ตอน 40 หน้า 1

วันล้างแอร์ (3)

 

 

"สมาร์ท แอนด์ บิวตี้ ค่ะ ?"

"ขอสายคุณพิมค่ะ บอกว่าครูยาใจโทรมาจากโรงเรียนอำไร มีเรื่องด่วนเกี่ยวกับภัทรา โทรเข้ามือถือแล้วไม่เปิดสาย"

น้ำเสียงอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนพูดด้วยความร้อนรน

"อ๋อ คุณพิมอยู่ในห้องประชุมค่ะ  เดี๋ยวจะรีบตามให้นะคะ รอสายซักครู่นะคะ"

เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ ต่อโทรศัพท์เข้าที่ห้องประชุม

สักพักสายที่ถูกพัก ก็มีเสียงพิม

"สวัสดีค่ะ อาจารย์ยาใจ แพทตี้มีเรื่องอะไรเหรอคะ ?"

"คุณพิม ภัทราไม่สบาย คลื่นไส้เวียนหัว แล้วก็เพ้อ บอกว่าเหมือนมีคนมาบีบคอ"

"หา ! แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนคะ ?"

"ยังอยู่ที่ห้องพยาบาลของโรงเรียน  ครูว่าจะให้คนพาส่งโรงพยาบาล แต่ภัทราไม่ยอม ขอให้ครูโทรหาคุณพิม"

"แพทตี้ไม่ยอมไปโรงพยาบาลด้วย ! งั้น ขอพิมคุยกับลูกหน่อยค่ะ !"

ครูยาใจยื่นโทรศัพท์ให้ลูกสาว

"แม่ !"

"แพทตี้ ลูกเป็นอะไร ?"

"หนูไม่เป็นอะไร  พาหนูไปหาครูแอนดี้ !"

"หนูไม่สบาย หนูต้องไปโรงพยาบาลก่อน  หนูมีอาการยังไงตอนนี้ ?"

"ไม่อะ ! หนูไปโรงพยาบาลไม่ได้ ! แม่มารับหนู  หนูจะไปหาครูแอนดี้"

"ลูกจะไปพึ่งครูแอนดี้ทุกครั้งที่ป่วยไม่ได้  ครูแอนดี้ไม่ใช่หมอ !"

"ก็หนูไม่ได้ป่วย !  แม่มารับหนูนะ พาหนูไปหาครูแอนดี้ นะ แม่ ! หนูขอร้อง !"

เสียงที่หนักแน่นของลูกสาว ทำให้เธอตัดสินใจรับปาก

"โอเค ! ได้ !  งั้นหนูรอที่ห้องพยาบาล  แม่ขอคุยกับอาจารย์ยาใจหน่อย"

"ค่ะ ! คุณพิม" ครูยาใจกลับมารับสายต่อ

"อาจารย์คะ ให้ภัทรารออยู่ที่ห้องพยาบาลแหละค่ะ ไม่ต้องส่งไปโรงพยาบาล  เดี๋ยวพิมจะไปรับที่โรงเรียน  ตอนนี้ภัทราไม่มีไข้ใช่มั้ยคะ ?"

"จ้ะ ! ตอนนี้ไม่มี !"

"ค่ะ ! งั้นรบกวนอาจารย์นะคะ  ขอบคุณอาจารย์ยาใจมาก ๆ ที่โทรบอกพิม"

ธุรกิจร้อยล้านก็เทียบไม่ได้กับชีวิตของลูกสาว  พิมสั่งยกเลิกการประชุม  กลับเข้าไปที่ห้องทำงานจดบันทึกสั่งงาน แล้วถือกระเป๋าเดินออกจากออฟฟิศ

ไม่ใช่แต่ตัวลูกสาวเท่านั้นที่ไว้ใจในตัวครูแอนดี้ ตัวเธอเองก็มั่นใจ และ ไว้ใจผู้ชายคนนี้มากกว่าหมอที่โรงพยาบาล

อาหารเสริมที่ครูแอนดี้แนะนำให้ใช้บำบัดอาการออทิสติคของปันปัน ก็เห็นผลในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

**************************************************************************************

ฐิติชญายังนั่งอยู่ที่ม้าหินตัวเดิม  สมองกำลังคิดทบทวนภารกิจที่จะต้องปฏิบัติเพื่อ ให้โธมัส ได้อุปกรณ์ของเอ็นแอลที กลับคืนจากกองทัพไทย

ไม่ว่าจะทบทวนอย่างไร เธอก็ยังมั่นใจว่า เธอได้แนะนำสิ่งที่ถูกต้องแก่พิจิตร  แต่ มันก็ไม่ผิด ที่พิจิตรมีวิจารณญาณส่วนตัวที่เชี่ยวชาญกว่าเธอ เพราะความอาวุโสในวัยวุฒิ และ ประสบการณ์การทำงาน

พี่ไก่ เปิดประตูมุ้งลวดออกมา มีกระเป๋าหลุยส์ วิตตองสีครีมคล้องอยู่ที่ข้อมือ  พี่สาวไฮโซของพิจิตรกดรีโมทเพื่อปลดล็อกประตูรถเบ๊นซ์  เธอมองมายังแฟนของน้องชายที่ยังนั่งครุ่นคิดอยู่ที่เก้าอี้หน้าบ้าน

"ว่าไงน้อง ? น้องคุยกับพิจิตรแล้วใช่มั้ย ?"

ทอมพยักหน้า

"แล้วยังต้องเอาอะไรในบ้านอีกมั้ย ?"

ทอมสั่นหัว

"ไม่ต้องแล้วค่ะ !"

"น้องชื่ออะไร ?"

"ชื่อญาค่ะ !"

พี่สาวพิจิตรเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นหู

"ญา !  น้อง ใช่เป็นแฟนพิจิตรหรือเปล่า ?"

ทอมพยักหน้ารับ

พี่ไก่ตั้งหลักใหม่ เดินตรงมาที่เก้าอี้ที่ทอมนั่งอยู่

"เธอนี่เอง ที่คนทั้งบ้านพูดถึง  แหม ! โชคดี วันนี้พี่ได้เจอตัวจริงซะที"

ทอมหัวเราะ

"เหรอคะ ? พูดถึงญากันทั้งบ้านเลย  ญายังไม่ได้มีโอกาสรู้จักคนอื่นเลยค่ะ"

พี่ไก่พยักหน้าหงึก ๆ

"เดี๋ยวก็มี เดี๋ยวก็มี !  บีกับม๊า สองคนคุยกันว่าได้เจอญาแล้ว  คุยให้เฮีย กับ พี่ไก่ฟัง  พี่ไก่ก็ได้ยินจากที่สองคนเล่าน่ะแหละ  ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวจริงวันนี้"

"เล่าเรื่องดี หรือ ไม่ดีคะ" ทอมพูดไปหัวเราะไป

"ดี ๆ ! เรื่องดีสิจ๊ะ ! พิจิตรมีแฟนซะที มันจะได้มีสติเหมือนคนปกติกะเค้าซะบ้าง  ช่วย ๆ เค้าหน่อยนะ ! อย่างน้อยในโลกนี้ ก็มีคนที่พูดกับเค้ารู้เรื่องเพิ่มอีกคนนึง"

ทอมเริ่มขมวดคิ้ว

"พี่จิตรเป็นคนที่ พูดกับคนในบ้านไม่รู้เรื่องเหรอคะ ?"  เธอถาม แล้วนึกได้ว่า ท่าทางพี่สาวพิจิตร กำลังจะมีธุระต้องกลับออกไป "พี่ไก่ จะรีบกลับแล้วใช่มั้ยคะ ?"

พี่ไก่รีบโบกมือปฏิเสธ

"ไม่เป็นไร ! ต้องรอบีอาบน้ำเสร็จติดรถออกไป พี่ยังคุยได้อีกนิดหน่อย"  

แล้วเธอก็ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ม้าหินอีกตัวข้าง ๆ วางหลุยส์ วิตตองไว้บนโต๊ะ

"เธอมาถามพี่แบบนี้  พี่พูดมาก เดี๋ยวก็ทำให้คนเค้าเลิกกัน  แต่เธอเป็นแฟนเค้า แสดงว่าเธอรับนิสัยเค้าได้  นั่นก็ดีแล้วล่ะ !  เค้าอาจจะฟังเธอมากกว่าฟังพี่ชาย พี่สาว   ก็ฝากเธอช่วยดูแลเค้าหน่อย"

"เรื่องอะไรเหรอคะ ?"

"ก็เตือนเค้าให้มีสติเหมือนกับคนปกติ  เวลาพิจิตรอยู่กับน้อง อาการเป็นไง ?"

ทอมหัวเราะหึ ๆ พี่สาวถามเหมือนกับว่าน้องชายตัวเองเป็นคนป่วย

"ก็ปกตินี่คะ ! ดูเท่ดี" เธอพูดแล้วก็หัวเราะกับคำพูดตัวเอง

พี่ไก่พยักหน้า

"ใช่ ๆ ! เสน่ห์เยอะนะ สุภาพ ใจดี เสียสละ สาว ๆ กรี๊ดกันสลบ"

คำพูดตรงใจของทอม  คงไม่มีสาวคนไหนปฏิเสธผู้ชายที่มีความเป็นสุภาพบุรุษ

"พี่จิตรมีสาวชอบเยอะเหรอคะ ?"

พี่สาวพยักหน้าทันที

"เยอะ ! เพื่อนบี ก็ชอบพิจิตรทั้งนั้น เค้าดูขรึม มีมาด ไม่พูดมาก แล้วก็มีจิตอาสา ชอบเสือกไปช่วยชาวบ้าน"

ทอมหัวเราะประโยคสุดท้าย

"พี่จิตรชอบช่วยเหลือคนอื่น"

"เออนั่นแหละ ! พี่ถึงว่ามันเป็นโรคจิต"

"โรคจิตยังไงคะ ? ช่วยคนอื่นนี่ น่าจะเป็นเรื่องดีนะคะ เป็นประโยชน์ต่อสังคม"

พี่ไก่สั่นหัวช้า ๆ

"ก่อนจะช่วยสังคม เอาตัวเองให้รอดก่อน ญาติพี่น้องตัวเอง ยังพูดกันไม่รู้เรื่อง สะเหร่อไปช่วยสังคม ทุเรศ พูดแล้วชักมีอารมณ์"  คำพูดฟังแล้วแรง แต่สีหน้าของพี่ไก่ยังมีรอยยิ้ม

ทอมไม่สงสัยเลยว่า ทำไมพิจิตรถึงไม่ชอบพี่สาว คำพูดพวกนี้ฟังแล้วไม่ได้สร้างสรรค์เลย ทัศนคติแบบนี้ ไม่ตรงกับนิสัยพิจิตรแน่ ๆ  และ ก็ไม่ตรงกับนิสัยของเธอด้วย

"...แต่ก็ดีนะ อย่างน้อยก็มีน้องคนนึงที่เค้าพูดรู้เรื่องด้วย  น้องเข้าใจเค้าใช่มั้ย ?"

ทอมพยักหน้า

"เข้าใจค่ะ ! พี่จิตรเป็นคนที่เสียสละเรื่องส่วนตน ให้กับเรื่องส่วนรวม"

พี่ไก่ยกนิ้วชี้ขึ้นส่าย ปฏิเสธทันที

"มันเป็นส่วนผิวเผินหรอก คนแบบนี้ !  นิสัยที่แท้จริง คือ เอาแต่ใจตัวเอง  ถ้าชั้นคิดว่าอะไรถูกต้อง ใครคิดเป็นอื่น ถือว่าผิดหมด  ชั้นเท่านั้นที่ถูกที่สุด  เก่งในเรื่องจับผิดชาวบ้าน ซับซ้อนนัก ความคิดไม่ธรรมดา  ไปยุ่งเรื่องชาวบ้านชาวเมือง ตัวเองมีหน้าที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์ ไปเที่ยววิจารณ์ชาวบ้าน"

"พี่จิตรบกพร่องในหน้าที่เรื่องไหนเหรอคะ พี่ไก่ ?"

"เป็นน้องที่ดีไง เป็นลูกที่ดี  มันต้องทำให้พี่สาว พี่ชายของมันไว้ใจมัน รักมันให้ได้ซะก่อน ก่อนที่จะอาสาไปช่วยสังคม"

ที่แท้พี่สาวคนนี้ ก็วกเข้าเรื่องความบาดหมางส่วนตัว  ทอมคิดว่าพี่ไก่มีอคติกับน้องชายเกินเหตุไปมาก

เธอเริ่มมีความรู้สึก ไม่อยากฟังความคิดเห็นที่ไร้สาระจากพี่สาวพิจิตรอีกต่อไป  จึงแค่พยักหน้าตาม โดยไม่ถามคำถาม

พี่ไก่เห็นแฟนน้องชายรับฟัง ก็ระบายความในใจต่อ

"บ้านนี้เป็นบ้านของพี่ชายคนโต  พิจิตรเป็นแค่ผู้อยู่อาศัย  พี่ชายทำงานหาเงินส่งให้มันเรียนจนจบ แต่ดูท่าทางมันจะไม่รู้สำนึก  ทำตัวหยิ่งยโส ค่อนขอดเค้า ถามจริง ๆ ว่า ถ้ามันไม่ได้เค้าส่งเสียให้เรียน มันจะมีปัญญาเรียนสูงขนาดนี้ได้ยังไง ? 

เรียนจบแล้วพี่ชายก็หวังให้ทำงานให้มั่นคง  มันก็เลือกแต่งานที่สะใจ  ไม่งั้นทำไมไม่ไปช่วยงานพี่ชาย  เพราะมันอยากได้งานที่ชื่อว่า ช่วยเหลือสังคม  เท่จะตายห่า กินเข้าไปได้มั้ย ?..."

ทอมทำจมูกหึ่ง คำพูดของพี่สาวระคายหูเธอพอสมควร

"... อยากจับขโมย ทำไมไม่ไปสมัครเป็นตำรวจ  อยากบริหารประเทศ โน่น ไปลงสมัครรับเลือกตั้ง  ไม่ใช่มานั่งด่านักการเมือง รัฐบาลไหนมึงก็ไม่พอใจ ฝ่ายค้าน มึงก็ไม่พอใจ แล้วเก็บกด  ทำไมไม่ย้ายไปอยู่ประเทศอื่นวะ ?

ป๊าก็เคยบอกตั้งแต่เด็กแล้ว ไอ้นี่เลือดพิสดาร กรุ๊ปนอกคอก ไม่เหมือนชาวบ้าน  ทน ๆ มันหน่อย"

ทอมขมวดคิ้ว แล้วหัวเราะ

"จริงเหรอคะ ? เลือดพิสดาร"

"อ้าว ! น้องไม่รู้เหรอ ? พิจิตรมันมีกรุ๊ปเลือดหายาก เอบีเนกาทีฟ  มันเลยบ้าไม่เหมือนชาวบ้าน"

"หือ ? เอบีเนกาทีฟ ?  เอ๊ะ ! ไม่น่าจะใช่นะคะ !"

พี่ไก่มองหน้าแฟนน้องชาย

"ไม่ใช่ได้ยังไง ? พี่เป็นพี่สาวเค้า รู้มาตั้งแต่มันเกิดแล้วว่า เลือดมันกรุ๊ปพิเศษ หมอบอกว่าต้องระวัง อย่าให้เสียเลือด  ถ้าเกิดอุบัติเหตุเนี่ย รับเลือดจากคนทั่วไปไม่ได้"

คิ้วของทอมเขม็งแทบจะชนกัน

"เอบีเนกาทีฟ !" เธอรำพึงเบา ๆ "ไม่น่าเป็นไปได้ !"

"มันเป็นไปแล้ว ! พิจิตรเค้าไม่เคยเล่าให้น้องฟังเหรอ เรื่องกรุ๊ปเลือดเนี่ย ?"

ทอมสั่นหัว

"ไม่เคยค่ะ ! แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ พี่จิตรจะมีเลือดกรุ๊ปนี้  เพราะ บริษัทที่หนูทำงานอยู่ เค้าไม่รับคนที่มีเลือดกรุ๊ปนี้ไปทำงานที่เยอรมัน"

คราวนี้ เป็นพี่ไก่ที่เลิกคิ้ว

"อ้าว ! เอาจริงสิ ! ทำงานอะไร ทำไมต้องมากีดกันกันด้วยเรื่องกรุ๊ปเลือดด้วย ?"

"งานเกี่ยวกับความมั่นคง ข้อมูลทางทหาร  กรณีอุบัติเหตุเกิดขึ้นที่ประเทศเยอรมัน เค้าจะหาเลือดกรุ๊ปนี้มาให้ไม่ทัน แล้วอาจจะเสียชีวิตได้  เลือดกรุ๊ปที่มีน้อย จะกันให้เฉพาะเจ้าหน้าที่สถานทูตของประเทศอื่น ๆ ก่อน  รองมาก็คนสัญชาติเยอรมัน

ตำแหน่งพี่จิตรต้องถูกตรวจเลือดก่อนรับเข้าทำงาน เค้าไม่รับคนที่สุขภาพไม่สมบูรณ์ หรือ มีโรคติดต่อ หรือ พิการทางสายตา หรือมีกรุ๊ปเลือดหายาก พวกนี้เค้ารับเข้าทำงานไม่ได้ค่ะ

เป็นไปไม่ได้ที่ผลตรวจออกมาผิดพลาด สองโรงพยาบาล ตรวจไม่เหมือนกัน  ไม่น่าจะใช่"

"เอ๋...! แล้วพิจิตรเข้าไปทำงานได้ยังไง ?"

"นั่นน่ะสิ ! มันผิดกฎของเอ็นแอลที"

พี่สาวพิจิตรพยักหน้าช้า ๆ  เธอใช้ความคิดไม่นาน ก็พอจะนึกออก

"นั่นไง นั่น ๆๆ ! ทหารที่เนินพระศรี ฯ น่ะ  พลเอกอะไรนะ เค้าฝากเข้าไป  เออใช่ละ พี่ไก่นึกออกละ"

ทอมอ้าปากเหวอ

"หา ! มีคนฝากเข้าไปได้ด้วยเหรอ ? ไม่น่าจะใช่  คุณสมบัติอย่างพี่จิตรไม่น่าจะต้องฝากเข้าไป ถ้าพี่จิตรเดินไปสมัคร ยังไงก็ผ่านการสัมภาษณ์  แต่ยกเว้นเรื่องเลือดนี่"

"ก็เรื่องเลือดนี่ไง !  จำได้ว่าพิจิตรเล่าว่า พอเป็นคนของทหารคนนี้ฝากเข้าไป  เค้าก็ไม่ต้องตรวจเลือด"

ทอมสั่นหัวทันที

"ไม่ใช่แน่ ๆ ค่ะ ! องค์กรของเยอรมันทำงานมีมาตรฐาน ไม่เหมือนบริษัทไทย ที่ชอบฝากคนเข้าทำงานกันได้ง่าย ๆ  เอ็นแอลทีมีขั้นตอนเข้มงวดมาก ยิ่งเกี่ยวกับเรื่องความลับทางการทหาร  การฝากงานกันง่าย ๆ มันเป็นไปไม่ได้"

พี่ไก่เอียงคอ

"อือ งั้นพี่ไก่ก็ไม่รู้แล้วล่ะ แต่คุ้น ๆ ว่าพี่จิตรเล่าให้อาม๊าฟังประมาณนี้แหละ  เพราะทหารคนนี้ บ้านเราก็รู้จัก"

"ทหารคนนี้เป็นใครเหรอคะ ?"

"เค้าเป็นศิษย์ของสำนักที่เนินพระศรี น้องเคยไปมั้ย ?  สำนักที่พิจิตรเค้าไปเป็นสาวกน่ะ"

ทอมพยักหน้า

"ค่ะ รู้จักค่ะ !  แต่ยังไม่เคยเจอทหารซักคน"

"พลเอกคนนี้ ก็เป็นศิษย์ของสำนักนี้  อายุประมาณหกสิบแล้วมั้ง  พิจิตรไปรู้จักกับเค้าที่เนินพระศรี  แล้วดูเหมือนว่าทหารคนนี้ทำงานให้พระศรี ฯ แล้วต้องการคนช่วย  เค้าก็ดึงให้พิจิตรไปช่วย"

พี่ไก่พูดแล้วก็นึกได้ว่า คำว่า 'พระศรี ฯ' อาจจะทำให้แฟนน้องชายงง

"น้องรู้จัก พระศรี ฯ ของพวกเค้ามั้ย ? พี่ไก่พูดไปแล้วเดี๋ยวน้องจะงงว่า พระศรี ฯ คือใคร"

ทอมพยักหน้า

"เข้าใจค่ะ ! หนูเคยไปที่นั่น พระศรี ฯ หมายถึงพระศรีอารย์เมตไตรยค่ะ"

"อ้า...นั่นแหละ ! พี่ไก่ฟังแล้วก็งงนะ อยากจะเถียง แต่เถียงไปคงได้ตบกันอีก  พระศรีอารย์อะไรมาลงทรงกันง่าย ๆ ?  คนในบ้านก็งง ๆ  ทั้งเฮีย ทั้งน้องบี  แต่ทุกคนก็ไม่ว่าอะไร เพราะที่สำนักนี้ รักษาอาม๊าหายได้จริง  มันก็น่าทึ่งเหมือนกัน"

เป็นที่แน่ชัดว่า พี่สาวพิจิตร มีความเห็นคิดขัดแย้งกับน้องชายในทุกกรณี ซึ่งเธอเองก็คงไม่ก้าวก่ายในเรื่องเหล่านั้น แต่ประเด็นของนายทหารคนนั้น ยังค้างคาใจเธอ

"พี่ไก่คะ เล่าเรื่องทหารคนนั้นต่อได้มั้ยคะ ?  เค้าทำงานอะไรให้พระศรี ฯ ถึงต้องเอาพี่จิตรไปช่วย ?"

"ก็งานปกป้องประเทศชาตินั่นแหละ  ฟังดูก็รักชาติดีนะ  นายพลคนนี้เค้าชอบพิจิตร เอ๊ะ.... พี่ไก่ไม่แน่ใจว่า เค้าชอบพิจิตร หรือว่า คนทรงแนะนำเค้าให้เอาพิจิตรไปช่วยงาน  อันนี้ไม่แน่ใจ"

ทอมรู้สึกประหลาดใจที่เธอไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้จากปากพิจิตรมาก่อน  แต่เมื่อคิดเหตุผลแล้ว ก็ไม่แปลกที่พระศรี ฯ ท่านจะแนะนำให้นายพลท่านนั้น รับพิจิตรไปช่วยงาน เพราะ พิจิตรมีอุดมการณ์ในการทำงานเพื่อสังคม และ ประเทศชาติอยู่ในหัวใจอยู่แล้ว พระศรี ฯ ท่านย่อมรู้ดี

แต่ การฝากงานเข้าไป โดยไม่ต้องตรวจเลือด  มันขัดกับหลักการที่พี่จิตรของเธอเองยึดถือ  พี่จิตรชอบตำหนิระบบคอรัปชั่น ใต้โต๊ะ เด็กฝาก ยัดเงิน อะไรเทือกนี้ อยู่เป็นประจำ   

เป็นไปไม่ได้ที่ตัวของเขาเอง ยอมรับเป็นเด็กฝาก ให้เข้าทำงานโดยวิธีใต้โต๊ะ

คิ้วของทอมที่ขมวดติดกันเป็นเวลานาน ทำให้พี่ไก่สงสัย

"น้องคิดอะไรอยู่ ? สงสัยอะไร น้องถามพิจิตรเค้าตรง ๆ ดีกว่า  หรือว่า พี่ไก่ให้ข้อมูลอะไรที่ทำให้เราผิดใจกัน หรือเปล่า ?"

ทอมกระพริบตาถี่ ๆ ดึงสติกลับมาคุยกับพี่ไก่ต่อ

"พี่ไก่คะ ปกติพี่จิตรเป็นคนรักความยุติธรรม แล้วก็ไม่ชอบคนที่ไม่มีระเบียบวินัย คือ อันนี้คือ ที่หนูสัมผัสได้   ที่บ้านเห็นพี่จิตรเป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ ?"

"มันเป็นคนขวางโลก  ถ้าดูจากคนที่ไม่ได้มาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน ก็อาจจะมองว่า ผู้ชายคนนี้รักความยุติธรรม  แต่พี่ไก่ กับ เฮีย เห็นมันมาตั้งแต่เด็ก  ไอ้นี่มันเอาแต่ใจตัวเอง  ถ้าคนอื่นทำผิด มันจะรักความยุติธรรมขึ้นมาทันที  แต่ตัวมันเองทำผิด  มันไม่เคยสำนึกผิด

พี่ไก่มีเคสเรื่องประมูลระบบไฟของราชการเล่าให้ฟัง"  เธอยกนาฬิกาขึ้นดูข้อมือ แล้วพูดต่อ "... นี่น้องบีก็ยังแต่งตัวไม่เสร็จ คุยต่อได้"

"พี่ไก่รีบไปไหนหรือเปล่าคะ ?"

"พี่ต้องออกไปรับลูกที่โรงเรียน  แต่ยังพอมีเวลา คุยได้"

"ค่ะ เรื่องประมูลราชการ เรื่องเป็นไงคะ ?"  ทอมเท้าความ เพื่อแสดงให้รู้ว่า เธอตั้งใจจะฟัง

"พิจิตรมาเล่าว่า ศิษย์คนนึง เสนองานเข้าประมูลกับการไฟฟ้า จังหวัดไหนซักจังหวัด  ศิษย์คนนี้ขายพวกอุปกรณ์ระบบไฟ  เป็นหนึ่งในผู้อุปถัมภ์สำนักนี้ บริจาคเงินทำบุญเป็นประจำ

ศิษย์คนนี้อยากจะบริจาคเงินเป็นค่าใช้จ่ายดูแลโครงการสอนธรรมะให้กับเด็กของพระศรี ฯ  แต่ต้องรอให้โครงการประมูลของเค้าชนะ ได้เงินมาก่อน  ถ้าชนะโครงการ ได้เงิน  ก็จะบริจาคเงินให้

เจ้าสำนักก็บอกให้พิจิตร นั่งสมาธิ ส่งพลังไปหากรรมการเปิดซอง  คือ รู้ว่า ใครเป็นกรรมการบ้าง ก็เอาชื่อกรรมการมา แล้วเจ้าสำนักชื่ออะไรนะ.... ครูปั้น นั่น  จ่ายงาน ให้คนนั้นคนนี้ นั่งสมาธิส่งพลังไปล้างสมองให้กรรมการแต่ละคน เอนเอียงมาเลือกเจ้านี้   พิจิตรก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องนั่งส่งพลังไปล้างสมองกรรมการ"

"แล้วทำสำเร็จมั้ยคะ ?"

"สำเร็จไม่สำเร็จไม่รู้  แต่แค่เล่ามานี่ พี่ไก่ก็อยากจะถุยน้ำลายแล้ว   

ถุย ! ด่าคนอื่นว่าโกงกิน จะมาใช้ไสยศาสตร์ปราบคอรัปชั่น  แต่ถามหน่อยว่า ไอ้ที่มึงทำอยู่นี่ ไม่ได้เรียกว่าโคตรโกงหรือไง ?

มึงเล่นส่งคุณไสยไปสั่งให้คณะกรรมการเปิดซอง เทคะแนนมาให้เจ้านี้ชนะประมูล  คือ ยังไงก็แถไม่ได้ว่า มึงคอรัปชั่น !

มีงจะแถยังไงว่า มึงทำไม่ผิด ?  เฮียฟังแล้วก็ส่ายหัว แต่นี่คือส่ายหัวลับหลังมันนะ  ไม่อยากทะเลาะกับมันต่อหน้าอาม๊า

แต่พิจิตร มันกลับมาเล่าแบบภูมิใจว่า งานที่มันทำน่ะ คือ ถูกต้อง  ทำแล้วได้บุญ เพราะเอาเงินมาบริจาคช่วยเผยแพร่ธรรมะให้เด็ก"

ข้อมูลนี้เริ่มสั่นคลอนความรู้สึกของฐิติชญา เธอเห็นด้วยกับพี่ไก่อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า การกระทำแบบนี้ คือ ผิดจริยธรรม

เสียงส้นเท้าลงบันได ตึง ๆ ดังมาจากในตัวบ้าน 

น้องบียังอยู่ในชุดลำลอง เสื้อชุดนอน กางเกงขาสั้น เปิดประตูมุ้งลวดออกมา

"เจ๊ไก่ไปก่อนเหอะ ! บียังไม่ได้อาบน้ำเลย" เธอทำตาโตเมื่อเห็นทอม 

"อ้าวพี่ญา ! สวัสดีค่ะ !" แล้วรีบยกมือไหว้ น้องสาวย้ำอีกครั้ง "พี่ไก่ไปก่อนได้เลย เดี๋ยวบีนั่งมอไซ ออกไปเอง"

"เออ ๆๆๆ ! งั้นเดี๋ยวเจ๊ไปก่อน  เดี๋ยวไปรับทวิตตี้ไม่ทัน"

ทอมพูดขึ้น

"น้องบีจะไปไหนคะ ?"

"บีจะไปอโศก แต่จะติดรถไปลงแค่หน้าปากซอยเองค่ะ" น้องบีตอบ

"งั้น พี่รอได้นะ  ให้พี่ไก่ไปก่อน วันนี้พี่ไม่ได้รีบ พี่นั่งรอตรงนี้นะ น้องบีตามสบายเถอะ อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยติดรถพี่ไป"

บีส่งยิ้ม พยักหน้าหงึก ๆ

"ดี ๆๆๆ ! ขอบคุณพี่ญา  งั้นบีรีบไปอาบน้ำก่อน !"  น้องบีปิดประตูมุ้งลวด รีบวิ่งกลับขึ้นไปที่ห้องนอน

พี่ไก่ลุกขึ้นชะเง้อคอ มองข้ามกำแพงบ้านไปยังบ้านติดกัน

"น้องเห็นบ้านนี้ม้้ย ?" เธอชี้มือให้ทอมหันหลังไปดู

"ส่วนนี้เป็นส่วนที่ต่อเติมใหม่  ตอนที่เค้าจะต่อเติม เจ้าของบ้านหลังนี้รู้จักกับเฮีย คุยกันว่า เฮียจะให้คนของเฮียมาทำให้  

ตอนเวลาต่อเติม ต้องตอกเสาใหม่ ต้องเลื่อย ต้องเจียรเหล็ก เสียงดัง   ไอ้บ้านี่ มันทนเสียงไม่ได้ มันไปต่อว่าเพื่อนบ้าน  มันรอเจ้าของบ้านกลับมาตอนเย็น แล้วมันก็ไปว่าเค้าว่า ทำให้เสียงดัง หนวกหู  อาม๊าจะดูทีวีตอนกลางวันดูไม่รู้เรื่อง"

ทอมเลิกคิ้ว

"พี่จิตรไปโวยเค้าเลยเหรอคะ ?"

"ใช่ ! มันทำตัวเป็นลูกกตัญญูไง  เป็นห่วงอาม๊าดูทีวีไม่ได้  อาม๊าเองไม่เคยบ่น  ดูไม่ได้ เค้าก็ไม่ต้องดู  แต่ไอ้นี่รักแม่เหลือเกิน  แม่งไปต่อว่าเพื่อนบ้าน  ทั้ง ๆ ที่ ไอ้พี่ชายของมัน เป็นคนส่งคนงานไปทำ  เค้าต้องจ่ายเงินให้เรา เค้าเป็นลูกค้าเรา แต่ไอ้นี่ไปด่าเค้า  มันใช้สมองส่วนไหนคิดวะ ?"

เรื่องแบบนี้ชักไม่สนุกแล้ว  ทอมคิดว่า พี่สาวพิจิตร อาจจะพูดเกินความจริงไป

".... เพื่อนบ้านคงนึกว่าคนในบ้านเรานี่เป็นโรคประสาทหรือเปล่า  พี่ชายเป็นคนรับเหมา น้องชายมายืนด่าว่าหนวกหู มันอ้างกฎหมายห่าอะไรของมันไม่รู้  ขู่เค้าว่าจะฟ้อง  เฮียรู้เข้าต้องมาเคลียร์  ไอ้บ้านี่ สร้างเรื่องแบบนี้ได้"

ทอมไม่ปักใจเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริง  อาจจะมีเหตุผลอื่น ๆ ที่ทำให้พิจิตรต้องแสดงพฤติกรรมอย่างนั้น  การฟังความข้างเดียว แล้วตัดสิน ไม่เป็นธรรมต่อผู้ถูกตัดสิน

พี่ไก่ดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ เห็นว่ายังพอมีเวลาเหลือ  ก็คุยต่อ

"ยังมีเรื่องบ้าลัทธิของมันอีก  น้องช่วยเตือนมัน เวลาจะศรัทธาอะไร อย่าบ้ามาก ขอให้สนใจคนรอบข้างบ้าง"

อีกหนึ่งเรื่องที่รสนิยมพี่สาวไม่ตรงกับน้องชาย  ทอมชอบพิจิตรเพราะความมั่นใจในตนเอง ไม่บ้าเห่อ ไม่ฟุ้งเฟ้อไปตามสังคม 

พิจิตรมีจุดยืนที่มั่นคง  เขาพูดเสมอว่า ถ้าสังคมเละเทะมีแต่น้ำสกปรก เราจะไม่ทำตัวเน่าไปตามกระแส เราจะเป็นน้ำดีสวนกระแส เจือจางความเน่าให้น้อยลงได้

ทอมได้แต่ส่งยิ้มให้พี่สาว ไม่มีคำถาม

เห็นรอยยิ้มของคู่สนทนา  พี่ไก่เริ่มเล่าต่อ

"มีอยู่ช่วงนึง ที่บ้านจะปวดหัวตาย  จู่ ๆ มันก็เลิกกินเนื้อสัตว์ ไปนับถือลัทธิกินมังสวิรัติ  ที่บ้านกินอะไรกัน มันกินไม่ได้  เวลาเฮียนัดกินข้าวกันข้างนอก มันไม่ไป เพราะมันบอกมันกินไม่ได้   แล้วมันก็ไม่ซื้ออาหารที่มีเนื้อสัตว์มาให้อาม๊ากินเลย 

อาม๊าชอบกินเกี๊ยวกุ้ง แต่ก่อนจะวานให้พิจิตรซื้อให้  พอมันกินมังสวิรัติ มันไม่ยอมซื้อ  มันทำท่าไม่พอใจที่คนที่บ้านกินเนื้อสัตว์...."

ทอมขมวดคิ้ว นี่เป็นอีกเรื่องที่เธอไม่เคยรับรู้

"... มันพยายามบอกคนในบ้านว่า เนืัอสัตว์เป็นพิษ  มนุษย์ใจบาปฆ่าสัตว์ ความเคียดแค้นของสัตว์ทำให้สัตว์หลั่งสารห่าอะไรไม่รู้ พอเรากินเนื้อสัตว์ เราก็เป็นมะเร็ง"

จุดนี้ทำให้ทอมสะอึก เพราะเธอนึกถึงเป็ดที่ชื่อดอนน่า 

ถ้าพี่จิตรของเธอยังคงความคิดแบบที่พี่สาวเพิ่งเล่า ป่านนี้ดอนน่าคงยังมีชีวิตอยู่

"แล้วยังไงต่อคะ ? ทำไมพี่จิตรถึงเลิกมังสวิรัติ ?"

"มันมาเข้าเป็นศิษย์ที่เนินพระศรี  พอครูปั้นบอกว่า เนื้อสัตว์มีประโยชน์  การกินมังสวิรัติจะขาดสารอาหารบางอย่าง แนะนำว่าให้มันเลิกมังสวิรัติ  เท่านั้น วันรุ่งขึ้น แม่งเลิกเลย !  แล้วที่มันบ้ามากกว่านั้นคือ มันกลับไปกินเนื้อวัวด้วย"

"กินเนื้อวัว ? มันแปลกตรงไหนเหรอคะ ?"

"ที่บ้านนี้ เลิกกินเนื้อวัวมายี่สิบกว่าปีแล้ว พอเทศกาลกินเจ เราก็กินเจทุกปี 

บ้านพี่น่ะ คนจีน นับถือเจ้าแม่กวนอิม  ก็เลิกกินเนื้อวัว  พอเค้าบอกให้พิจิตรเลิกกินมังสวิรัติ มันกลับไปกินเนื้อทุกอย่าง แล้วกินเนื้อวัวด้วย 

อาม๊าบ่นว่าทำไมต้องกินเนื้อวัว แล้วพอเทศกาลกินเจ  คราวนี้มันไม่กินเจ มันกินเนื้อสัตว์  แล้วมันก็บอกว่า กินเจก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์จริง  พระพุทธเจ้าสำเร็จธรรมแล้วยังฉันเนื้อสัตว์ 

เค้านั่งกินเจกันอยู่เต็มโต๊ะ มันก็เอาเนื้อสัตว์มากินที่โต๊ะด้วย"

พี่ไก่หยุดพูด แล้วจ้องหน้าทอม  ดูว่าเธอจะมีปฏิกริยาอย่างไร

แฟนน้องชายกำลังทำอารมณ์ให้เป็นกลาง ไม่ใช้คำพูดที่ได้ยินมาพิพากษาจำเลย

"เรื่องธรรมเนียมจีนนี่ ญาเองก็ไม่ค่อยจะถนัดค่ะ บ้านญาคนไทย ไม่รู้ธรรมเนียมเรื่องกินเจ"

พี่สาวพิจิตรสั่นหัว

"ไม่ต้องพูดเรื่องธรรมเนียมหรอก พี่แค่ให้คิดดูว่า เวลาคนส่วนรวมของทั้งบ้าน เค้าทำแบบนี้กันเป็นธรรมเนียม แล้วตัวเองตั้งใจทำเพื่อค้านคนในบ้าน  นี่มันคือโรคจิตหรือเปล่า ?  มันจะอะไรกันนักกันหนากับคนในครอบครัว ? 

บ้านนี้ เค้าเป็นน้องคนที่สาม  เล็กกว่าเค้ามีคนเดียวคือน้องบี  นอกนั้นสามคน เคยเลี้ยงเค้ามาตั้งแต่เด็ก ถ้ามีอุดมการณ์แรงกล้า ก็ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น

พี่ไก่ เป็นคนเดียวที่พูด กล้าปะทะ  ส่วนเฮีย กับม๊า ไม่อยากให้พิจิตรมันคิดมาก เดี๋ยวมันจะพาลย้ายออกจริง ๆ  เฮียก็จะเสียใจ  แต่ไม่ปะทะมันไม่ได้  มันไม่รู้สำนึกซะที"

เสียงน้องบี ตะโกนลอดประตูมุ้งลวดออกมา

"พอแล้วเจ๊ไก่ ! รีบออกไปรับทวิตตี้เหอะ เดี๋ยวไปไม่ทัน  พี่ญาอย่าเครียดนะคะ เจ๊ไก่แค่ต้อนรับน้องใหม่เท่านั้น ไม่มีอะไรหรอกค่ะ !"

ทอมส่งยิ้มกลับไปให้

เจ๊ไก่ยกข้อมือดูนาฬิกาอีกครั้ง

"พี่ต้องไปก่อน !  แค่จะให้น้องเตือนมันว่า ถ้าแม่กับพี่ชายที่ส่งเสียเลี้ยงดูมันมาตั้งแต่เด็ก ต้องการอะไรที่ไม่ได้ผิดกฎหมาย ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน  แล้วมันเป็นลูก มันเป็นน้องชาย  ถ้ามันตามใจไม่ได้ มันขัดใจมากที่บุพการีมันไม่ได้ดังใจมัน ไม่เป็นครอบครัวแบบที่ไอ้สุริยน ข่มจันทร์ นั่นมันเขียนไว้ 

ญาช่วยบอกให้มันย้ายออกไปจากบ้านหลังนี้  ไม่ต้องเป็นห่วงม๊า เฮีย กับ บี เค้าดูแลม๊าได้   พี่ไก่ก็แวะมาดูอาม๊าได้เป็นประจำ"

แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน ฉวยหลุยส์ วิตตองบนโต๊ะ 

"พี่ไปก่อนนะ ! เดี๋ยวรถติด"

ทอมยกมือไหว้ลา

รถเบ๊นซ์เคลื่อนตัว ถอยออกไปแล้ว  บางประโยคของพี่ไก่ กระทุ้งอะไรบางอย่างในใจเธอ

***********************************************************************************

ฮอนด้าซิตี้สีแดง เคลื่อนตัวออกจากซอย วิ่งไปตามถนนเมนของหมู่บ้าน

น้องบีนั่งที่เบาะหน้าคู่กับโชเฟอร์ เริ่มสนทนา

"เป็นไงบ้างพี่ญา เจอเจ๊ไก่ครั้งแรก มึนไปเลยสิ !"

ทอมหัวเราะเบา ๆ

"ก็ ข้อมูลเยอะ พี่น้องคู่นี้ท่าจะเข้ากันไม่ได้เลยนะน้องบี"

บีพยักหน้า

"อือ.... น้ำกะไฟเลย ! อายุห่างกันสามปี  ตอนเด็ก ๆ เจ๊ไก่ก็ป้อนข้าวเลี้ยงน้อง แต่พี่จิตรโตแล้วมีความคิดของตัวเอง"

"แล้วพี่ชายคนโตล่ะ เข้ากับพี่จิตรได้มั้ย ?"

"เฮียเหรอ ?" เธอหยุดคิด แล้วค่อยตอบ "สองคน คนละสไตล์ เฮียนี่ใช้ชีวิตเหมือนผู้ชายทั่วไป กินเหล้า สูบบุหรี่ แล้วก็รสนิยมเรื่องการเมืองไม่เหมือนกัน  ถ้าคุยกันก็ฉะกัน"

"เฮียฉะกับพี่จิตรแรงมั้ย ?"

"จริง ๆ เฮียไม่ได้เป็นฝ่ายฉะหรอก  พี่จิตรแหละ พอพูดเรื่องการเมือง แล้วเฮียพูดไม่ถูกใจ พี่จิตรก็ฉะเลย"

ทอมขมวดคิ้ว

"ชอบการเมืองคนละขั้วเลยเหรอ ?"

"บีไม่ค่อยสนใจการเมือง ไม่รู้อะไรลึกหรอก รู้แต่พี่จิตรหัวสมัยใหม่ รักความยุติธรรม เห็นใจคนจน พิทักษ์สตรีและเด็ก อะไรทำนองนี้แหละ   

ส่วนเฮียก็จะพูดถึงสิ่งที่ประเทศไทยเป็นอยู่ มันทำแบบนั้นไม่ได้ แบบนี้ไม่ได้  พี่จิตรยอมรับไม่ได้ ถ้าไม่คิดที่จะเปลี่ยนตั้งแต่ครอบครัว สังคมก็ไม่เปลี่ยน ประเทศก็ไม่เปลี่ยน"

ทอมพยักหน้าเข้าใจทันที  เธอเข้าใจจิตใจของคนที่รักความยุติธรรมอย่างพิจิตรมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว

"แล้วน้องบีล่ะ  ฟังแล้วน้องบีคิดเหมือนใคร  เหมือนเฮีย หรือเหมือนพี่จิตร ?"

"บีคิดเหมือนพี่จิตร  บีชอบที่บ้านเรามีอย่างน้อยคนนึงที่คิดแบบนี้"

ทอมอมยิ้ม

"ผู้ชายอย่างพี่จิตร น่าจะมีสาวชอบเยอะนะ"

น้องสาวพยักหน้าทันที เมื่อนึกถึงเสน่ห์ของพี่ชาย

"ช่าย ! พี่จิตรพูดน้อยต่อยหนัก  ไม่ขี้โม้  ตอนพี่จิตรเรียนมหาลัย' ก็เป็นขวัญใจสาว ๆ นะ จิตอาสาตลอด 

มีครั้งนึงพาสาว ๆ ไปจัดกิจกรรมที่โรงเรียนสอนเด็กตาบอด  กลับมาจากกิจกรรม สาว ๆ ตาบอดกันเพียบเลย ฮ่า ๆ"

ทอมหัวเราะไปด้วย

"ถึงขนาดนั้นเชียว !"

"แหม พี่ญา....  พี่จิตร หน้าตาก็ใช้ได้ พูดจาก็มีสาระ ยังเสียสละ มีจิตอาสา สาวที่ไหนไม่รีบคว้าไว้ล่ะ"

"ดูท่าทางน้องบีจะชื่นชมพี่ชายตัวเองนะ"

"ก็คนเค้ามีดีนี่นะ !"

"ก็ยังดีนะ ที่มีน้องบีที่เข้ากับพี่จิตรได้  ไม่งั้นพี่จิตรก็ลำบากเลยเนอะ พี่สาว กับ พี่ชาย สองคนมีความคิดที่ไม่เข้ากับตัวเอง 

พี่ไก่เล่าถึงเรื่องข้างบ้านว่า เฮียรับงานต่อเติมบ้านข้าง ๆ แล้วพี่จิตรไปโวยวาย  แต่พี่ว่ามันคงต้องมีปัญหาอะไรตอนก่อสร้าง ที่ทำให้แม่ลำบาก พี่จิตรต้องออกไปตำหนิเค้า  

พี่จิตรเคยพูดว่าที่บ้านมุ่งแต่จะหาเงิน จนบางครั้งก็ลืมดูแลแม่  เฮียคงอยากได้งาน อยากได้เงินจากข้างบ้าน เลยไม่สนใจว่าแม่ตัวเองเดือดร้อน  พี่ไก่ก็คงเข้าข้างเฮีย เล่นงานพี่จิตร

อย่างนี้ไม่เป็นธรรมกับพี่จิตรเหมือนกันนะ"

บีหันหน้ามามองทอม แล้วขมวดคิ้ว

"เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ๊ไก่  มันเป็นเรื่องของเฮียเลย เจ๊ไก่ก็ส่วนของเจ๊ไก่  เฮียก็ส่วนของเฮีย"

ทอมฟังแล้วไม่เข้าใจ เธอถามกลับ

"พี่ไก่ เล่าไม่ตรงกับความจริงใช่มั้ย ?"

บีไม่ตอบคำถาม แต่ถามคำถามแทน

"พี่จิตร เคยเล่าเรื่องเฮียให้พี่ญาฟังหรือเปล่า ?"

ทอมสั่นหัว

"ไม่เคยนะ ! มีเล่าแค่เรื่องพี่สาวนิดหน่อย  บ่น ๆ"

บีพยักหน้าเข้าใจ

"อืม ! งั้นก็ดีแล้วค่ะ เพราะสำหรับเฮียแล้ว พี่จิตรไม่ควรมีปฏิกริยาอะไรทั้งสิ้น 

เรื่องก่อสร้างข้างบ้านนั้น สิ่งที่เฮียตัดสินใจทำไป ไม่เคยทำโดยที่ไม่คิดถึงคนในครอบครัว 

เรื่องนี้บีเคยบอกพี่จิตรไปว่า ถ้าทนเสียงก่อสร้างไม่ได้ พี่จิตรย้ายไปที่อื่นเหอะ เค้าต่อเติมเสร็จแล้วค่อยย้ายกลับมา"

ทอมแปลกใจที่เรื่องนี้ น้องบีไม่ได้เข้าข้างพิจิตร

"น้องบี คิดว่าที่พี่จิตรทำไปนั่น ไม่ควรเหรอ ?"

"ไม่ควรอย่างยิ่งค่ะ !  อาม๊าไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยตอนก่อสร้าง

พี่จิตรคิดไปล่วงหน้าเองว่า เสียงก่อสร้างจะทำให้อาม๊ารำคาญ ฝุ่นเต็มบ้านทำให้พี่จิตรตาแดง  เค้าก็เป็นห่วงอาม๊า กลัวจะเป็นบ้าง แต่ไม่ได้นึกถึงว่า นี่คือสิ่งที่เฮียตัดสินใจแล้ว ไม่ควรไปหักหน้าพี่ชายแบบนั้น   อาม๊าไม่เห็นบ่นเลยซักคำ 

แล้วเรื่องที่เฮียเอาแต่หาเงิน  เงินที่หามาได้น่ะ  ก็ส่งให้พี่จิตรเรียนต่อต่างประเทศได้เป็นคนแรก  เฮียไม่ได้เรียนมหาลัย  เจ๊ไก่เรียนได้แค่ปริญญาตรี  เฮียกับเจ๊ไก่สองคนคุยกันว่า จะส่งให้พี่จิตรเรียนสูงที่สุด เพราะพี่จิตรหัวดี

เฮียเป็นเหมือนพ่อคนที่สอง  ป๊าเสียไปตั้งแต่บียังเด็ก  เฮียนี่ทำงานเลี้ยงครอบครัว ส่งให้พี่จิตรกะบีเรียนจนจบ  เฮียไม่ค่อยถือสาพี่จิตรหรอก  เฮียก็แค่หวังว่า อยากให้พี่น้องอยู่บ้านเดียวกัน

ถ้าพูดกันจริง ๆ  เฮียกับเจ๊ไก่ สองคนก็ต้องเสียสละอะไรหลายอย่าง เพื่อส่งเสียให้พี่จิตรเรียน  แล้วพอทำงาน พี่จิตรอยากทำงานที่มีอิสระ เฮียก็ไม่ว่าอะไร   พอเรียนจบมาแล้ว หัวคิดทันสมัย เอาปรัชญาตัวเองมาตัดสินว่า คนที่มีบุญคุณต่อเรานั้น ทำผิดเรื่องโน่นนี่นั่น  พี่จิตรซีเรียสมากไป"

ทอมประหลาดใจที่ได้ยินความคิดเห็นแบบนี้จากปากน้องสาวที่เพิ่งชื่นชมพี่ชาย  บีไม่ได้ชื่นชมพี่ชายแบบน้องสาวที่ตาบอด แต่เธอเห็นทั้งข้อดีและข้อเสียไปพร้อม ๆ กัน

ทอมพยักหน้าช้า ๆ

"อือ ! มันก็จริงนะ ! น้องบีเคยเตือนพี่จิตรบ้างหรือเปล่าว่า เค้าซีเรียสเกินไป ?"

"ไม่เคยเตือนเป็นเรื่องเป็นราวหรอก เพราะบีเป็นน้อง  มีแค่บางครั้ง บีก็บอกว่า พี่จิตรใจเย็น ๆนะ"

"แล้วเฮียไม่เคยเตือนพี่จิตรเลยเหรอ ?"

"พี่จิตรไม่ฟังหรอก  เฮียไม่ได้จบปริญญา จบแค่อาชีวะ เฮียคิดไม่ทันพี่จิตรหรอก  เวลาพูดไม่มีหลักการ พี่จิตรเถียงได้หมด  เฮียก็ไม่ถือสา"

"พี่จิตรโชคดีนะ ที่มีพี่ชายแบบนี้"

"ช่าย ! จริง ๆ ชีวิตพี่จิตรน่าจะมีความสุขนะ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร บ้านก็พอมีเงิน ไม่ได้รอให้พี่จิตรเลี้ยง  อาม๊าแค่หวังว่าพี่จิตรได้แฟนดี ๆ แต่งงาน ก็แค่นั้น   แต่พี่จิตรดูเหมือนกับชีวิตยังไม่มีความสุข  เค้าบ่นอยู่เรื่อยว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเค้า"

"ที่นี่ คือ ที่บ้านน่ะเหรอ ?"

"เปล่าค่ะ ! ที่นี่ หมายถึง เมืองไทย  เค้าอยู่ที่เมืองนอกมีความสุขกว่า เค้ารับวัฒนธรรมไทยไม่ได้หลายอย่าง นิสัยคนไทยยิ่งแย่ไปใหญ่  โห.... ถ้าวันไหนเธอมีอารมณ์ระบายนะ ฟังแล้วจะอินมาก เธอจะสาธยายความเน่าเฟะของประเทศไทยมาเป็นฉาก ๆ"

ทอมหัวเราะเบา ๆ

"เรียกพี่จิตรว่า เธอ เลยเหรอ ?"

"ค่ะ ! เธอนี่บางอารมณ์ก็เป็นสาวได้นะ  อาม๊าบอกว่า บ้านเรามีลูกสาวคนเล็กคนเดียว ต้องเอาใจหน่อย"

"หือ ? เอาใจน้องบี ? แล้วพี่ไก่ล่ะไม่ใช่ลูกสาว ?"

"ไม่ ๆๆ ! อาม๊าหมายถึง พี่จิตร คืองี้...

....ที่บ้านเนี่ย เฮียเป็นลูกชายคนโต  นิสัยกับบุคลิก เป็นชายทั้งแท่ง กินเหล้าสูบบุหรี่ คิดแต่เรื่องใหญ่  ๆ ทำแต่เรื่องใหญ่

ส่วนพี่ไก่ เป็นลูกสาว แต่นิสัยก็คล้าย ๆ ผู้ชาย  โผงผาง ไม่เก็บอารมณ์ แต่แกด่าแล้วก็แล้วไป ด่าแล้วก็ด่าใหม่ได้ แต่ไม่ได้เก็บไปเครียดนะ"

ทอมพยักหน้ารับฟัง

"ส่วนบีนี่  อาม๊าบอกเลี้ยงง่ายที่สุด มีกินก็กิน ไม่มีกินก็ไม่ต้องกิน ไม่บ่น ไม่ร้องไห้ ไม่ทะเลาะกับใคร ไม่นินทา ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย ฮ่า ๆๆๆ" เธอพูดแล้วหัวเราะตัวเอง

"แล้วพี่จิตรล่ะ ?"

"พี่จิตรนี่ พี่ญาสังเกตเองไม่ออกเหรอคะ ?  ข้างนอกแสดงความเป็นชายมาก ๆ เสียสละ สุภาพบุรุษ  ข้างในใจอ่อนมากนะ  เชื่อคนง่าย เชื่ออะไรง่าย ๆ พอเชื่อแล้วก็ฝังจิตฝังใจไปเลย  โดนอะไรกระทบก็อ่อนไหวไปหมด  ทนเห็นโน่นนี่นั่นไม่ได้ ขี้สงสาร  

มีครั้งนึง ทะเลาะกันครั้งใหญ่ ตอนที่เจ๊ไก่ไล่พี่จิตรไปใส่กระโปรง   พี่จิตรโกรธมาก ตอนนั้นต้องให้เฮียมาห้ามทัพ

พี่ไก่นี่ปากไม่ดี  รู้ว่าจุดนี้จี้ใจดำน้องชาย ก็ยังพูดมาได้"

"มีเรื่องอะไรกัน พี่ไก่ถึงต้องพูดยังงั้น ?"

"พี่จิตรบ่นเรื่องหยุมหยิมในบ้าน บ่นทุกวัน โน่นบ้าง นี่บ้าง  ก็ในบ้านมีเด็กอะ ทวิตตี้มันยังเด็ก มันก็ทำของรก เล่นอะไรแล้วไม่เก็บ 

พี่จิตรไม่ว่าหลานนะ แต่ว่าให้เจ๊ไก่ได้ยิน   เจ๊ไก่โมโห ไล่ให้พี่จิตรไปใส่กระโปรง  เจ๊แกบอกว่า บ้านนี้ใหญ่ที่สุดคืออาม๊า รองมาคือเฮีย  สองคนนี้ไม่เคยบ่นเรื่องหลาน  แต่พี่จิตรบ่นไม่เว้นวัน เจ้าระเบียบที่สุด  เวลาแพคกระเป๋าไปต่างจังหวัดนะ โห....."

ได้ยินประโยคนี้ ทอมพยักหน้า แล้วสมทบ

"ใช่ๆๆๆ ! พี่เคยเห็น  สุดยอดแล้วล่ะ ! ผู้หญิงเองยังจัดกระเป๋าไม่ได้แบบนั้น เนียนมาก พับสูทใส่กระเป๋า ไปถึงปลายทางไม่มีรอยยับเลย"

น้องบีหัวเราะชอบใจ

"น่าน ๆๆ ! ใช่ปะ ? พี่ญาเคยเห็นใช่มะ ?  สุดยอดของคนมีระเบียบเลย  เจ๊ไก่นะ มีอะไรก็ยัด ๆ เข้าไป  เวลาแกะกระเป๋าออกมา มันเป็นก้อน ๆ อะ  ฮ่า ๆๆๆ ขำอะ ! ทุกอย่างยับหมด 

แต่ของพี่จิตร เป็นแผ่น ๆ ทับ ๆ กัน เรียงแบบเหมือนโรตีวางซ้อนกันได้  เค้าจัดกระเป๋าใช้เวลาชั่วโมงนึงนะ  เจ๊ไก่ยัดของสามคน ใช้เวลา สิบนาที  ฮ่า ๆๆ !"  เสียงหัวเราะร่วนดังลั่นห้องโดยสาร

ทอมพยักหน้าหลายครั้ง  ฟังดูแล้วมุมนี้ของพี่จิตรที่น้องบีเล่าให้ฟัง ก็น่าจะเข้าเค้า  คนรักของเธอมีความละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ชายทั่วไป จนบางครั้ง มันก็กระทบกับคนรอบข้าง

"แล้วพี่จิตร ก็เจ้าระเบียบกับหลานด้วยสิ ลูกพี่ไก่น่ะ ?"

น้องบีสั่นหัว

"ไม่เลย !  อืม.... " เธอนึกถึงเรื่องความซับซ้อนของพี่ชาย แล้วตั้งเป็นคำถามกลับ

"พี่ญา ลองทายว่า เหตุการณ์ที่พี่ญาเห็นมานี่  เจ๊ไก่ น่าจะรักพี่น้องคนไหนที่สุดในบ้าน ?"

ทอมตอบทันที

"เฮีย ล่ะสิ !"

น้องบีสั่นหัว

โชเฟอร์ตอบใหม่

"งั้นก็คงน้องบีแล้วล่ะ"

ผู้ตั้งโจทย์ สั่นหัวอีกครั้ง

คราวนี้ทอมขมวดคิ้ว คำตอบสุดท้ายที่เหลือ ไม่น่าจะเป็นไปได้

"อย่าบอกว่า พี่จิตรนะ !"

น้องสาวพิจิตรพยักหน้า

"น่านแหละ ! พี่จิตรแหละ ที่เจ๊ไก่รักมากที่สุด  เพราะสนิทตั้งแต่เด็ก ลงไม้ลงมือกันได้  

ตอนเจ๊ไก่เรียนมัธยม กลับบ้านตอนค่ำ ๆ มีพวกแก๊งค์มอไซชอบแซวตอนเจ๊ไก่เดินลงรถเมล์ที่หน้าปากซอย  โดนแซวบ่อย ๆ เจ๊แกกลับมาบ่นให้พี่จิตรฟัง  พี่จิตรออกไปเอาเรื่อง  ตัวคนเดียว ออกไปถามหาแก๊งค์มอไซ มีกันห้าหกคน"

ทอมลืมตาโต

"กล้าขนาดนั้น !"

"ช่าย !  พี่จิตรถามว่า คนไหนที่แซวพี่สาวเค้า  คนแซวยกมือบอกว่าผมเอง  ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แค่แซวเล่น  พี่จิตรบอก อย่าแซวอีก ต่างคนต่างอยู่  ถ้ายังไม่หยุด ได้เจอดีแน่ ดูดิ ตัวคนเดียว ไปขู่เค้ากลับ"

ทอมอมยิ้ม

"เท่ดีนะ !"

"เนอะ !  ถ้าบีมีน้องชายแบบนี้ บีก็รักตายเหมือนกัน ตอนนั้นเจ๊ไก่ก็ตกใจว่า พี่จิตรกล้าออกไปว่าเค้าได้ยังไง เจ๊ไก่แค่บ่นให้ฟัง ไม่ได้บอกให้ไปจัดการ เดี๋ยวก็โดนเค้ากระทืบตาย  พี่จิตรตอบว่า ให้มันรู้ว่าที่บ้านนี้มีผู้ชาย แค่นี้มันก็หยุดเอง  กูเป็นน้องชายมึง กูไม่จัดการกูก็หมาแล้ว"

"ซึ้งใจเลย มีน้องชายรักพี่สาวแบบนี้  แต่พี่น้องคู่นี้ เค้าพูดกูมึงกันเนอะ"

"ค่ะ !  ก็คู่นี้คู่เดียว เจ๊ไก่พูดกับเฮีย ก็เรียกเฮียว่าเฮียนะ  บีพูดกับพี่จิตร บีก็เรียกพี่จิตรว่าพี่  มีคู่เจ๊ไก่กับพี่จิตรนี่แหละ เค้าคุยกันมาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก พอเจ๊ไก่มีทวิตตี้  พี่จิตรก็รักทวิตตี้เหมือนกับตัวเองเป็นแม่คนที่สอง"

ทอมหัวเราะ

"แม่คนที่สอง !"

"อืม... พี่จิตรเหมาะเป็นแม่ มากกว่าพ่อ อิอิ !" เธอนึกถึงบุคลิกพี่ชายคนรองแล้วก็ยิ้มได้

น้องบีเล่าต่อ

"เค้าสนิทกับหลานนะ ไม่เคยดุหลานเลย  มีอยู่ครั้งนึง เจ๊ไก่กับพี่เขยไปต่างประเทศ เค้าก็ไว้ใจให้พี่จิตรเป็นคนเลี้ยงทวิตตี้นะ  ทวิตตี้ไม่สบาย พี่จิตรไปนอนเฝ้าที่โรงพยาบาลเลย  เจ๊ไก่เค้ารู้ว่าพี่จิตรรักทวิตตี้มาก  เจ๊ไก่กับพี่จิตร เค้าสนิทกัน"

ทอมขมวดคิ้ว เอียงคอ

"สนิทกันแบบต้องตีกันด้วยเหรอ ? บ้านพี่มีลูกคนเดียว พี่เป็นลูกสาวคนเดียว  พี่เลยไม่ค่อยเข้าใจ  ถ้าพี่มีน้องชายที่สนิท คงไม่ลงไม้ลงมือกับเค้า  แต่ พอฟังน้องบีเล่า ก็พอจะเข้าใจมากขึ้น  คือ เค้าสองคนก็รักกันใช่มั้ย ?"

"รักสิคะ ! แต่นิสัยเข้ากันไม่ได้เลย"

ทอมพยักหน้าช้า ๆ

"มีอีกเรื่องนึง พี่ไก่พูดถึงสุริยน ข่มจันทร์  น้องบีรู้จักมั้ย ?"

เธอพยักหน้า

"ค่ะ ! คนแต่งหนังสือสังคมที่ไม่มีคุณ พี่ไก่ชอบกัดพี่จิตรว่า คนนี้เป็นพ่อพี่จิตร  ฮ่า ๆๆ !" เธอพูดแล้วก็หัวเราะ

ทอมทำจมูกหึ่ง ขมวดคิ้ว

น้องบีเล่าต่อ

"เวลาพี่จิตรไม่อยู่ พี่ไก่เรียกหนังสือเล่มนั้นว่า หนังสือที่พ่อมันแต่ง ฮ่า ๆๆ !"

"พี่ไก่ไม่ชอบหนังสือที่สุริยนแต่งเหรอ ?"

"เรื่องหนังสือเค้าคงเฉย ๆ มั้ง เจ๊เค้าไม่เคยอ่าน แต่เจ๊เค้าดูทีวีตอนมีรายการไปสัมภาษณ์ แล้วสุริยนเค้าเล่าประวัติ  เจ๊ไก่ฟังอยู่ลุกขึ้นมาชี้นิ้วด่าเลย"

"ประวัติเค้าไม่ดีตรงไหน ?"

"พี่ญาได้ดูรายการหรือเปล่า ?  ตอนสุริยนเค้าเล่าประวัติตอนเด็ก ๆไม่ถูกกับพ่อ  พ่อติดเหล้า ติดบุหรี่ สุริยนเค้าไม่ชอบ เค้าเอาเหล้าบุหรี่ไปทิ้ง พ่อโมโหหวดด้วยไม้น่องลายเลย  เค้าก็ไม่ถูกกับพ่อมาตั้งแต่เด็ก 

เค้ากล้าที่จะค้านพ่อในสิ่งที่พ่อทำไม่ถูกต้อง ซึ่งคนอื่นไม่กล้าทำ   

พี่ไก่ลุกขึ้นมาชี้นิ้ว ไอ้ลูกเณรคุณ มีเรื่องกับพ่อตัวเอง ยังมีหน้าเอาพ่อมาประจานด้วยความภูมิใจว่า ตัวเองกล้าเณรคุณ  พี่ไก่ฟังแล้วก็เลยเกลียดสุริยนไปเลย"

"แล้วพี่จิตรว่ายังไง ?"

"พี่จิตรไม่ได้อยู่ด้วยสิคะ  ถ้าอยู่ด้วยแล้วเจ๊ทำงี้ บ้านแตกอีก คงลุกมาต่อยกัน"

ทอมขมวดคิ้ว

"เรื่องนี้มันมองกันคนละมุมนะ  คุณสุริยนเค้าแค่จะชี้จุดให้เห็นว่า ถ้าเรายังปกป้องคนในครอบครัวที่ทำผิด สังคมก็จะมีแต่คนที่รักพวกพ้องช่วยกันทำผิด ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้"

"อืม ก็.... ถ้าสุริยนเค้าคิดว่า เอาเหล้าบุหรี่ไปทิ้ง แล้วทำให้พ่อเค้าสำนึก เลิกหล้าเลิกบุหรี่ได้เลย ครอบครัวกลับมารักกัน  มันเป็นยังงั้นได้จริง เจ๊ไก่คงไม่ลุกขึ้นมาด่าหรอก  เพราะความจริงคือ

อย่างแรกนะคะ ครอบครัวสุริยนไม่ใช่คนจน พ่อเค้าไม่ใช่ว่าเอาเงินไปกินเหล้าจนไม่มีเงินให้ลูกเมีย  ตระกูลจักราภิรมย์น่ะ มีเงินเป็นร้อยล้าน"

"พ่อคุณสุริยน นามสกุลจักราภิมย์เหรอ ?"

"ค่ะ ! สุริยน ข่มจันทร์ นี่ไม่ใช่ชื่อนามสกุลจริงนะพี่ญา เป็นแค่นามปากกา  เค้าน่ะนามสกุลจริงคือจักราภิรมย์ รวยจะตาย

อีกเรื่องคือ พ่อเค้าก็ไม่ได้เป็นคนขี้เหล้าไม่ทำมาหากิน  เป็นพ่อค้าจิวเวลรี่  ไม่ได้เป็นพวกขี้ยา  แค่เป็นคนที่กินเหล้าเพื่อสังสรรค์

เรื่องสุดท้ายคือ ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ สุริยนก็ยังเข้ากับพ่อไม่ได้ อยู่คนละบ้าน ไม่อยากจะรับรู้เรื่องของกันและกัน เฮียบอกว่า คนแบบนี้ มันไม่น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

เฮียพูดว่า ไอ้ที่เอาเหล้าบุหรี่พ่อไปทิ้งน่ะ มันแก้ปัญหาอะไรตรงไหน ?  ทำแล้วชีวิตครอบครัวเค้าดีขึ้นตรงไหน  ? แต่คนดูรายการ ดูแล้วก็สะใจ ยกย่องว่าเป็นคนกล้า   ในชีวิตจริง ถ้าทำตามก็มีหวัง บ้านแตกก่อนได้โตแน่"

ทอมคิดตาม แล้วรำพึงออกมา

"บุพการี ไม่ได้ดังใจ"  ทอมสั่นหัว "นี่มันก็เหมือนเอาแต่ใจตัวเอง พ่อแม่ทำไม่ถูกใจเรา เราก็ไม่พอใจ"

"แต่สุริยนเค้าก็แต่งหนังสือเก่งนะ  อ่านแล้วสนุก มีความรู้สึกรักชาติ มีความรับผิดชอบต่อสังคม เฮียก็ชมสุริยนนะ หลายอย่างให้แง่คิดที่ดี

เสียนิดเดียว คนแต่งยังรับผิดชอบครอบครัวตัวเองไม่สมบูรณ์ คนอื่นศรัทธาเราเป็นล้าน แต่พ่อเราเองไม่ศรัทธาในตัวเรา เฮียบอก อยู่เงียบ ๆ อย่างเฮียดีกว่า เฮอะ ๆ" เธอนึกขำในคำพูดของพี่ชายคนโต

ทอมกลับสะอึก !  เธอนึกถึงเรื่องราวของตัวเธอเองกับครอบครัว

"เราทำให้คนอื่นศรัทธา แต่ทำให้บุพการีต้องร้องไห้" ทอมพูดกับตัวเอง  แต่ก็ดังพอที่น้องบีจะได้ยิน

"อือ ค่ะ ! เฮียไม่อยากให้พี่จิตรเป็นแบบสุริยน  ยังไงคนในครอบครัวก็ต้องสำคัญที่สุด แต่พี่จิตรบอกว่า ส่วนรวมและประเทศชาติ ต้องสำคัญกว่าส่วนตัว  ประเด็นนี้ ทะเลาะกันไม่จบไม่สิ้น"

ความรู้สึกแปลก ๆ แว่บเข้ามาในสมองของโชเฟอร์  ทำไมเธอถึงกลับไปคิดถึงเรื่องราวของตัวเธอเอง ?  หรือว่า พ่อกับแม่ เจอพฤติกรรมของลูกสาวตัวเองคล้าย ๆ กันนี้ แต่ตัวลูกสาวเองกลับไม่รู้ตัว ?

"น้องบี แล้วพี่จิตรเค้าจะรู้มั้ยว่า ที่บ้านมองเค้าว่าเป็นคนยังไง หรือว่า รู้แต่ไม่แคร์ ?"

"รู้ แต่พี่จิตรมั่นใจว่า ถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ต้องไม่แคร์"

"อือ คิดเหมือนคุณสุริยนเป๊ะเลย !"

"ค่ะ ใช่มั้ยล่ะ ? เหมือนพ่อกับลูก"

รถเลี้ยวออกปากซอยหมู่บ้านแล้ว

"พี่ญาจอดที่ข้างทางข้างหน้าโน่นเลยค่ะ เดี๋ยวบีเรียกแท็กซี่"

โชเฟอร์พยักหน้า

น้องบีหันมายกมือไหว้

"ขอบคุณพี่ญานะคะ ที่ให้บีติดรถมา"

"จ้ะ ! ขอบคุณน้องบีด้วย ที่เล่าเรื่องพี่จิตรให้พี่ฟัง"

"อ๋อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่ญาอย่าคิดมากนะ พี่จิตรเป็นคนดี ไม่อยากให้พี่ญาทิ้งพี่จิตรไป"

ทอมพยักหน้ารับรู้ พร้อมส่งยิ้มให้

***********************************************************************************

อ่านหน้า > 2, 3, 4

สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่

กลับขึ้นด้านบน  อ่านตอนอื่น 

 

 

 

 
Copyright © 2008, pendulumthai.com All rights reserved