท้าย
หากท่านยังต้องการกลับไปทำพิธี ณ ที่นั้นให้สำเร็จ เพียงแต่ ท่านเจรจากับอดีตฤาษีที่เคยเป็นครูของท่าน เราหมายถึงพระโป่ง สงฆ์องค์นั้น ขอให้เขายอมที่จะระลึกไปในอดีต ภพที่ เรา คือ พระนางจันทิมา และ ตัวเขานั้น คือ พระดาบส และ ท่านคือ....."
"เวลาหมดแล้ว ! ท่านจำเป็นต้องไป !" เทวดาหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าศาลา พูดด้วยน้ำเสียงที่ขึงขัง
พระนางลุกขึ้นยืนทันที ยกมือปาดน้ำตา แล้วหันหลังเดินลงจากศาลา
ทันทีที่สองเท้าของพระนาง ฯ ยืนบนพื้น โซ่ตรวนทิพย์ที่ทำด้วยทองก็อุบัติขึ้น พันธนาการข้อมือ และ ข้อเท้าของพระนาง ฯ
เทวดาหนุ่มพยักหน้าให้กับพระนางผู้มากด้วยฤทธิ์ ซึ่งบัดนี้ถูกล่ามมือ และ เท้าไว้ด้วยพันธนาการทิพย์
พระนาง ฯ พยักหน้าตอบ
แล้วกายทิพย์ของทั้งสอง ก็หายไปจากที่แห่งนั้น
แอนดี้ยืนงงอยู่ในศาลาแห่งแดนยมโลก
พระนาง ฯ มาลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย พระนาง ฯ จะลาเขาไปไหน ?
เกิดอะไรขึ้นกับพระนางจันทิมาผู้ทรงฤทธิ์ ? ท่านถูกเทวดามาคุมตัวไปไหน ? ท่านทำสิ่งใดผิด ?
เขายังสามารถปฏิบัติภารกิจที่ค้างไว้ให้สำเร็จได้.... พระนาง ฯ บอกแบบนั้น แสดงว่า......เขายังไม่ตาย !
หากเขายังไม่ตาย แต่ถูกกักไว้ที่ตรงนี้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้ แค่จะเดินออกจาก.... เขาลองก้าวเท้า.....
... ไม่มีอะไรมาขวางกั้น !
สิงห์ต้าลู่เดินลงจากศาลาแก้วได้ เขามองหายมทูตทันที
เมื่อนึกถึง ยังไม่ทันช่วงเวลาลัดนิ้วมือ ยมทูตท่านเดิมก็ปรากฏตัวขึ้นข้างหน้า
"ท่านต้องการอะไร ?" ยมทูตเริ่มเจรจา
"ท่านจะต้องพาผมไปที่ไหนอีก ? ผมเป็นอิสระหรือยัง ?"
"ยัง !"
"ถ้าผมไปไหนไม่ได้ ผมก็ไปปฏิบัติภารกิจต่อไม่ได้ ท่านพาผมมาขังอยู่ที่นี่ทำไมครับ ?"
"อยากจะไปไหนล่ะ ?"
"ผมอยากไปคุยกับพระโป่ง"
ทูตแห่งเทวโลก ไม่โต้ตอบ กลับหายวับไปจากที่แห่งนั้น
แอนดี้นึกถึงสหายเทพขึ้นมาทันที เขาตะโกน
"ท่านลุง ! ท่านลุงได้ยินผมมั้ย ? ผมอยู่ที่นี่ ท่านมาหาผมได้มั้ย ?"
รอบข้างไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้น เขาเอ่ยนามชาวโลกทิพย์ที่เขารู้จักทีละชื่อ
"ท่านปู่สิทธาฤาษี ! ท่านสื่อกับผมได้มั้ย ? หลวงพ่อแห่งอุทัยธานี ! ท่านท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ลุงพุฒ พระแม่กวนอิม ท่านสหัมบดีพรหม ท่านปู่ชีวก ฯ ...."
"เอาให้หมดจักรวาลเลยมั้ย ทิดเอก ?" เสียงของพระโป่งดังขึ้น
กายทิพย์ของพระโป่งปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา แอนดี้ทักขึ้น
"หลวงพี่ ! ทำไมเพิ่งมาล่ะครับ ?"
"ใครจะไปรู้ว่าคุณหลบมาอยู่ที่นี่ !"
"อ้าว ! แล้วหลวงพี่รู้ได้ยังไง ? หรือ หลวงพี่ก็ถึงที่ซะแล้ว ? เราตายวันเดียวกันเลยนะนี่"
"อืม.... ไอ้นี่ ใช้ได้ ! ยังมีอารมณ์ขันได้เวลานี้"
"ก็ผมไปไหนไม่ได้ ! เครียดไปก็ทำอะไรไม่ได้ หลวงพี่มาหาผมได้ยังไง ?"
"พี่เบิ้มกางเกงแดงไปตามผมมา !"
แอนดี้ฟังแล้วก็หัวเราะหึ ๆ เขามั่นใจว่าพระโป่งกำลังหมายถึงยมทูตท่านนั้น
"ต้องขอบคุณพี่เบิ้ม หน้าตาโหด แต่ใจดี"
"ผมตามหาคุณไม่เจอ แปลกดี ! พรหมโลก เทวโลก ยมโลก นรก กำลังนึกสงสัยว่า คุณไปนิพพานหรือเปล่าเนี่ย ทำไมผมตามไม่พบ ? ถามเทวดาอารักษ์ไปทั่ว ไม่มีใครรู้ว่าคุณอยู่ไหน ถ้าไม่ใช่พี่เบิ้มพามา ผมคิดว่าคุณเสร็จกิจแล้วแน่ ๆ"
"หือ แปลก ! ที่นี่มันแดนอะไรกันแน่ ? ทำไมถึงอยู่นอกข่ายญาณของหลวงพี่ไปได้ ?"
แอนดี้ไม่เสียเวลาสงสัยให้นานไปกว่านี้ รีบเร่งรัดคุยเรื่องสำคัญก่อน
"ผมเข้าเรื่องเลยนะหลวงพี่ หลวงพี่รู้มั้ยว่าทำไมหลวงพ่อสอน ส่งหลวงพี่มาช่วยภารกิจของผม ?"
"ผมไม่ถามหรอก ! คำสั่งของหลวงพ่อสอน ผมไม่เคยมีข้อสงสัย ถ้าหลวงพ่อสั่งให้ตาย ผมก็ตายได้"
"สรุปสั้น ๆ คือ หลวงพี่ไม่รู้ !"
พระโป่งสั่นหัว
"คุณรู้ ?"
"พระนางจันทิมาบอกว่า เพราะอดีตหลวงพี่เป็นฤาษี มีผมเป็นศิษย์ แล้วก็คู่ปรับของผม ก็เป็นศิษย์หลวงพี่ด้วย จะนิมนต์หลวงพี่ช่วยระลึกย้อนไปในชาตินั้น ชาติที่หลวงพี่เป็นฤาษี แล้วพระนางจันทิมา คือ พระนางจันทิมา"
พระโป่งพยักหน้ารับคำทันที โดยไม่ถามเหตุผล
"ตกลง ! ขอเวลาผมนะ"
************************************************************************************

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นที่โต๊ะทำงานในห้องกระจก
ฉวีวรรณเดินไปหยิบโทรศัพท์ของสามีขึ้นมาอ่านหน้าจอ คุณเธนศเป็นผู้โทรเข้า !
เธอกดรับสายทันที
"คุณธเนศเหรอคะ ? คุณชูศักดิ์ไม่ได้พกมือถือค่ะ เดี๋ยววรรณจะตามให้นะคะ รอสักครู่ !"
"อ้อ ! ครับ ๆ !" เสียงปลายทางตอบมา
เธอรีบชะเง้อคอ มองหาสามี เปิดประตูกระจกออกมา ตะโกน
"แขก ๆ ! พี่ชูไปไหน ?"
ลูกน้องตัวดำหน้าแขก ชี้ไปที่ข้างหลังร้าน
"ขนของอยู่ข้างหลังครับ"
เธอชูโทรศัพท์ของสามีขึ้น
"แขกรีบมาเอานี่ วิ่งไปให้พี่ชูหน่อย บอกว่าโทรศัพท์จากสุราษฏร์"
แขกรีบวิ่งมารับโทรศํพท์มือถือ แล้ววิ่งตรงไปที่ลานจอดรถด้านหลัง
ชูศักดิ์กำลังเปิดประตูรถกระบะเพื่อเคลื่อนรถเข้าที่ ได้ยินเสียงลูกน้องตะโกนมาแต่ไกล
"พี่ชูครับ ! โทรศัพท์จากสุราษฎร์ !"
พ่อเจ้าเปี๊ยกได้ยิน ก็พยักหน้ารับรู้ ปิดประตูรถกลับ แล้วยื่นมือรอรับโทรศัพท์
ทันทีที่เจ้าแขกมาถึงตัว เขารับโทรศัพท์ขึ้นแนบหู
"สวัสดีครับ ชูศักดิ์ครับ !"
"สวัสดี ผมธเนศนะ !"
"อ้อ คุณธเนศ ขอโทษด้วยครับที่ให้รอสาย ผมวางโทรศัพท์ทิ้งไว้ในห้องทำงาน คุณธเนศมีอะไรเหรอครับ ?"
"เจ๊เหมี่ยว โทรมาหาผมเมื่อกี๊ เธอบอกว่า ที่สำนักอารยะเมตตาจิต ประกาศแล้วว่าได้เจอผู้นำเก่าแล้วว่า เป็นใคร"
"อ้าว ! จนได้สินะ !" เขาถอนหายใจยาว เป็นเรื่องที่เขาทำใจเผื่อไว้มาสักระยะหนึ่งแล้ว
"ครับ แล้วใครคือผู้นำเก่าคนนั้นล่ะครับ คงไม่ใช่เจ้าเปี๊ยก !"
"เด็กคนนี้ ชื่อ เพียร เป็นหลานของครูปั้น เจ้าของสำนักน่ะ !"
"อืม !"
ชูศักดิ์พยักหน้ารับฟัง แต่ไม่มีความเห็นใด ๆ เพียงแค่รู้ว่า ลูกชายของเขา ไม่ใช่คนที่สำนักนี้เลือก เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไม่ต้องสนใจรายละเอียด
"แต่เป็นใครก็ช่างเถอะครับ ผมก็โล่งอก เค้าเจอของเค้าแล้ว ผมก็จะได้ไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเค้าซะที"
"ตัดใจง่าย ๆ เลยเหรอครับ ? แล้ว เปี๊ยก เค้าจะยอมเหรอครับ ? ผมรู้ว่าเปี๊ยกนี่คือใครจริง ๆ ผมไม่คิดว่าท่านจะทิ้งอะไรง่าย ๆ"
"ง่ายไมง่าย มันก็ต้องทิ้ง เรื่องมันสรุปกันแบบนี้ไปแล้ว ถ้าไม่ยอมรับความจริง อยู่บนโลกนี้ยาก ผมต้องสอนลูกให้อยู่กับปัจจุบัน"
"สาธุ ! ดีแล้วครับคุณชูศักดิ์ ถ้าคุณสบายใจ ผมก็สบายใจ ถ้าเปี๊ยกตัดสินใจไม่ยุ่งกับอดีตแล้ว ผมก็คงเคารพการตัดสินใจของท่าน"
พ่อเจ้าเปี๊ยกอดหัวเราะหึ ๆ ไม่ได้ ที่มีคนเรียกสรรพนามลูกชายว่า 'ท่าน'
"ตัวผมเองตัดสินใจอะไร เมียยังไม่เคารพเลย ไอ้ลูกชายคนนี้ ตัวกะเปี๊ยกเดียว ต้องมีคนอื่นมาเคารพการตัดสินใจด้วย ฟังแล้วก็ขำ" เขาหัวเราะในลำคอ
"ขอบคุณคุณธเนศมากครับ อุตส่าห์โทรมาแจ้งให้ผมทราบ ไอ้ลูกผมมันทำให้หลายคนเดือดร้อน ผมล่ะเกรงใจคุณธเนศ กับ คุณวายุจริง ๆ สาระอะไรก็ไม่มี ทำคนอื่นวุ่นวายไปหมด"
"คุณชูศักดิ์พูดอย่างนั้นไม่ถูกหรอกครับ ! ผมกับน้องชายยินดีช่วย เพราะรูว่าเปี๊ยกคือท่านจริง ๆ"
สายตาของชูศักดิ์เหลือบมองไปเห็นภรรยายืนอยู่ที่หลังร้าน ชะเง้อคอมองมาทางเขา เธอคงอยากรู้ข่าววงในจากคุณธเนศเหมือนกัน เขาโบกมือให้ภรรยา เป็นสัญญาณว่า เดี๋ยวเขาจะเล่าให้ฟัง
*******************************************************************************

สามีภรรยาปิดประตูห้องทำงานคุยกัน ชูศักดิ์เล่าความทั้งหมดให้ภรรยาฟัง
"พี่เองนึกขอบคุณคุณธเนศกับคุณวายุมาตลอด ทั้งที่เจ้าเปี๊ยกในอดีต ขัดแย้งกับพี่น้องสองคน แต่ทั้งสองคนก็ยังเต็มใจช่วยเจ้าเปี๊ยกในตอนนี้"
ฉวีวรรณพยักหน้าเห็นด้วย
"นั่นสิ ! พี่น้องคู่นี้ ทะเลาะกับเจ้าเปี๊ยกในอดีตเรื่องอะไรล่ะ ?"
"ความเห็นไม่ตรงกัน แต่ไม่ใช่ว่าถึงขนาดทะเลาะกัน คุณธเนศเล่าว่า ความจริงท่านผู้นำของเค้าน่ะก็เป็นคนใจกว้าง มีจิตใจที่ต้องการช่วยเหลือคนอื่น งานบางงานก็ทำร่วมกัน แต่ความเห็นเรื่องแนวทางของการทำงานเค้าไปกันคนละทาง
สองพี่น้องนี้ก็แย้งในหลาย ๆ เรื่อง ก็แน่นอนว่า ใครจะอยากทำงานกับคนที่ขัดแย้งกับตัวเองไปเกือบทุกเรื่อง
ท่านผู้นำเป็นผู้อาวุโส ส่วนสองพี่น้องนี้ก็อ่อนกว่าผู้นำเป็นสิบปี เด็กอย่างนั้นไปงัดกับผู้อาวุโสบ่อย ๆ ก็คงทำให้ผู้อาวุโสไม่สบอารมณ์ ก็ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่สองฝ่ายไม่เคยมีเรื่องส่วนตัวกันเลย เจ้าเปี๊ยกในอดีตยังเคยช่วยธุรกิจของสองพี่น้อง สมัยก่อนครอบครัวของสองพี่น้องนี้ทำโรงพิมพ์ พอท่านผู้นำรู้ ก็ช่วยอุดหนุนสั่งพิมพ์หนังสือ แจกคน สั่งพิมพ์งานของท่านเยอะแยะ"
ภรรยาเริ่มเข้าใจ
"อืม ! ก็คงถือว่าเป็นคนที่เคยรู้จัก เคยดีต่อกันเนอะ !
แต่ จริง ๆ เรื่องก็ผ่านไปแล้วเป็นสิบ ๆ ปี สองพี่น้องนี้ ไม่จำเป็นต้องช่วยเจ้าเปี๊ยกก็ได้ ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้าเปี๊ยกเป็นผู้นำกลับชาติมาเกิด เพราะทั้งสองคน ก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับที่นั่นมาตั้งนานแล้ว"
ชูศักดิ์ตอบคำถาม
"สองพี่น้องนี้ เค้ามีแรงจูงใจ ที่เค้าตกลงกันว่าจะช่วย เพราะ เจ้าเปี๊ยกในปัจจุบัน ไปย้ำกับเค้าสองคนว่า เค้าไม่ไว้ใจคนชื่อวิชา แต่กลับไว้ใจสองพี่น้องนี้ไง ซึ่งมันต่างจากความสัมพันธ์ในอดีต
พี่น้องคู่นี้ไม่ไว้ใจคนชื่อวิชาตั้งแต่แรก ๆ เหมือนกับเค้าไม่ได้จริงใจกับที่นั่น แต่ท่านผู้นำกลับไปสนิทด้วย"
"คนชื่อวิชานี่นิสัยไม่ดีเหรอพี่ชู ?"
"คุณธเนศเคยเล่าให้ฟังว่า คนชื่อวิชามีพฤติกรรมหลายอย่างที่ทำให้พวกเค้าคิดว่า เค้าพยายามตีสนิทกับผู้นำ ตีสนิทกับเจ้าสำนัก เพื่อหวังอะไรบางอย่างที่เค้าไม่รู้ ดูมีพิรุธ แต่ผู้นำกลับสนิทสนม
เรื่องมันซับซ้อนน่ะ แต่สิ่งที่เจ้าเปี๊ยกจะทำในอดีต มันไม่น่าเกิดมาเป็นคนเลยว่ะ !"
ฉวีวรรณทำตาโต อุทานเสียงดัง
"เอิ๊ว ! มันไปทำอะไรพิสดาร พี่ถึงต้องพูดขนาดนั้น ?"
"มันเกลียดพระ มันอยากจะเปลี่ยนสังคมให้นับถือศาสนาที่พวกเค้าคิดเอง โดยใช้กลไกทางการเมือง แล้วคนชื่อวิชาคนนี้อาสาขอเป็นผู้ช่วย เพราะว่าเค้าทำงานมาในสายพวกการเมืองอยู่แล้ว
จุดนี้เป็นจุดแตกหักที่พี่น้องสองคนไม่เอาด้วย เพราะสิ่งที่ผู้นำคิด สองพี่น้องกลัวว่ามันจะเกิดสังฆเภทขึ้น ตกนรกหมกไหม้แน่ ๆ"
"สังฆเภท คือ อะไร พี่ชู ?" 
"สังฆเภท คือ การทำให้หมู่สงฆ์แตกแยก ทะเลาะกันเอง"
"สายเลือดเทวทัตสิยังงี้"
"อือ นั่นดิ ! ฟังแล้วมันชั่วแน่ ๆ แต่พี่เองก็ย้ำถามหลายครั้งว่า ไอ้สำนักนี่มันต้องเป็นลัทธิวิปริตแน่ ๆ
คุณธเนศบอกว่า ไม่ใช่ แกบอกว่ามันมีพื้นฐานหลายอย่างที่มีเหตุมีผล ปฏิบัติแล้วก็เห็นผล หลายอย่างมันเป็นสิ่งที่ดี เจ๊เหมี่ยวธัชญากร ก็ยืนยันว่า ที่เข้าร่วมไปอุปถัมภ์ที่นั่น ก็เพราะ ปฏิบัติหลายอย่างแล้วก็ได้ผลดี ที่นั่นไม่ได้ถึงขนาดหลอกลวงคน"
"ไอ้ความคิดที่จะเปลี่ยนศาสนาอะไรเนี่ย มาจากเจ้าเปี๊ยกชาติก่อนเป็นคนคิดเหรอ ?"
"มาจากเจ้าของสำนัก คนที่สื่อกับพระศรีอารย์นั่นแหละ ความคิดนี้ก็ปลูกฝังจากพระศรี ฯ มาที่ท่านผู้นำเปี๊ยก ไอ้เปี๊ยกตายจากไป เจ้าของสำนักก็ยังอยู่ ความคิดนี้ยังอยู่
เจ๊เหมี่ยวเป็นคนเล่าเรื่องปะติดปะต่อให้คุณธเนศเข้าใจ สำนักนี้ขาดแต่เงินสนับสนุนเท่านั้น ถึงต้องวิ่งหาสาวกที่มีเงินช่วยอุปถัมภ์
ถ้าสำนักนี้ได้ผู้นำใหม่ที่อยู่ในความควบคุม แล้วนำเงินสะสมออกมาใช้ได้ คนชื่อวิชาก็จะมีทุนไปให้นักการเมือง เข้าไปเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ ซึ่งมันจะเกิดการแตกแยกในหมู่ชาวพุทธ และ วงการสงฆ์แน่ ๆ
แต่ ที่สองพี่น้องนี้อยากจะช่วยให้เปี๊ยกกลับเข้าไป เพราะ เค้าคิดว่า ถ้าผู้นำใหม่ คือ เปี๊ยก ที่ไม่เชื่อใจในวิชา แล้วกลับมาเชื่อใจเค้าสองคน แล้วมีเจ๊เหมี่ยวสนับสนุนด้วย แล้วเปี๊ยกไปเปลี่ยนวิธีคิดของที่นั่นได้
เงินสะสมที่จะเอามาใช้ มันคงเป็นประโยชน์ต่อสังคม พวกเค้าก็มีส่วนช่วยรักษาพระศาสนาไว้ได้"
ฉวีวรรณพยักหน้าเข้าใจ เมื่อคิดตาม เธอถอนหายใจเบา ๆ
"แต่ถ้าเจ้าเปี๊ยกกลับเข้าไป แล้วทำตามที่สองพี่น้องหวังไว้ มันก็ไปขัดกับเจ้าสำนักนั่นอีกสิพี่ชู ท่าทางที่นั่นจะไม่ธรรมดา มีเซฟเฮ้าส์ด้วย เอาใครไปหมกป่าแถวนั้นไม่มีใครรู้แน่"
ชูศักดิ์มองหน้าภรรยา แล้วหัวเราะหึ ๆ
"เป็นไงล่ะ ? คราวนี้วรรณเองคงไม่อยากให้ลูกเราเข้าไปยุ่งกับพวกเค้าแล้วสินะ พี่น่ะพูดทีไร ก็ทะเลาะกันเองทุกที อยากอยู่นั่นแหละ ให้ลูกเราไปยุ่งเกี่ยวกับอดีต เค้าจับหมกทั้งโคตรได้เลยนะ พ่อแม่ก็หมกไปด้วย"
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของชูศักดิ์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น เขาหยิบขึ้นดูชื่อผู้โทรเข้า แล้วขมวดคิ้ว
"อนุชิต !" เขามองหน้าภรรยา
"ที่เคยเป็นตำรวจ พาเราไปเซฟเฮ้าส์ !"
ชูศักดิ์พยักหน้า ปล่อยเสียงเรียกเข้าให้ดังไปก่อน
"ใช่ ๆ ! โทรมาวันเดียวกันกับคุณธเนศเลย ต้องเป็นเรื่องเดียวกันแน่ ๆ"
"พี่ก็รับสายสิ !"
เขากดรับสาย
"สวัสดีครับ คุณชูศักดิ์ ผมอนุชิตครับ จำผมได้มั้ยครับ ?"
"จำได้ครับ ! คุณอนุชิต เป็นไงครับ สบายดีหรือเปล่า ?"
"สบายดีครับ ! ขอบคุณครับ คุณชูศักดิ์ว่างพอคุยได้ ?"
"ได้ครับ คุยได้ !"
"คือยังงี้ครับ ถ้าผมกับคุณวิชา จะขอพบกับลูกคุณชูศักดิ์หน่อยได้มั้ยครับ ? คราวนี้ผมกับคุณวิชาเป็นฝ่ายลงไปหาที่ภูเก็ตเลย"
ชูศักดิ์ตั้งใจทวนคำพูดให้ภรรยาได้ยิน
"คุณอนุชิตกับคุณวิชา อยากจะมาหาไอ้เปี๊ยกที่นี่ เกิดอะไรขึ้นครับ ?"
ภรรยาทำตาโต พูดไม่มีเสียงให้สามีอ่านปาก
"วิชา คนที่ไว้ใจไม่ได้ ?"
ชูศักดิ์พยักหน้าให้คำตอบกับภรรยา
อนุชิตตอบคำถาม
"คือ ครั้งที่แล้วที่พาท่าน เอ่อ ผมหมายถึง พาเปี๊ยก กับ คุณสมชายไปที่ปักธงชัยเแล้วคุณวิชาไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้คุณวิชาสนใจแล้วครับ
รบกวนคุณชูศักดิ์ช่วยบอกคุณเปี๊ยกด้วยว่า คุณวิชาอยากจะช่วยแล้วครับ"
"หือ ! คุณวิชาอยากจะช่วย !" เขาถลึงตา แล้วมองหน้าภรรยา
ฉวีวรรณได้ยินชัดเจน ยกมือขึ้นทาบอก สั่นหัวซ้ำ ๆ เอื้อมมือมาเขี่ยตักสามี
"พี่ ๆ อย่าให้เค้ามานะ !" เธอพูดแทบจะไม่ออกเสียง
ชูศักดิ์กระพริบตาให้ภรรยา เป็นสัญญาณว่า เงียบ ๆ ก่อน พี่จัดการเอง
"ครับ ผมกับคุณวิชาจะไปเล่าอะไรให้ฟัง แล้วดูว่า เราสามามารถทำอะไรร่วมกันได้ ถ้า....นะครับ ถ้าคุณเปี๊ยกยังไว้ใจผม"
"ผมเองก็ต้องขอคุยกับภรรยาดูก่อนครับ แล้วคงต้องเล่าให้คุณเปี๊ยกที่เคารพฟังก่อน ผมติดต่อคุณอนุชิตได้ที่เบอร์นี้ใช่มั้ยครับ ?"
"ได้ ๆ ครับ ! เชิญคุณชูศักดิ์คุยกันก่อน แต่ถ้ารีบก็จะดีนะครับ สถานการณ์ในช่วงนี้ ถ้าช้า จะเสียเปรียบ บอกคุณเปี๊ยกด้วยว่า ผมไม่เคยลืมท่าน"
"ได้ครับ ! ขอบคุณครับที่โทรมา"
ทันทีที่ชูศักดิ์กดตัดสาย เขาพูดกับภรรยาด้วยเสียงที่ดัง
"ได้เวลาเปลี่ยนเบอร์มือถือแล้ว เบอร์นี้ ยกเลิกเปลี่ยนใหม่ อ้อ ! เบอร์ที่ร้านด้วย เปลี่ยนใหม่หมด ไม่ให้พวกมันรู้"
ฉวีวรรณทำตาเหลือก
"เกิดอะไรขึ้น ? เราจะต้องหนีใครเหรอ ?"
ชูศักด์ชูโทรศัพท์มือถือขึ้น
"ก็นี่ไง ! วรรณมองไม่ออกเหรอ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น ?
พี่น่ะ อ่านเกมส์แค่นี้ ง่าย ๆ เรารู้เค้า แต่เค้าไม่รู้เรา เค้าไม่รู้ว่าเรารู้แล้วว่า ที่โน่นได้ผู้นำใหม่ไปแล้ว เค้าจะเก็บเราไว้เป็นหอกข้างแคร่เหรอ ? เค้าเก็บเราทิ้งแน่ ๆ เพราะ เค้ากลัวเราจับคู่กับคุณสมชาย แล้วไปแย่งตำแหน่งผู้นำคืนมา"
"นี่ นี่... หมายความว่า ที่เค้าจะมาหาเราที่นี่ เพื่อหลอกเอาเราไปเก็บเหรอ ?"
"มันจะมีอะไรอย่างอื่นอีกล่ะ ?"
"พี่นี่คิดน้อยไปหรือเปล่า ? พี่จะไปเปลี่ยนเบอร์มือถือทำไม ? ก็ไอ้ครั้งที่แล้วที่ตำรวจชื่ออนุชิตมารู้จักเราน่ะ เค้าพกปืนเดินเข้ามาหาเราในร้านเลย ไม่ต้องโทรมาก็ได้ พี่ลืมไปแล้วเหรอ ?"
ชูศักดิ์เบิกตาโต
"ชิบหาย ! ใช่ ๆๆๆ ! เค้ารู้จักร้านเรานี่หว่า ! มันมากราดยิงหน้าร้าน ตายหมดแน่"
ฉวีวรรณเกาหัว
"มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ ! พี่นั่งลงก่อน ช่วย ๆ กันคิด นี่เราจะต้องตายกันยกครัวด้วยเรื่องนี้เหรอ ? มันอาจจะไม่ได้ขนาดนั้นหรือเปล่าพี่ชู ?"
พ่อท่านเปี๊ยกค่อย ๆ นั่งลง กระพริบตาปริบ ๆ แล้วคิดทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ
ฉวีวรรณพยักหน้า
"ไป ! ไปหาหลวงปู่โก๊ะเถอะ !"
สามีถอนหายใจ สั่นหัวช้า ๆ
"ไม่ได้หรอก ! เราต้องแก้ปัญหากันเองบ้าง มีอะไรไปรบกวนพระตลอด นำความวุ่นวายไปเข้าวัด"
ฉวีวรรณพยักหน้า
"อืม ! งั้นค่อย ๆ คิด วรรณออกไปแบ๊งค์ก่อน เดี๋ยวเอาเงินเข้าไม่ทัน"
เธอลุกขึ้น ถือกระเป๋าเดินตรงไปที่ประตู ชูศักดิ์พยักหน้าให้ภรรยา
"รีบ ๆ กลับมานะ เดี๋ยววรรณไม่อยู่ ไอ้พวกนั้นมายิงพี่ตาย อดสั่งเสียกันพอดี"
ภรรยาขมวดคิ้ว ทำจมูกหึ่ง
"ก็ถ้าเป็นงั้น ชั้นก็หาผัวใหม่กลับมาด้วยเลยแล้วกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว" เธอเปิดประตูกระจก เดินออกไป
ชูศักดิ์หัวเราะลั่นห้อง
**********************************************333********----***************************
1, 2 < อ่านหน้า > 4
สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่
กลับขึ้นด้านบน อ่านตอนอื่น
|