ตอน 42 หน้า 3

ผจัญบุตร กับ จุลินทร์นาคราช (3)

ทุ่งตะเลง

 

 

ยามโพล้เพล้มาเยือนแล้ว แสงแดดรำไรกำลังจะลับป่าละเมาะ

สิ่งที่พันสันนิษฐานไว้นั้น ไม่ผิด  ลูกน้องของสมิงมะละเมิง เจอศพทหารเจนปุระอีกนาย  นอนตายอยู่ห่างจากที่พบศพแรกเกือบห้าร้อยก้าว

แต่ศพนี้ มีสาเหตุการตายต่างออกไป  รอยเขี้ยวอสรพิษที่แข้งขวาหนึ่งแห่ง  ที่น่องโคนขาซ้ายด้านหลังอีกหนึ่งแห่ง เป็นประจักษ์อย่างชัดแจ้ง

สิงดีกระซิบคุยกับชีวัม  ท่าทางแขกชีวัมก็ประหลาดใจ

พันเดินเข้ามาขอสนทนาด้วย  เขาพูดด้วยเสียงที่เบา เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน

"สิงดี  ที่ท่านกล่าวไว้เมื่อครั้นปะกับศพแรกนั่น อาจจะโจทก์มิได้กับศพนี้   รอยเขี้ยวนี้ คือ รอยของงูพิษ มิใช่การถูกรัดด้วยงูใหญ่"

สิงดีพยักหน้าช้า ๆ  เขาเองก็อธิบายไม่ได้

"ข้าเองก็จนปัญญา  แต่ศพแรกนั่น กระดูกหักเยี่ยงนั้น  ท่านคิดว่าเป็นเพราะสิ่งใด ? ช้างกระทืบรึ ?"

พันขมวดคิ้ว  สั่นหัวทันที

"ช้างกระทืบคงมิทิ้งรอยจ้ำรอบตัวเยี่ยงนั้น  ข้ายังเชื่อตามท่านว่า ศพแรกนั้น ถูกรัดด้วยงูใหญ่  แต่ศพนี้ กลับถูกงูพิษกัด

ช่างประหลาดดีแท้  งูสองตัวต่างเล่นงานทหารเจนปุระ 

เมื่อท่านอ้างว่า งูตัวหนึ่งมาจากเกวียนของท่าน แล้วงูพิษอีกตัวเล่า มาจากที่ใด ?

เหตุใด งูสองตัว จากสองถิ่น จึ่งจ้องเล่นงานทหารเจนปุระ ? แล้วหมู่เราบุกเข้าป่าละเมาะมาหลายสิบ  งูนั้นไม่จ้องคิดร้ายกับหมู่เราดอกรึ ?"

"จริงดั่งที่ท่านว่า  ยังมีอีกเรื่องที่ข้าสงสัย  สาวสองนางนั่นล่ะ ถูกทหารที่เหลือจับไปแล้วหรือไร ?"

พันตอบด้วยสำเนียงที่เรียบ

"ใช่กงการอะไรของหมู่เรา !  นี่คือแดนทวารวดี หาใช่บ้านกำเนิดของหมู่เรา  สองสาวนั่นก็สาวเจนปุระ  ข้าไม่มีกิจใดจักสนใจในเรื่องของผู้อื่น"

********************************************************************************

สมิงมะละเมิง ตัดสินใจให้ทาสรับใช้ในเรือน  ช่วยกันฝังศพทหารเจนปุระไว้ในป่าละเมาะ

ตัวเขาเองจำเป็นต้องรีบกลับเรือน เพื่อมาต้อนรับสหายรามัญที่จะมาร่ำสุราสังสรรกันในค่ำนี้

สางถูกเรียกให้ไปพบที่ชานนอกหน้าต่างของห้องสาว ๆ

เขายืนอยู่ที่ชานด้านนอก ขณะที่สาวทั้งหก อยู่ในห้อง สนทนากันผ่านหน้าต่าง

สางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่าละเมาะให้เหล่าสาว ๆ ฟัง  ต่างคนก็รู้สึกตกใจ และ หวาดกลัว

นังเป็งพูดขึ้น

"เจ้าสาง เจ้าเป็นชายที่เก่งกล้า เจ้าอย่าให้งูตัวใดเข้ามารบกวนพวกเราเด็ดขาด   เจ้ามีดาบ มีมีด มีไม้ ตีมันให้ตายเกลี้ยงถ้าปะเมื่อใด อย่าให้เหลือ"

สางหัวเราะ  เขากางมือออก

"นี่....  เหลือมนั่นโตขนาดนี้  ลำพังข้าคนเดียว แม้มีดาบ มีมีดก็คงหาฆ่ามันได้ไม่  คงจักต้องเกณฑ์คนเป็นสิบจึงจักกำราบมันได้"

ปทุมถามขึ้น

"อ้ายสาง ! สาวเจนปุระสองนางนั้น  พวกท่านได้เรื่องราวใด ๆ หรือไม่ ?"

"มิรู้เรื่องใด  ๆ ดอก !  อ้ายพันสั่งว่า ด้วยสถานะของหมู่เราที่กำลังรอนแรมอยู่ต่างแดน มิควรสู่รู้ ใส่ใจเรื่องผู้อื่น  ควรระมัดระวังตัวเพื่อปฏิบัติภารกิจ เดินทางไปให้ถึงสำนักดาบส  ถือว่าสำคัญเป็นเอก"

*************************************************************************

พลบค่ำ ตะวันลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน สมิงมะละเมิงส่งบริวารมาเชิญสิงดี และ นายพันไปร่วมกินอาหารค่ำที่เรือนหมู่

แดงกับสาว ๆ ตกลงจะติดตามพันไปร่วมมื้ออาหารที่เรือนของท่านสมิง มีแต่ปทุมเท่านั้น ที่ขอเก็บตัวพักผ่อนอยู่ที่ห้องตามลำพัง

พันจัดเวรยามเฝ้าเรือนไม้ ห้ามมิให้ผู้ใด เข้า หรือ ออก จากห้องของปทุมโดยเด็ดขาด

บริวารหนุ่มรามัญ ถือตะเกียงเดินนำคณะผู้มาเยือนไปยังเรือนหมู่

พัน เดิน คู่กับสิงดี นำหน้าคนติดตามของตัวเอง

แดง จัน เป็ง ดวง ดี เดินเกาะกลุ่มพูดคุยกระเซ้ากันอย่างครึกครื้น

สิงดีจับข้อมือพัน รั้งไว้ให้หยุด รอให้คนติดตามทั้งหมด เดินผ่านไป จนเหลือเขาเพียงสองคน

สิงดีจึงถามขึ้น

"หญิงนางนั้น เป็นใครกันแน่รึ ?"

พันมีสีหน้าประหลาดใจ

"นางใด ?"

"ปทุมนางนั่น !"

"ก็เป็นคนของท่านเศรษฐีแห่งปะทุมดี"

"นางสำคัญขนาดที่ท่านต้องจัดเวรยามเฝ้าเป็นพิเศษอย่างนั้นรึ ?"

"หาได้ไม่ พ่อสิงดี ข้าจัดคนเฝ้าสิ่งของมีค่าที่อยู่ในห้องนั้นต่างหาก"

"แต่นาง ก็ไม่น่าจะเป็นทาสี หรือ สาวรับใช้ทั่วไป ใช่รึไม่ ?"

"เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น ?"

"ก็ เหตุใดรึ อีสาวลูกชาวบ้านธรรมดา จึ่งรู้อักขระ ?"

คำถามนี้ทำให้นายพันอึกอัก

สิงดีพูดต่อ

"อีกทั้งวาจาก็บ่งบอกว่า นางน่าจะมีสกุล ข้าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า....."

"ท่านสงสัยสิ่งใด จงถามกับข้า อย่าถามหรือสนทนากับผู้อื่นใด"

"....ข้าสงสัยว่า นางจักเป็นบุตรีของท่านเศรษฐี ท่านจึ่งวางใจให้เป็นผู้พิพักษ์คัมภีร์นั้นระหว่างรอนแรม"

แสงไฟจากตะเกียงของสิงดี ให้ความสว่างเพียงพอที่จะทำให้เห็นสีหน้าอันกระอักกระอ่วนของนายพัน

พ่อค้าเร่ ตบหัวไหล่พัน

"เอาเถิดน่า ! ข้าพอจักเข้าใจ ลองให้โจรไพร่แถบใดล่วงรู้ว่า บุตรีของเศรษฐีตระเวนอยู่นอกลำเนา เป็นได้เกิดการลักพาไปเรียกค่าไถ่ การเช่นนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยในทุกแคว้น

อย่างไรเสีย ท่านก็ควรเตือนปทุมนางนั้น มิให้แสดงความรู้อักขระต่อคนแปลกหน้าเป็นอันขาด ถือว่าข้าเตือนด้วยความหวังดีแล้วกัน"

พันผงกหัวช้า ๆ

"จักขอบใจท่านในคำเตือน !"

"ไป ! ไปเปิบข้าวแลงกัน !"

******************************************************************************

สมิงมะละเมิงเป็นผู้ที่มีคนนับหน้าถือตาในเขตนี้ สหายรามัญที่มาร่วมสังสรรกันจึงมีแต่ผู้มีฐานะ คหบดี พ่อค้าผู้มั่งคั่ง และ นักปราชญ์

วงอาหารถูกแบ่งเป็นสามกลุ่ม นั่งล้อมเป็นวงกลม ท่ามกลางคบเพลิง และ ตะเกียงที่ตั้งอยู่รายรอบ

"เขากินอะไรกันครับ ? หน้าตาน่าอร่อย"

แอนดี้ถามขึ้น

ท่านลุงอธิบาย

"วันนี้อาหารพิเศษ ปกติคนแถบนี้ ก็จะกินข้าวตอก ข้าวแห้ง ผักต้ม น้ำพริก แล้วก็ของหมัก นาน ๆ ทีจะกินเสื้อสัตว์

ปาร์ตี้วันนี้ มีปลาหมัก มันก็คล้าย ๆ ปลาร้านั่นแหละ มีปลาเผา นี่ก็ถือว่าพิเศษแล้วนะ"

"ทำไมเขาไม่นั่งรวมกันล่ะครับ หญิงชาย ต้องแยกกัน ?"

"ประเพณีสมัยนั้น หญิงในบ้าน จะมาร่วมวงกินข้าวกับแขกไม่ได้

วงที่มีผ้าทอรองพื้นนั่น เป็นวงของเจ้าบ้านกับแขก ซึ่งต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น

วงถัดมา นั่งบนพื้นไม้ นั่นเป็นเหล่าหญิงในบ้าน เช่น บรรดาเมียของท่านสมิง สี่คนนั่น"

แอนดี้เบิกตาโต

"โห... เมียสี่คนเลย ! บางคนยังสาวอยู่ ไม่รู้เมียหรือลูก มองไม่ออกเลย"

"สี่คนนี่ยังไม่ครบนะ สมิงท่านนี้แกมีหน้ามีตา มีเมียเจ็ดคน อีกสามคนนี่ แกไม่ค่อยปล่อยให้ออกสื่อ แกชอบสี่คนนี้มากกว่า"

แอนดี้มองไปที่สาวหน้าตาสดใสวัยไม่เกินสิบเก้า แต่งกายในชุดสาวรามัญเสื้อทอแขนคลุมข้อศอก ผ้านุ่งยาวเกือบถึงตาตุ่ม มีสไบขลิบเงินพาดบ่า เกล้าผมมอญปักปิ่นทอง แก้มซ้ายขวามีรอยฮะเจะ (แป้งทานาคา) ปะอยู่พองาม

"คนนี้ไม่ใช่เมียแล้วเหรอครับ ? ลูกสาวเหรอครับ ?"

ท่านลุงทำหน้าเฉย ไม่ตอบ

"นี่ขนาดเห็นตอนกลางคืนนะ แสงไฟสลัว ๆ น่ารักน่าเอ็นดูจริง เป็นสาวใช้เหรอครับ ?"

ท่านลุงยังนิ่ง

"สาวใช้อะไรนะ สวยกว่าเมียเจ้าบ้านอีก ท่าจะไม่รอด อีกไม่นาน !" แอนดี้พูดต่อ

สหายพรหม ทนเก๊กหน้าไม่ไหว ก็ตะโกน

"ไอ้หน้าหม้อ ! จะกี่ชาติ แกนี่ไม่ทิ้งลายเลย เห็นอีหนูหน่อยไม่ได้ แกเล่นจะปีนบ้านไปหาเค้าหมด"

แอนดี้หัวเราะ ขมวดคิ้ว

"ผมไปทำอะไร ? ผมแค่ถามเท่านั้นเอง ก็ท่านลุง เล่นแนะนำเมียสี่คน แล้วก็หยุด อ้าว ! แล้วน้องคนนี้เค้านั่งติดกัน ทำไมท่านไม่แนะนำต่อล่ะ ? ปล่อยให้ผมถามทำไม ? ท่านเองแหละ ที่ทำตัวน่าสงสัย"

ท่านลุงไม่ตอบ

"หยิบ บอกะต๊าด แล อะนิงลาง มาตรงนี้เถิด ทอหรุ่ย !" เมียคนที่สามเริ่มสนทนากับสาวน้อยที่แอนดี้ติดใจ

เขาพูดขึ้นทันที

"พอสไว้ก่อนครับ ! อันไหนเป็นชื่อคนครับ มีสามคำ ผมฟังไม่ออก รบกวนท่านช่วยกรอย้อนหลังไปหน่อย"

"แหม พอเค้าพูดกับอีหนูนั่นหน่อย แกก็สนใจจะฟังเชียว !" น้ำเสียงสหายพรหมช่างประชดประชัน

"ผมสนใจ ท่านลุงเฉลยเลย ไอ้สามชื่อนั่น อะไรเป็นชื่ออะไรครับ ?"

"บอกะต๊าด คือ กระเจี๊ยบเขียว ไว้จิ้มน้ำพริก ส่วน อะนิงลาง คือ ผักปลัง ก็จิ้มน้ำพริกอีก

คำสุดท้าย ทอหรุ่ย คือ ชื่ออีหนูนั่น"

"ไว้จิ้มน้ำพริก ?" แอนดี้สวนขึ้น

"น้ำพริกบ้านแกน่ะสิ !" ท่านลุงสวนกลับทันที

แอนดี้หัวเราะชอบใจ "น้องทอหรุ่ยนี่ ถ้าเก็บไว้จิ้มน้ำพริกบ้านผมก็เยี่ยมเลย !"

แดง จัน เป็ง ดวง ดี ถูกจัดให้นั่งวงเดียวกับบรรดาภรรยาของสมิง และ ทอหรุ่ย

สิงดี กับ พัน นั่งวงเดียวกับท่านสมิง และ สหายอีกหกท่าน

น้ำจันท์ สาโท ถูกรินให้บริการแก่แขกเหรื่อตามรสนิยมของแต่ละคน

วงอาหารของเจ้าบ้าน มีเสียงครึกครื้นเป็นพิเศษ

คหบดีรามัญท่านนึง นั่งหาวหวอด ๆ น้ำตาไหลพราก สหายพ่อค้าอีกคน เห็นอาการนี้แล้วก็หาวตาม น้ำตาไหล

แอนดี้หัวเราะ

"สองคนนี้เป็นอะไรครับ ?"

ท่านลุงเพยิดหน้า "แกดูต่อไป !"

สมิงเจ้าบ้าน หัวเราะร่า

"อ้ายเงีย อ้ายหย่าน ปะหน้าก็เงี่ยนใส่กันเสียแล้ว ค่ำนี้ ข้ามียาดีมากองให้ พี้กันไปแกล้มด้วยมะตาดจักเป็นสุขเหลือล้น"

สองสหายเลิกหาว แล้วตีมือด้วยความดีใจที่จะได้สูบยาดีจากเจ้าบ้าน

ท่านลุงยักคิ้วให้แอนดี้

"เก็ทหรือยัง ? แกรู้จักมั้ย เงี่ยนยาน่ะ ?"

"อืม ! เก็ทแล้วครับ แล้วมะตาดคืออะไรครับ ?"

ท่านลุงทำจมูกหึ่ง แล้วบ่น

"ไม่รู้บ้าง ก็ไม่ตายหรอก !"

"อ้าว ! เออ ไม่รู้ก็ได้ !"

แอนดี้กลับมาสนใจเหตุการณ์ที่ทุ่งตะเลงต่อ

สมิงเจ้าบ้าน ลุกจากวงอาหารไปที่หน้าเรือน ยกมือไหว้หิ้งไม้สองแห่งบนเสาเรือน ถวายข้าวพระ ถวายข้าวผี แล้วเดินกลับมา

แอนดี้ถามขึ้น

"นี่เป็นประเพณีเหรอครับ ?"

"ใช่ ! คนมอญที่นี่น่ะ นับถือพุทธแล้ว ยกพระพุทธให้อยู่อันดับหนึ่ง คือ ก่อนกินข้าวนี่ ต้องถวายข้าวให้พระก่อน สมัยนั้นไม่มีพระพุทธรูป ก็แค่ตั้งข้าวไว้บนหิ้งแล้วจิตก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ส่วนหิ้งล่างนั่น ถวายให้ผีบ้าน ผีบรรพบุรุษ"

**********************************************************************************

จัน เป็ง ดวง ดี เปิบอาหารพร้อมกับสาวเจ้าบ้านที่ร่วมวงไปได้ประมาณครึ่งท้องแล้ว

ทอหรุ่ยทักขึ้น เมื่อเห็นสาวแดงไม่แตะต้องอาหารเลย

"เจ้าคนนั้น มิหิวหรืออย่างไรกัน ?"

แดงส่งยิ้มให้ลูกสาวเจ้าบ้าน

"ข้ายังไม่ได้รับอนุญาต"

ทอหรุ่ยพิจารณาที่หน้าตาผิวพรรณของแดง แล้วขมวดคิ้ว

"หน้าตาของเจ้า คงมิใช่ทาสี หากเป็นทาสีจริง ท่านสิงดีคงมิจัดให้เจ้ามาร่วมวงกับเหล่าข้าเยี่ยงนี้ เจ้าต้องรอคำสั่งผู้ใด ?"

แดงมองไปยังสาวร่วมคณะทั้งสี่

"รอพี่สาวข้าอนุญาต"

จันส่งสายตาให้เป็ง พยักหน้าให้เปิบปลาหมักที่อยู่ในใบตอง

เป็งเอื้อมมือไปเปิบเข้าปากทันที

ภรรยาสมิงที่นั่งติดกับทอหรุ่ย พูดขึ้นเบา ๆ ที่ข้างหู

"ทอหรุ่ยเจ้า อย่าซักถามให้มากความเลย ต่างบ้านต่างเมือง ก็ต่างประเพณี บ้านเขาอาจจะมีประเพณีที่ต้องให้พี่อิ่มก่อนน้องก็เป็นได้

เจ้าดูอย่างบ้านเรา ก่อนเปิบทุกมื้อ เรายังจักต้องถวายข้าวพระข้าวผีเสียก่อน บ้านเขาก็คงมิมีธรรมเนียมนี้ หมู่เขาก็อาจติว่าหมู่เราแปลก"

เป็งพยักหน้าให้จัน จันพยักหน้าตอบ แล้ว เธอก็หยิบใบบัวห่อข้าวของเธอที่มีอาหารเหลือ ยกไปวางไว้ที่บนตักของแดง

"นังแดง ! เจ้าเริ่มเปิบเถิด ข้าอนุญาตแล้ว !"

ภรรยาเจ้าบ้านที่อาวุโสที่สุดในวง มองแล้วทักขึ้น

"ที่ปะทุมดีมีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วยรึ ? น้องสาว จักต้องกินของเหลือของพี่สาว ?"

เป็งตอบ

"มิใช่ธรรมเนียมของเมืองดอก เป็นธรรมเนียมของบ้าน บ้านเรา ปฏิบัติกันเยี่ยงนี้"

**********************************************************************************

พันเปิบของทุกชนิดในถาดเข้าปากอย่างรวดเร็ว แล้วเขี่ยของที่กินเหลือไว้ในใบบัว

เมื่อได้เวลาพอสมควรแล้ว ก็ห่อใบบัว ขอตัวลุกขึ้นมาคุยกับสางที่ยืนคอยอยู่

"เอ็งนำห่ออาหารนี้ กลับไปให้นังปทุม"

สมิงมะละเมิงนั่งสังเกตอยู่ พลันโบกมือเรียก

"ท่านพัน ! ใยต้องเกรงใจกัน ข้าวปลามีมากมายเป็นพะเนิน ใยต้องให้ผู้อื่นกินของเหลือ ? ข้าจักให้บ่าวไพร่จัดถาดสำรับใหม่ให้คนของท่าน ท่านจักเอาสักกี่ถาด บอกมาเถิด !"

พันรีบหันมาปฏิเสธ

"เป็นไรมิได้ ท่านสมิง ! แค่น้องสาวธรรมดาผู้หนึ่ง อาหารห่อนี้ก็เพียงพอแก่นางแล้ว ขอขอบใจในความหวังดีของท่าน"

**********************************************************************************

 

 

 

 

(ตะเลง แปลว่า ชาวมอญ, ชาวรามัญ)

พัน กับ ปทุมหัวเราะในคำตอบที่ตรงไปตรงมาของนังแดง

ชาวมอญไม่เดินเหยียบเงาพระสงฆ์

ทุ่งตะเลงเป็นชุมชนของชาวรามัญ คนที่มีฐานะก็จะมีกุฎาคาร

เติงกุนระอ่าว (ขอบคุณครับ)

มะเงยระอาว (สวัสดี)

อัวชันเก๊ะกาวโม่น_ฉันรักชนชาติมอญ

คนมอญเรียกทานาคาว่าฮะเจะ แปลว่าแป้ง มอญบางพื้นที่เรียกว่า จรอน แต่

สะเมิง (สมิง)

จั่วขวางตะวัน
"อะรอจก์กาเบอ" แปลตรงตัวว่า "พริกกะเกลือ"

แพทตึ้ลบความจำได้

กะน็อบ"ของมอญก็เป็นเช่นนั้น ซึ่งก็คือผักแกล้มน้ำปลาร้า

ฮะบอน (ยาง) จอมงา (กระดังงา) กาวซอน (ดอกไม้เงิน) ทออู (ทองสุก) ทอหรุ่ย (ทองเลือก) ทอดำ (ทองแท้)...

***********************************************************************************

 1< อ่านหน้า > 2, 3, 4, 5

สั่งซื้อนิยายหมอเถื่อนรวมเล่ม คลิ๊กที่นี่

กลับขึ้นด้านบน  อ่านตอนอื่น 

 

 

 

 
Copyright © 2008, pendulumthai.com All rights reserved