
เมื่อสมาชิกในวงอาหารของสมิงเริ่มอิ่ม การสนทนาก็เริ่มสนุกสนาน
สหายของท่านสมิงต่างก็เรียกร้องให้สิงดี เริ่มเล่านิทานสิบแคว้น
แดงซึ่งเงี่ยหูฟังวงเจ้าบ้านสนทนากันตลอด เมื่อได้ยินว่า นิทานสิบแคว้นกำลังจะเริ่ม เธอก็คลานออกจากวงอาหารตัวเอง จัน เป็ง ดวง ดี ทยอยคลานตามมา
พันมองเห็นแดงกับเหล่าสาว ก็เข้าใจความต้องการทันที
เขาพูดขึ้นท่ามกลางวงอาหาร
"ท่านสมิง ท่านสิงดี หากคนของข้าที่เป็นน้องหญิงเหล่านั้น จะขอนั่งฟังท่านเล่าอยู่วงนอกตรงนั้น จักควรหรือไม่ ?"
สมิงโบกมือ
"อีสาวทั้งหลาย ขยับเข้ามาเถิด เข้ามาจนได้ยินเสียงชัดนั่นแล เหล่าสหายของข้ามิใช่คนมากความ มิถือสาใด ๆ"
**********************************************************************************
กระรอกน้อย กระโดดจากขอบหน้าต่างลงมาที่พื้น แล้ววิ่งเข้าไปหาปทุมที่นั่งพับผ้าอยู่บนพื้นห้อง
ปทุมยื่นมือให้กระรอกไต่เข้ามาถึงตัว แล้วใช้มือจับไว้
"ฮอกเจ้า ไปเตร่แห่งใดมารึ ?"
กระรอกทำจมูกฟุดฟิด ปทุมหัวเราะเบา ๆ
"เจ้าหิวหรือไม่ ? ข้ามีห่ออาหารยังมิได้แตะต้อง จักมาร่วมวงกับข้าใช่รึ ?"
"เป็นเลิศเชียว ปทุม ! แค่ข้ามวัน เจ้าก็สนทนาสื่อความกับฮอกได้" เสียงผู้ชายที่ลอยมาจากหน้าต่าง ทำให้เธอต้องชะงัก
"ผู้ใด ? ผู้ใดพูดอยู่ข้างนอกนั่น ?"
ไม่มีเสียงตอบ ปทุมลุกขึ้นยืน เอื้อมมือหยิบตะเกียง แล้วเดินมาที่หน้าต่าง
ที่ชานระเบียงไม้ ปทุมสังเกตเห็นเงาของผู้ชายคนหนึ่ง นั่งยอง ๆ อยู่หลังเสาระเบียง
"ผู้ใดนั่งอยู่ที่นั่น ?"
"ข้าเอง น้องหญิง ! ข้า ชิดโกสุม !" เสียงชายหนุ่มพูดค่อย ๆ
ปทุมขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาลง
"อ้ายชิด ! เหตุใดท่านต้องทำตัวเยี่ยงนี้ ? ตะวันพลบแล้ว กลับมานั่งอยู่ในที่ที่ไม่ควรนั่ง"
ชายที่เธอได้เจอในถ้ำเมื่อเย็นวาน ยังนั่งอยู่ที่เดิม ส่งแต่เสียงสนทนา
"ข้ามีเรื่องต้องให้เจ้าช่วยเหลือ ข้าวแลงของเจ้า มีเหลือรึไม่ ?"
ปทุมกวาดตามองไปรอบ ๆ ลูกน้องของพันถูกสั่งให้เฝ้าข้างล่าง คงนั่งกันบนแคร่ไม้ข้างล่างนั่น
จากหน้าต่างห้องของเธอมองออกไป ไม่มีใครอยู่ในสายตา
เธอสนทนาตอบด้วยเสียงที่เบา
"อ้ายหิวรึ ? ผู้อื่นมิได้แบ่งข้าวแลงให้อ้ายรึ ? เหตุใดอ้ายจึ่งต้องมาขอจากที่นี่ ?"
"ข้าไม่สะดวกที่จะตอบคำถาม ถือว่า ข้าขอร้อง หากเจ้ามีห่ออาหารมากน้อยเพียงใดก็ตามแต่ หากจักมีแก่ใจมอบให้ข้า ข้าจักถือว่าเป็นบุญคุณอย่างยิ่ง"
ปทุมขมวดคิ้วอีกครั้ง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอพอจะนึกออกได้ว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้รับอาหารจากคนอื่น แต่ สิ่งที่เขาขอ ก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นสำหรับเธอ
"เช่นนั้น อ้ายรอข้าอยู่ตรงนั้น"
เธอเดินหิ้วตะเกียงกลับมา หยิบห่อใบบัวอาหารเย็นของเธอ
ในใจฉุกคิดได้ว่า ไม่ควรมีแสงไฟสว่างเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
ปทุมตัดสินใจวางตะเกียงไว้ในห้อง แล้วเดินถือห่อใบบัวไปที่ริมหน้าต่าง
เธอชะโงกหน้าพ้นหน้าต่าง อ้ายชิดยังนั่งอยู่ที่เดิม
"อ้าย ! มารับไปเถิด !"
ในความมืดมิด ชิดโกสุม ค่อย ๆ คลานจากริมระเบียง มาจนถึงหน้าต่าง
ปทุมยื่นห่อข้าวให้ เขายื่นมือรับ
"จักขอบใจเจ้า ! เสียดายเพลานี้เป็นคืนแรม ไร้แสงจันทร์ส่องให้ข้าเห็นความงามของเจ้า"
ปทุมสั่นหัว
"ไร้ข้าวเปิบ อ้ายยังไพล่มาเจ้าชู้ได้อีก จงรีบไปซัดข้าวเถิด"
"คืนแรมเยี่ยงนี้ มิมีผู้ใดห้ามข้าได้ดอก คืนนี้ ข้าคงได้เมียรามัญแถบนี้แหละ !"
"อ้ายพูดสิ่งใด ? ดึกสงัดปานนี้ จะหามีหญิงใดมาเดินเตร่ให้อ้ายเกี้ยว"
"มีสิ ! แต่ หาต้องเกี้ยวไม่ นังละอ่อนลูกสาวเจ้าบ้านแห่งนี้นั่นแล คืนนี้ จักตกเป็นเมียของข้า"
ปทุมหัวเราะหึ ๆ นึกเสียว่า กำลังคุยกับชายที่ไร้สติ
"อ้ายนี่ มักมากหาผู้ใดปาน อ้ายรู้จักที่แห่งนี้ด้วยรึ ? เหตุใดจึ่งรู้ว่า บ้านนี้มีลูกสาว ?"
"ละอ่อนบ้านนี้ เรียกร้องให้ข้ามาเป็นผัวอยู่นาน ทำไมข้าจักไม่รู้ ?"
ปทุมสั่นหัวอีกครั้ง เธอไม่อยากจะสนทนากับชายไร้สาระแบบนี้อีกต่อไป
"มิใช่เวลาอันควรสนทนากับอ้ายแล้ว ข้าขอตัวก่อน"
แล้วเธอก็เอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง
**********************************************************************************
นิทานสิบแคว้นที่สิงดีเล่าในวงอาหารท่านสมิง สนุกสนานครึกครื้น และ เต็มไปด้วยสาระ มากกว่าที่ตลาดสะเทินไม้มากนัก
โกเมน....สหายพราหมณ์วัยกลางคนท่านหนึ่ง เป็นนักปราชญ์จากเมืองหลวง เข้านอกออกในราชวังอยู่สม่ำเสมอ เพราะมีสังคมเป็นเหล่าปุโรหิตของพระเจ้าตวันอธิราช ได้เล่าเรื่องราวเพิ่มเติมมากมาย ผลัดกันถาม ตอบ ระหว่างตัวเขา และ สิงดี
เหล่าคนฟังก็ได้รับอรรถรสยิ่งขึ้น
เมื่อสิงดีเล่าเรื่องช้างเผือกสารเศวตคชสาร ที่เดินข้ามแดนจากนานเยว์มาเจนปุระ สมิงก็ชี้มือไปที่สหายพราหมม์โกเมน แล้วถามขึ้นว่า
"โกเมนสหายรัก ! ในวัง พ่อหลวงทรงมีความคิดเห็นประการใดกับเหตุการณ์อันเป็นกำสิเนแห่งสุวรรณภูมิ ณ เพลานี้ ?"
พราหมณ์โกเมน ขมวดคิ้ว ไตร่ตรองเพียงอึดใจ แล้วพูดขึ้น
"ความที่พวกท่านจักได้ยิน อาจแปลก แต่ข้ามิได้ยินว่า พ่อหลวงทรงเสวนา ถามไถ่ถึงช้างเผือกเชือกนี้ เท่าใดนัก
อาจมีแค่ครั้งหนึ่ง ที่ปุโรหิตเล่าว่า พ่อหลวงเมื่อทราบข่าวช้างเผือกเดินข้ามแดนไปยังเจนปุระ ท่านทรงพระสรวล แล้วกล่าวเพียงประโยคเดียวว่า
อันความเกรียงไกรแห่งแผ่นดินใดแผ่นดินหนึ่งนั้น จะตั้งมั่นอยู่ได้ ก็ด้วยความกล้าหาญ แล ความสำนึกรักในแผ่นดินของผู้คนในขันทสีมานั้น หาใช่ด้วยเพียง สัตว์ตัวหนึ่งมาปักลำเนาไม่"
แดงเผลอตัว เอื้อมมือไปจับข้อมือเป็ง แล้วบีบอย่างแน่น เป็งเขย่าข้อมือ
"นังแดง ! อะไรรึ ?"
แดงหันหน้ามามองเป็ง แล้วยิ้มด้วยความสะใจ
"ไม่แปลกใจเลย ทำไมข้าถึงรักท่านนัก"
เสียงของแดงดังพอสมควร
สมิงหัวเราะลั่น ชี้นิ้วมาที่แดง
"เจ้าชื่อไร อีหนู ?"
แดงส่งยิ้มให้ท่านสมิง แล้วตอบ
"ข้าชื่อแดง เจ้าค่ะ !"
"เจ้าเป็นชาวปะทุมดี เหตุใดจึ่งกล่าวว่า เจ้ารักในพ่อหลวงแห่งทวารวดี ?"
พันจ้องตาเขม็งมาที่นังแดง แต่แดงไม่ได้มองไปทางนั้น เธอตอบทันที
"เมื่อไพร่ฟ้าเป็นสุข บ้านเมืองย่อมเป็นสุข ผู้ครองนครย่อมเป็นสุข มิใช่ในทางที่กลับกัน"
ทุกสายตาหันมาจ้องที่หน้านังแดง
พันถอนหายใจยาว เขาอาจจะคิดผิดเสียแล้วที่อนุญาตให้นังแดงมาร่วมกินอาหารเย็นที่เรือนแห่งนี้
สหายพ่อค้าของท่านสมิง ถามขึ้น
"ทางที่กลับกัน หมายถึงสิ่งใดรึอีหนู ?"
แดงตอบอย่างฉาดฉาน
"ทางที่กลับกัน หมายถึง ผู้ครองนครอาจคิดว่า ฉันต้องเป็นสุขก่อน แล ไพร่ฟ้าเมื่อเห็นว่าฉันเป็นสุข ก็จักมีความสุขตามไปด้วย"
พ่อค้าคนเดิมถามต่อ
"แล้วเจ้าพูดขึ้นมาด้วยเหตุใด ? เกี่ยวข้องกับที่ท่านสมิงถามเจ้าประการใด ?"
แดงเชิดหน้า
"ท่านสมิงถามว่า เหตุใดข้าจึ่งกล่าวว่า รักพ่อหลวงแห่งทวารวดี ข้าจึ่งตอบด้วยวลีเหล่านั้น"
หลายคนมีสีหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม
พันพูดขึ้น
"อย่าถือสาเด็กเมื่อวานซืนเลย ! พูดจามิรู้ความ !"
จู่ ๆ พราหมณ์โกเมน ก็ยันกายลุกขึ้นยืน ทุกคนมองมาที่พราหมณ์
"ข้าขอดูหน้าอีหนูนี่ชัด ๆ หน่อย ! เจ้าเป็นลูกเป็นเชื้อผู้ใด ?" เขาถามพร้อมจ้องไปที่หน้าของนังแดง
สหายพ่อค้ารามัญขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นปราม
"ช้าก่อน ท่านพราหมณ์ ! ข้ายังมิเข้าใจคำตอบของนังแดง วลีเหล่านั้น เกี่ยวข้องกับคำถามที่ท่านสมิงถามประการใด ?"
พราหมณ์มีสีหน้าขึงขัง ตอบด้วยเสียงที่ดัง
"ก็ที่ข้าลุกขึ้นยืนนี่ ด้วยเพราะ วลีที่นังหนูตอบนั่นแล มีผู้ใดในที่นี้ รู้ความบ้างว่า วลีที่อีหนูนี่กล่าว มาจากแห่งใด ?"
ทุกคนสั่นหัว แล้วมองหน้ากัน
สมิงเจ้าบ้าน ถามกลับไปที่โกเมน
"ท่านรู้รึ ? ท่านรู้ก็เฉลยมาเสียสิ ลุกขึ้นยืนทำสีหน้าปั้นปึ่ง พาลทำอีหนูนี่กลัวเบาเล็ด"
แดงไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไร ยังมีสีหน้าเปื้อนยิ้ม
พราหมณ์ถอนหายใจสั้น แต่แรง มองหน้าไปที่สมิง แล้วตอบ
"ก็อีหนูนี่ เพิ่งกล่าววลีของ พ่อหลวงตะวันอธิราช อย่างถูกต้องครบถ้วนกระบวนความ" แล้วหันมาจ้องหน้านังแดงต่อ
"เอ็งไปรู้วลีนี้มาจากที่ใด อีหนู ?"
แดงหันมามองหน้าพัน ผู้นำคณะปะทุมดีสั่นหัวยิก ๆ หรี่ตา แดงรู้ตัวทันทีว่า ไม่ควรปริปากพูดอะไรออกไปอีก
แต่สายตาทุกดวง จ้องไปที่หน้าสาวน้อยแห่งปะทุมดี
ท่ามกลางความเงียบงันชั่วครู่ สิงดีก็หัวเราะขึ้นอย่างดัง
"ฮ่า ๆๆๆๆ !" เปลี่ยนสายตาของทุกผู้คนให้มามองเขาแทน
"นังหนูนี่มันความจำดี ! ข้าเองแหละ ที่กล่าววลีนั้นไว้ เมื่อวันวาน ณ บ้านสะเทินไม้
พวกท่านก็รู้ ข้าเป็นพ่อค้าเร่ที่มีชื่อเสียง พบปะผู้คนมากมาย วลีเหล่านั้น ข้าได้ยินมาจากราชบริพาลของพ่อหลวงท่าน ข้าก็ได้เล่าไปในทุกที่
วันวานนั้น อีหนูแดงนี่ คงนั่งฟังอยู่ด้วยกระมัง"
สิงดีตะโกนถามมาที่แดง
"ใช่รึไม่ อีหนู ?"
แดงรีบพยักหน้า
พันถอนหายใจเฮือกยาว
สมิงกวักมือให้สหายพราหมณ์นั่งลง
โกเมนทรุดตัวลงนั่งตามเดิม แล้วสนทนากับสิงดี ต่อหน้าวงอาหารทั้งหมด
"นิทานเรื่องคชสารที่ท่านเล่า ล้วนมีความพ้องกับเรื่องจริงอยู่หลายประการ สำหรับข้าแล้ว ท่านถือว่าเป็นนักเล่านิทานสิบแคว้นที่เชื่อถือได้อย่างยิ่ง"
สิงดียิ้มแล้วก้มหัวให้เล็กน้อย
"ความเป็นจริงที่มากไปกว่านั้น คงต้องเดือดร้อนท่านพราหมณ์ผู้ประเสริฐ สาธยายเพื่อเพิ่มความกระจ่างให้ข้าด้วยเถิด"
พ่อค้าปากปราศัย ใส่คำยกย่องเล็กน้อย
โกเมนยิ้มที่มุมปาก
"คชสารเชือกนี้ จริงอยู่แล เดินข้ามจากนานเยว์ไปในแดนเจนปุระ
กระนั้นแล้ว อ๋องแห่งนานเยว์ก็หาวางมือไม่ กลับส่งตรีฑูตมาเข้าเฝ้าพ่อหลวงแห่งทวารวดี ด้วยเชื่อว่าพ่อหลวง มีทั้งบุญบารมี ช้างเผือกอาจจะมุ่งหน้ามาปักลำเนาในแดนนี้ได้ นานเยว์ยินดีส่งควาญช้างที่ชำนาญ มาช่วยกำราบช้าง แล้วถวายให้กับพ่อหลวง ถือเป็นการแสดงไมตรีจากนานเยว์"
สมิงหัวเราะเสียงดัง
"ประหลาดดีแท้หนอ ! ช้างเผือกยังอยู่ ณ เจนปุระ เหตุใดนานเยว์จึ่งต้องมาช่วยทวารวดีกำราบช้าง ? ท่าทางข่าวที่ร่ำลือว่า นานเยว์อาจจะเปิดสงครามกับเจนปุระ คงจะมีมูลอยู่ไม่น้อย"
สมาชิกในวงอาหาร ต่างก็พยักหน้า คำพูดของสมิงมีเหตุผลอยู่
โกเมนพยักหน้า
"มิผิดเลย สมิงท่าน ! อ๋องแห่งนานเยว์รู้ดีแก่ใจว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนานเยว์ และ ทวารวดีนั้น จะขนาบข้างสองแนวของแคว้นเจนปุระเป็นมั่น ดุจกำแพงที่แม้นหากบีบพร้อมกันเมื่อใด เจนปุระคงต้องแหลกไปเมื่อนั้น
คชสารเศวตฉัตร หากแม้นมิได้ตกอยู่ในมือของนานเยว์ แต่ ต้องไม่ตกอยู่ในมือของเจนปุระเด็ดขาด
หากเจ้านครเจนปุระ ได้ช้างเผือกไปครอง กำลังใจของชาวเจนปุระ แล ไพร่พลทหาร จะฮึกเหิม จะอาจจะรุกฝ่าดินแดนแถบใดแถบหนึ่ง หาทางออกทะเลจนได้ ซึ่งมิเป็นผลดีต่อนานเยว์ ด้วยจะเสียทั้งกำลังการต่อรองทางการค้ากับโพ้นทะเล แล กำลังการทำศึกในน่านน้ำ ง่ายสำหรับเจนปุระในการขอกำลังสมทบจากพันธมิตรโพ้นทะเล"
สหายพ่อค้ารามัญตบโต๊ะเบา ๆ
"มิน่าเล่า ! หมากที่นานเยว์ใช้ จึงดูสมเหตุเป็นอย่างยิ่ง หากนานเยว์ปิดทางออกทะเลที่เหลือ โดยการเป็นพันธมิตรกับปะทุมดี เจนปุระย่อมหมดทางเลือก"
โกเมนพยักหน้า
"ท่านหย่านมองเช่นนั้นก็ตรงกับความเป็นจริง นานเยว์ต้องการผูกสัมพันธ์กับปะทุมดีให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ฑูตของนานเยว์ประสงค์จะให้พ่อหลวง เป็นตัวกลางในการเจรจา สู่ขอองค์หญิงศรีวรรณแห่งปะทุมดี เพื่อแต่งงานกับ ท่านชายหูปิง บุตรชายของอ๋องแห่งนานเยว์"
สมิงตบโต๊ะบ้าง
"นั่นปะไร ! ช่างสนุกเสียจริง ! แล้วสำเร็จรึไม่ ?"
โกเมนสั่นหัว
"หามีความคืบหน้าไม่ ! พ่อหลวงทรงไม่ตอบรับ ไม่ตอบปฏิเสธ ท่านชายหูปิง จึ่งไปเยือนปะทุมดีด้วยตนเอง เมื่อศกที่ผ่านมา"
สมิงถามต่อ
"แล้วสำเร็จรึไม่ ?"
โกเมนสั่นหัวอีกครั้ง
"ไม่สำเร็จ ! มีล่ามเจ้าปัญหาผู้หนึ่ง ทำการให้ฉิบหาย เกือบทำให้สองแคว้นหมองใจกัน ชะบุญที่ท่านดาบสแห่งสุวรรณภูมิ เมตตาช่วยสะสางให้"
พราหมณ์หันไปหาสิงดี
"สิงดี ท่านก็ได้ข่าวเรื่องนี้ใช่รึไม่ ?"
สิงดีตอบ
"เป็นดั่งนั้น ! ข้าทราบมาว่า ภายหลัง องค์หญิงศรีวรรณไม่คิดติดใจถือสาในเหตุการณ์นั้น ทั้งสองแคว้น ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ส่วนล่ามเจ้าปัญหาผู้นั้น ถูกท่านดาบสสาปให้กลายเป็นสัตว์"
เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากวงอาหารของเหล่าสตรี
โกเมนเลิกคิ้ว
"มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ ? ข้ามิเคยได้ยิน ! แต่ก็สมควรแล้ว ! ล่ามผู้หนึ่ง ไร้กาละเทศะ อาจก่อสงครามให้คนนับร้อยนับพันต้องตาย ไม่โดนตัดหัว ก็นับว่าบุญโขแล้ว"
"พ่อข้า ! พ่อข้า !" ทอหรุ่ยที่นั่งฟังอยู่ในวงของสตรี ยกมือขึ้น
เจ้าบ้านชี้มือไปที่ลูกสาว
"ทอหรุ่ย มีเรื่องอันใด ? กล่าวมา !"
"ข้าเคยได้ยินคนร่ำลือว่า องค์หญีงศรีวรรณนั้น งามขนาด มีผู้ใดเคยปะพระพักตร์ของนางบ้าง ?"
สมิงพยักหน้ารับ เห็นด้วยในคำถามที่ลูกสาวตั้งขึ้น หันหน้าไปทางสิงดีคนแรก
สิงดีขมวดคิ้ว
"ข้าเคยปะในระยะไกล เมื่อครั้นยังทรงพระเยาว์ มิใคร่จะชัดเจนนัก"
เจ้าบ้านหันไปหาพราหมณ์โกเมนบ้าง
"ท่านล่ะ โกมน ?"
พราหมณ์จากเมืองหลวง สั่นหัว
"มิเคยได้มีโอกาสเยี่ยงนั้น ! เมื่อคราพระราชธิดาทั้งสองพระองค์ องค์ศรีวรรณ กับ พระขนิษฐานรีนัด เสด็จมาเยือนพ่อหลวง ข้าเองก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ณ ขณะนั้น ได้ยินแต่คำร่ำลือว่า องค์พี่มีพระโฉมงดงามยิ่งนัก ส่วนองค์น้องยังทรงพระเยาว์ มีนิสัยร่าเริง
แต่นั่นก็หลายศกผ่านมาแล้ว บัดนี้ ทั้งสองพระองค์คงเจริญพระชันษาเป็นสาวรุ่น"
พราหมณ์นึกได้ ก็หันมาทางพัน
"มิใย ถามท่านพันแห่งปะทุมดีมิดีกว่ารึ ? ท่านพันเคยมีโอกาสปะองค์หญิงของแคว้นท่านเองรึไม่ ?"
พันสั่นหัวทันที
"ข้ามิใช่คนที่คลุกคลีกับในวัง มิมีบุญที่จะได้ปะกับผู้สูงศักดิ์เช่นนั้น ข้าเองไม่ใคร่จะสนใจเรื่องในรั้วในวังเท่าไหร่ ความรู้จึงน้อย"
สมิงมะละเมิงหัวเราะเบา ๆ
"ท่านสนใจสิ่งใดรึท่านพัน ? ในวงนี้มีทั้งผู้มากด้วยวิชา คงจักต้องมีสักผู้หนึ่ง ที่สนทนาพาทีกับท่านได้"
พันส่งยิ้ม พูดด้วยความถ่อมตน
"ความรู้ของข้านั้นน้อยนัก ยากที่จะเทียบได้กับเหล่าสหายของท่านสมิง ถ้ามีเรื่องที่ข้าสนใจอยากจะขอวิชา ก็จักเป็นเรื่องเกี่ยวกับลัทธิขององค์สัมมา ฯ"
พราหมณ์โกมนสะดุดหู ทักขึ้นทันที
"ท่านหมายถึง พุทธศาสนา ใช่รึไม่ ?"
พันพยักหน้า
โกเมนถามต่อ
"ช่างดีจริง ! มีคนสนใจเรื่องศาสนา ท่านพันว่ามา ท่านสนใจใฝ่รู้สิ่งใดของศาสนาพุทธ ?"
"ข้าอยากให้ผู้รู้ เล่าเรื่องคัมภีร์เทียบที่พระโสณะกล่าวทำนายไว้ ด้วยข้าเองเพียงแค่เคยได้ยินผ่านหู แต่มิทราบแน่แท้ว่า มันคือสิงใด มีความสำคัญกับผู้ใด ด้วยเหตุใด"
โกเมนพยักหน้ารับฟัง
"สิ่งที่คำร่ำลือเรื่องคัมภีร์เทียบนั้น ร่ำลือกันเยี่ยงไร ? ผู้ใดรู้จงกล่าวมา ข้าจักเสริมให้ตามสมควร"
สหายพรานป่ารามัญพูดขึ้น
"ข้าเคยได้ยินจากสหายชาวทวารวดีว่า ชาวทวารวดีที่นับถือศาสนาพุทธ ยากนักที่จะแตกฉานในคัมภีร์สามตะกร้าอักขระขอมจารด้วยภาษารามัญ จำเป็นต้องพึ่งพาปราชญ์ชาวรามัญเพื่อแปลความให้ชาวทวารวดีเข้าใจ เช่นนี้ ชาวทวารวดีแท้ จึ่งยากนักที่จะเรียนธรรมะขององค์สัมมา
กาลต่อมา เมื่อพระโสณะได้เสด็จเป็นสังฆฑูตมาเยือนเมาะตะมะ ท่านเคยทำนายไว้ว่า มิเพียงแต่ชาวรามัญเท่านั้น แต่ดินแดนสุวรรณภูมิทั้งหมด จะรุ่งเรืองไปด้วยพุทธศาสนิกชน เมื่อคัมภีร์เทียบอุบัติขึ้น
ข้าได้ยินเพียงเท่านี้ มิสามารถขยายความเพิ่มเติมได้
คัมภีร์เทียบ ณ เพลานี้ ยังเป็นคัมภีร์ที่ไร้ตัวตน หาผู้ครอบครองมิได้ แต่ ก็เป็นที่ค้นหาของชาวสุวรรณภูมิทั่วไป
แต่ สำหรับหมู่เราชาวรามัญแล้ว มิน่าจะได้ประโยชน์สิ่งใดจากคัมภีร์นั้น เพราะ หากหมู่เราต้องการศึกษาคัมภีร์สามตะกร้า ก็สามารถอ่านเข้าใจความได้เป็นปกติอยู่ หาได้ต้องการคำอธิบายอื่นใดไม่
ผู้ใดรึ เป็นผู้จารคัมภีร์เทียบ ? มีผู้ใดตอบได้บ้างว่า ที่มาของคัมภีร์เทียบ มาจากที่ใด ?"
พ่อค้าหย่าน ยกมือ ขอพูดบ้าง
"ก็คัมภีร์สามตะกร้านั้น มาจากผู้ใดเล่า ? คัมภีร์เทียบ ถ้าแม้นจะมีความหมายถูกต้องตามต้นตำรา ก็ยอมมาจากแหล่งเดียวกัน"
พรานป่าถามกลับ
"ท่านหมายความว่า คัมภีร์เทียบนั้น มาจากพระโสณะเช่นกัน นั้นรึ ?"
พ่อค้าหย่านพยักหน้า
"ข้ารู้มาเช่นนั้น ! เมื่อพระโสณะ และ พระอุตตระเสด็จจากเมาะตะมะ มาเป็นพระราชอาคันตุกะของพ่อหลวงตะวันอธิราช พระโสณะเมื่อได้เหยียบดินแดนทวารวดีแล้ว พ่อหลวงได้ถามถึงอนาคตของดินแดนนี้ พระโสณะ ได้ทำนายกาลล่วงหน้าไว้หลายวาระ
พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนนี้ จักเจริญรุ่งเรือง
พ่อหลวงแย้งว่า มิใช่ง่ายนัก เหตุเพราะชาวทวารวดีส่วนใหญ่ มิได้แตกฉานในภาษารามัญ พระโสณะ ท่านจึ่งสงเคราะห์ เข้ากรรมฐานทรงคัมภีร์สามตะกร้า แล้วให้ผู้ติดตามจารภาษาใหม่ ที่ชาวทวารดีอ่านแล้วเข้าใจ
คัมภีร์ใหม่นี้ เรียกว่า คัมภีร์เทียบ ชาวทวารวดีที่รู้อักขระทุกผู้ อ่านแล้วจักเข้าใจ
ระหว่างพระสงฆ์ที่เป็นสาวกของพระโสณะ กำลังเดินทางไปถวายคัมถีร์นี้แก่พ่อหลวง ปรากฏว่าเกิดพายุห่าใหญ่ พัดพาคัมภีร์นี้ หายไปจากพระสงฆ์กลุ่มนั้น




(ตะเลง แปลว่า ชาวมอญ, ชาวรามัญ)
พัน กับ ปทุมหัวเราะในคำตอบที่ตรงไปตรงมาของนังแดง
ชาวมอญไม่เดินเหยียบเงาพระสงฆ์
ทุ่งตะเลงเป็นชุมชนของชาวรามัญ คนที่มีฐานะก็จะมีกุฎาคาร
เติงกุนระอ่าว (ขอบคุณครับ)
มะเงยระอาว (สวัสดี)
อัวชันเก๊ะกาวโม่น_ฉันรักชนชาติมอญ
คนมอญเรียกทานาคาว่าฮะเจะ แปลว่าแป้ง มอญบางพื้นที่เรียกว่า จรอน แต่
สะเมิง (สมิง)
จั่วขวางตะวัน
"อะรอจก์กาเบอ" แปลตรงตัวว่า "พริกกะเกลือ"
แพทตึ้ลบความจำได้
กะน็อบ"ของมอญก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งก็คือผักแกล้มน้ำปลาร้า
ฮะบอน (ยาง) จอมงา (กระดังงา) กาวซอน (ดอกไม้เงิน) ทออู (ทองสุก) ทอหรุ่ย (ทองเลือก) ทอดำ (ทองแท้)...
***********************************************************************************
1< อ่านหน้า > 2, 3, 4, 5
สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่
กลับขึ้นด้านบน อ่านตอนอื่น
|