วิลเลียม เฉิน มีอายุเพียงแค่สี่สิบ แต่ความสามารถ และ สติปัญญาก็สมกับตำแหน่งผู้บริหารที่เขาได้รับ

พนักงานทั้งหมดของกลุ่มไตรสรณ์ รู้จักวิลเลียม เฉิน ในฐานะกรรมการผู้บริหารในโควต้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของ COLI : ไชน่าโอเวอร์ซีส์ แลนด์ แอนด์อินเวสท์เมนท์ (China Overseas Land and Investment Ltd中國海外發展有限公司 )

ถึงแม้ COLI จะมีหุ้นอยู่ในส่วนของบีทีพร็อพเพอร์ตี้เท่านั้น ซึ่งเป็นแค่หนึ่งในธุรกิจมากมายของกลุ่มไตรสรณ์ แต่ชื่อเสียงของวิลเลียม เฉิน ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งกลุ่ม เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่าง ๆ วิลเลียม เฉิน จะออกสื่อคู่กับมัณฑนาเสมอ

ความว่องไวทางด้านความคิด และ ภาษาอังกฤษที่ฉะฉาน ทำให้คนในองค์กรเกรงใจ และ ประหม่าได้ง่าย ๆ เมื่อต้องประชุมกับผู้บริหารสายเลือดมังกรผู้นี้

การประชุมพิเศษในบ่ายวันนี้เริ่มตึงเครียดขึ้นมา เมื่อวิลเลียม ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุม แสดงความไม่พอใจกับท่าทีของสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม

ในครั้งนี้ ธรรม์ ถูกร้องขอจากวิลเลียม ให้เข้ามาสังเกตการณ์ นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวแรกติดกับวิลเลียม

เขาเคาะโต๊ะเบา ๆ ระหว่างที่ผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลกำลังแถลง เพื่อหยุดการพูด ทำให้ห้องเกิดความเงียบ องค์ประชุมเจ็ดคนหันมามองที่วิลเลียมคนเดียว

วิลเลียมพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

"ผมไม่ฟังที่คุณกำลังพูดอีกแล้ว ครั้งนี้ เนื้อหาที่คุณพูด ไม่แตกต่างอะไรกับครั้งที่แล้ว ทำไมผมต้องฟังมันถึงสองครั้ง ?

ผมไม่เข้าใจว่า พวกคุณเข้าใจหรือไม่ สิ่งที่ผมอยากเห็น คือ แค่กระดาษแผ่นเดียว แล้วตอบมาง่าย ๆ ว่า ค่าใช้จ่ายสี่หมวดที่ผมบอกไปครั้งที่แล้ว หมวดไหนเราจะลงทุนเอง หมวดไหนไม่คุ้ม ก็ให้เช่าใช้บริการต่อไป พวกคุณเข้าใจกันมั้ย ?"

สมาชิกบางคนพยักหน้า แต่บางคน ก็ขมวดคิ้ว อยากจะโต้เถียง

วิลเลียมกวาดสายตามองทุกคน

"หน้าตาของพวกคุณ เหมือนกับว่าไม่เข้าใจ ถ้าพวกคุณเข้าใจ ครั้งนี้ คงไม่พยายามอธิบายรายละเอียดขนาดนี้ เราใช้เวลาทำงานกันเปลืองมาก แค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้นที่ผมต้องการ แล้วลิสต์มาเลยว่า หมวดที่หนึ่ง คำนวณแล้ว คุ้มที่จะลงทุนเอง จัดจ้างพนักงานเอง ระยะเวลาคุ้มทุน เทียบกับเช่าใช้บริการ เป็นเท่านี้ หรือ เทียบแล้ว ระยะเวลาคุ้มทุนนาน และ เสี่ยง เลือกที่จะเช่าใช้บริการต่อไป

คุณทำเป็นรายงานหน้าเดียว แค่ สี่บรรทัด... จบ ผมมองทีเดียวก็ออก อยากจะใส่อัตราส่วนอะไรที่อยากให้ผมเห็น จะเป็น อาร์โอไอ หรือ จะสูตรไหน ผมไม่ได้บังคับ เชิญใส่มา

ผมเข้าใจผิดหรือไม่ว่า คุณเป็นผู้จัดการ ที่มีคนในแผนกทำงานให้ หรือ คุณทำงานกันเอง แล้วคนในแผนกกินเงินเดือนฟรี ๆ โดยไม่ได้ทำงาน ?

การถกเถียงกันถึงกิจกรรมของโครงการว่า มีอะไรบ้าง ใช้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ มันไม่ใช่หน้าที่คุณที่จะมาทำกันในห้องประชุมนี้ พวกนี้ มันเป็นหน้าที่ที่ลูกน้องของคุณ ต้องทำมาก่อนหน้านี้แล้ว แล้วนำเสนอออกมาเป็นตัวเลขให้คุณ คุณมีหน้าที่ตรวจสอบ แนะนำพวกเขา หากตัวเลขถูกต้อง คุณก็นำเข้ามาที่ประชุมนี้

ถ้าลูกน้องของคุณทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ เราจะได้ข้อมูลเป็นแค่ตัวเลข ไม่ต้องใช้เวลาถกเถียงกันเลย มองตัวเลขก็ตัดสินใจได้ เราคงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แล้วแยกย้ายกันกลับไปทำงานต่อ"

ผู้จัดการแต่ละคน กระพริบตากันปริบ ๆ

วิลเลียมหันไปหาธรรม์

"บางที คุณธรรม์อาจจะสื่อการกับพวกเขาด้วยภาษาไทย ดีมั้ย ว่าผมต้องการอะไร ?"

ธรรม์พยักหน้า เขาหันหน้ามาทางองค์ประชุม

"เดี๋ยวเสร็จประชุมนี้ ผมจะส่งฟอร์มไปให้ กรอกตัวเลขมา เท่านั้น จบ เอางี้ดีกว่านะครับ วิลเลียมไม่ได้ต้องการมาฟังรายละเอียดพวกนี้ เค้าไม่ได้ต้องการรู้รายละเอียด เค้าอยากรู้ว่ารวมสี่หมวดนี้ จะใช้เงินลงทุนเท่าไหร่ เพื่อเค้าจะตั้งงบ ขออนุมัติในบอร์ดไว้ล่วงหน้าสำหรับควอเตอร์หน้า ถ้าเราสรุปเลือกว่าจะเช่าใช้บริการหมด ไม่ต้องลงทุน เค้าก็ไม่ต้องตั้งงบลงทุน"

องค์ประชุมเริ่มพยักหน้า

ธรรม์รีบสรุป

"ถ้างั้นวันนี้ แยกย้ายกันกลับไปทำงานก่อนครับ ผมจะส่งไฟล์ไปให้ แล้วแค่กรอกกลับมา"

สมาชิกที่ประชุมทยอยกันเดินออกจากห้องประชุม คงเหลือแต่ ธรรม์ และ วิลเลียม

"ผมเชิญคุณเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ บางครั้งคุณก็ต้องช่วยผมสื่อสารภาษาด้วย คุณคงไม่รังเกียจนะ" ผู้บริหารจากจีนแผ่นดินใหญ่พูดขึ้น

"ไม่ครับ ! ยินดี !"

"แต่ ผมก็ไม่คิดว่าภาษาจะเป็นอุปสรรคนะ แต่วัฒนธรรมองค์กรนี่สิ อันนี้คุณคงเข้าใจ ผมว่าคุณช่วยผมได้"

"ได้ครับ ! ผมช่วยทำให้พนักงานเข้าใจคุณวิลเลียมได้แน่นอน"

"พนักงานเหรอ ? พวกเขาเข้าใจ หรือ ไม่เข้าใจผม ผมไม่สนใจหรอก แต่ผม ต้องการอ่านพวกเขา ผมอยากรู้ว่าพวกเขามีอะไรปิดบัง เรื่องนี้คุณธรรม์ช่วยผมได้ หวังว่าคุณจะช่วย"

"ทำไมคุณถึงคิดว่า พวกเขามีอะไรปิดบัง ?"

"คุณเห็นโครงการพวกนี้ที่ผมให้เขาทำสรุปมาว่า ตกลงจะลงทุนเอง หรือ ยังอยากจะเช่าใช้บริการต่อไป ใช่มั้ย ? ผมคิดว่า พวกเขาในที่ประชุมเมื่อครู่นี้ทุกคน รู้หมดว่าผมกำลังจะทำอะไร ครั้งนี้ พวกเขาถึงเเข้าประชุมโดยเตรียมคำอธิบายมามากมาย หวังจะโต้แย้ง ไม่ผิดสังเกตไปหน่อยเหรอ ? คุณมีอายุงานอยู่ที่นี่มานาน คุณคงรู้ว่าพวกเขากำลังปิดบังอะไร"

"คุณวิลเลียมมีอำนาจที่จะทำได้ ถ้าอยากจะสะสางเรื่องนี้ ต้องการให้ผมช่วย ขอผมคุยกับคุณมัณฑนาก่อน เรื่องนี้กระทบกับฝ่ายอื่นแน่นอน"

"อย่าเพิ่งกังวลว่า เรื่องนี้เท่านั้นที่กระทบ ตั้งแต่อาทิตย์หน้าจะมีการสะสางเรื่องแบบนี้ โดยใช้ที่ประชุมผู้บริหารระดับต้นเป็นเวที

ที่บีทีพร็อพเพอร์ตี้ มีการประชุมผู้บริหารระดับต้น ที่มีแต่ผู้จัดการกับหัวหน้างานเข้าประชุม โดยไม่มีผู้อำนวยการ อาทิตย์ละหนึ่งครั้ง จำนวนแผนก เจ็ดแผนก ไม่รวมแผนกธุรการ

หากในหนึ่งที่ประชุม มีเรื่องที่ต้องสะสางเฉลี่ยแล้วสามเรื่องต่อหนึ่งการประชุม สิ้นเดือนหน้า จะมีเรื่องราวที่เป็นประเด็นเกิดขึ้นมากกว่าสิบสองประเด็นต่อแผนก

ฝ่ายไหนที่ถูกกระทบ คุณไม่ต้องกังวลว่าเขาจะมีเวลามามีทัศนคติแง่ลบกับใคร เพราะ เขาคงต้องใช้โอทีทำงาน ถึงจะสะสางประเด็นที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้าได้ทันความต้องการของผม"

"ประชุมระดับผู้จัดการ คุณวิลเลียมจะลงไปนั่งประชุมเอง ?"

"ผม กับ คุณไง ใช่ ! ขอเพียงคุณไม่รังเกียจ ผมจะคุยกับคุณมัณฑนา ขอโอนย้ายคุณกลับมาที่บีที ฯ"

ธรรม์พยักหน้า

"ได้ ! หากคุณมัณรับรู้ และ ตกลง ผมยินดี แต่..... ทำไมถึงเป็นผม ? ผมอยุ่ในส่วนของกรุ๊ป ไม่ได้อยู่สังกัดบีที ฯ โดยตรง"

"ทำไมต้องเป็นคุณเหรอ ? อืม.... น่าคิด ! คุณลองคิดดูสิ ว่าถ้าไม่ใช่คุณ ควรเป็นใคร ถ้าคิดได้แล้ว พรุ่งนี้ค่อยบอกผมแล้วกัน แล้วผมจะบอกคุณว่า ทำไมต้องเป็นคุณ"

**************************************************************************************

สีหน้าของแม่ทัพหญิงแห่งธุรกิจไตรสรณ์ดูสงบผ่อนคลายเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา....

..... ไม่เหมือนกับที่กองเลขาหน้าห้องวิจารณ์ไว้ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดกับที่คาดไว้ เพราะบทบาทของเขา คือ คุณครูผู้มาให้ความรู้ ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาในองค์กรของเธอ การปฏิบัติตัวก็ย่อมจะแตกต่างออกไปเป็นธรรมดา

"เหล่าซือ ฉิ่งเวิ่น !" นักเรียนหญิงคนเดียวในห้อง ถามขึ้น

ครูหนุ่มพยักหน้า

"ครับ ! อย่าลืมคำว่า ซือ ต้องห่อลิ้นด้วยนะครับ จำได้มั้ยว่า พินอินของคำว่า ซือ สะกดยังไง ?"

มัณฑนาเขียนคำสะกดวิธีอ่านแบบพินอินด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ 'shi' ลงในกระดาษ ยื่นให้ครูแอนดี้ดู

"ใช่ครับ ! ถ้ามีตัวเอชประกอบด้วย ต้องห่อลิ้น อย่าลืมนะครับ ... ถามมาได้เลยครับ"

"ถ้าเราจะถามว่า เมื่อไหร่ จะพูดว่ายังไงคะ ? สมมุติ จะถามว่า เมื่อไหร่ถึงจะกลับ"

แอนดี้พยักหน้ารับรู้ เขาเขียนคำตอบลงในกระดาษก่อน แล้วสะกดพินอินคู่ไปด้วย ยื่นกระดาษให้นักเรียนดู

"ใช้คำนี้ครับ เสิ่นเมอสือโฮ่ว แล้วก็ตามด้วยประโยคที่อยากถามเลย เช่น เสิ่นเมอสือโฮ่วเยี่ยวหุยชวี่ ? จะถามว่า กลับมา หรือ กลับไปครับ ? สองคำนี้ความหมายไม่เหมือนกัน"

"เมื่อไหร่ จะกลับบ้านล่ะคะ ?"

"เสิ่มเมอสือโฮ่ว เยี่ยวหุยเจีย ตรง ๆ ไปเลย ถ้ากลับมา ใช้ หุยไหล ถ้ากลับไป ใช้หุยชวี่"

มัณฑนาพยักหน้า

"ไว้จะลองพูดกับวิลเลียม เฉิน"

"ได้เลย ! รับรองเค้าต้องทึ่งแน่ ๆ ที่ภาษาจีนของคุณมัณพัฒนาขึ้นแบบนี้"

แม่ทัพหญิงหัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหัว

"โอย ! พัฒนาอะไร ? แค่จำการอ่านออกเสียงพินอินก็แย่แล้ว พวกต้องห่อลิ้นไม่น่ากลัวเท่า ไอ้ตัว แซ่ด ซี เอส

จากครั้งที่แล้ว ที่เหล่าซือบอกให้สังเกตคำว่า เซี่ย ๆ ที่วิลเลียม เฉินพูด มัณเห็นความแตกต่างจริง ๆ ว่า มันไม่ใช่ ซ.โซ่ มันคล้ายช.ช้างมาก แต่ก็ไม่ใช่ช.ช้าง"

"ครับ ! ตัว เอ็กซ์นี่ คนไทยอ่านพลาดกันเกือบหมด คำที่ใช้พินอินด้วย เอ็กซ์นี่เยอะมาก สำคัญมากด้วย เช่น เซี่ย ๆ... ขอบคุณ เสี่ยว...เล็ก ซิน...ใหม่ เรียกว่า พูดกันทั้งวัน มีคำที่ต้องออกเสียง เอ็กซ์ ไม่ต่ำกว่าร้อยครั้งต่อวัน

แต่ ไม่ต้องกังวล แบบที่ผมบอกไปแล้ว คือ ความหมายประกอบของประโยค สำคัญกว่าการออกเสียงถูกต้อง หากต้องการให้คนฟังเข้าใจ ต้องพูดคำให้มากขึ้น ถ้ามีประโยค ให้พูดเต็มประโยค คนฟังจะตีความได้เอง เหมือนกับ ถ้าผมพูดว่า ผู้หยินคงนั้งน่าลักจัง คุณมัณฟังออกมั้ยครับ ?"

เธอพยักหน้า "ออกค่ะ !"

"ออกใช่มั้ยครับ ? ทั้ง ๆ ที่ผมพูดผิดเกือบทุกคำ แต่ฟังออก เพราะผมพูดเต็มประโยค แต่ถ้าผมพูดคำเดียวว่า ปวก ยังงี้รู้มั้ยครับ ผมจะพูดว่าอะไร ?"

นักเรียนหัวเราะ

"ปวก...!!! โอว... จะเดายังไงดี ปลวก แมลง เหรอคะ ? ต้องพูดมากกว่าหนึ่งคำน่าจะเดาได้"

"ปวกท้อง"

นักเรียนพยักหน้า "อ้อ ค่ะ ! ยังงี้เข้าใจ"

"ปัญหาเดี่ยว ๆ คือปัญหาอันยิ่งใหญ่ ปัญหาหลาย ๆ ปัญหารวมกัน กลับมีทางออกที่ยิ่งใหญ่กว่า"

มัณฑนาเลิกคิ้ว เธอไม่เข้าใจความหมาย แต่ ฟังดูเหมือนกับ เป็นอีกหนึ่งปรัชญาที่เธอจะได้เรียนรู้จากเหล่าซือหนุ่มคนนี้

"เหล่าซือ อธิบายหน่อยสิคะ ปัญหาหลาย ๆ ปัญหา รวมกันแล้วจะมีทางออกยังไง ?"

"เวลาเราเจอปัญหาหนึ่งเรื่อง ขบคิดหาทางออกไม่ได้ ลองเอาปัญหาที่เจอแล้วหาทางออกไม่ได้ มารวมกัน เราอาจจะมองเห็นทางออก"

คำอธิบายที่ได้ฟัง ทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว

"ยังไงคะ ? ยังไม่เข้าใจค่ะ"

เหล่าซือนึกถึงตัวอย่างที่จะอธิบาย นึกได้แล้วก็เริ่มสาธยาย

"ฝ้าเพดานชั้นล่างเป็นสีขาว แต่จู่ ๆ ก็มีรอยเปื้อนเป็นคราบสีดำ เช็ดเท่าไหร่ไม่ออก หาไม่เจอว่าใครไปทำอะไรถึงเปื้อนไปถึงเพดาน ซึ่งปกติ ก็ไม่น่าจะมีใครเอาอะไรไปสัมผัสเพดานอยู่แล้ว ปัญหานี้คิดไม่ออก

ปัญหาต่อมา กลางคืนมีเสียงปั๊มน้ำดังเป็นบางครั้ง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครใช้น้ำ ไม่รู้ต้นเหตุคืออะไร

สองปัญหา ลองเดาสิครับ ว่าต้นเหตุคืออะไร ?"

มัณฑนาเริ่มคิด คิดอย่างไรก็พูดมาอย่างนั้น

"สองปัญหานี้ไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะคนละแห่ง เพดานห้อง กับ ปั๊มน้ำ มันแยกกันอยู่คนละส่วนของบ้าน ไม่น่าจะเกี่ยวกัน นึกไม่ออกค่ะ"

"นึกไม่ออกเหรอครับ ? ปัญหามันน้อยไปล่ะสิ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นอีกหนึ่งปัญหา รับรองว่า คุณมัณจะรู้ทางออก"

"หือ !" นักเรียนเลิกคิ้ว

"ปัญหาต่อมาคือ ค่าน้ำประปาสูงกว่าปกติ"

นักเรียนผู้บริหาร เริ่มจับปัญหาทั้งสามมาเชื่อมต่อกัน แล้วนึกถึงความเป็นไปได้

เธอลองพูดคำตอบออกมา

"ท่อประปาแตก !...."

เหล่าซือเลิกคิ้ว เพื่อฟังคำตอบต่อ

นักเรียนพูดต่อตามที่ใจคิด

"..... แล้วน้ำก็ซึมลงเพดาน แสดงว่า ท่อแตกที่ชั้นสอง น้ำซึมลงเพดาน เราก็เลยมองเห็นบนเพดานชั้นล่าง มันเป็นรอยน้ำซึม ไม่ใช่รอยเปื้อน แล้วที่ปั๊มน้ำดัง ก็เพราะท่อแตกส่วนในของบ้าน น้ำในแท๊งก์ลดลง ปั๊มก็ทำงาน"

แอนดี้ปรบมือ

"ถิงเห่า ถิงเห่า ! เห่าปั้งเลอหนี่ !" (เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก ! คุณนี่สุดยอดเลย !)

มัณฑนามียิ้มกว้าง รู้สึกเหมือนได้รับรางวัลใหญ่

แอนดี้ถาม

"แล้วทำไม ปัญหาแรก แค่ปัญหาเดียว ถึงแก้ไม่ได้ ? พอมีสามปัญหา รู้ทางแก้เลย ?"

มัณฑนาพยักหน้าติด ๆ กัน

"ใช่ ๆ ! เพราะข้อมูลมันมาก เพียงพอต่อการวิเคราะห์"

"ครับ ! มันก็ทฤษฎีเดียวกันกับที่ผมอธิบายเรื่อง การอ่านพินอินไม่ชัด ถึงแม้มันจะเป็นปัญหา แต่ เราต้องโยนปัญหาหลาย ๆ อย่าง ให้คนฟังตัดสินใจ เค้าจะรู้ความหมายเอง อย่าไปพูดคำเดียวแล้วไม่ชัด ถ้ามันไม่ชัด ก็พูดให้มันเป็นประโยคไปเลย สุดท้าย คนฟังรู้ความหมายเอง"

นักเรียนทวนความเข้าใจ

"ปัญหาหลาย ๆ ปัญหา ถ้านำมารวมกัน บางทีเราอาจวิเคราะห์ต้นเหตุได้ มันอาจจะเห็นมุมมองที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน"

แอนดี้พยักหน้า

"ครับ ! ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนเป็นจิ๊กซอว์ มันไม่ได้เกิดขึ้นเดี่ยว ๆ แล้วจบกันไป มันมีทั้งซีเรียล และ พาราเลล คือ เกิดต่อเนื่อง และ เกิดคู่ขนาน มองภาพย่อย แล้วถอยมาดูภาพรวม ภาพอาจจะเห็นชัด คนที่เห็นภาพรวมชัด จะรู้ว่า ทุกเหตุการณ์ ไม่ว่าแบบซีเรียล หรือ พาราเลล มันเป็นแค่กระบวนการเล็ก ๆ ของ ซีเรียลใหญ่ พาราเลลยังไงก็เป็นซับเซตของซีเรียลอีกที อยู่ดี"

"พาราเลล ยังไงก็เป็นซับเซตของซีเรียล !" เธอทวนคำ แล้วสมองอันฉับไว ก็คิดออกว่า มันคือความจริงว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันย่อมมีเหตุอื่นนำมาก่อนเสมอ

มัณฑนากำลังคิดถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต อะไรดลใจให้เหล่าซือผู้นี้ พูดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา เธอก็ตอบไม่ได้

"จริง ๆ มัณก็เคยส่งผู้บริหารของไตรสรณ์ เข้าอบรม โพรเบล็มโซลวิง ของ เคลล็อก ซึ่งก็สอนทฤษฎีแบบนี้ แต่แปลกมากว่า พอถึงเวลาทำงาน น้อยคนที่จะเอามาใช้ ส่วนใหญ่จะงัดสันดานเดิมมาทำงาน ส่งไปเรียน ก็เสียดายเงิน

ทฤษฏีที่เหล่าซื้อเล่ามานี้ เป็นปรัชญาของคนจีนเหรอคะ ?"

"เปล่าครับ ! ผมอ่านเจอในนิยายจีน แล้วก็เคยนำมาใช้กับชีวิตจริง ได้ผล ก็เลยจำติดมา"

"เหตุการณ์อะไรในชีวิตคะ ที่ได้ใช้ทฤษฎีนี้ ?"

แอนดี้นึกย้อนไปถึงอดีต สมัยที่ยังใช้ชีวิตโลดโผนอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่

"สมัยผมยังอยู่ที่เมืองจีน ผมทำงานกันเป็นกลุ่ม จะเรียกว่าเป็นแก๊งก็ได้แล้วแต่จะเรียก กลุ่มเราก็มีหัวหน้ากลุ่ม ที่ส่งงานให้พวกเราทำกัน มีอยู่ช่วงนึง มีปัญหาเกิดขึ้นบ่อย แต่ละเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย เช่น สมาชิกคนนึงโกงเงิน สมาชิกอีกคนติดการพนัน สมาชิกอีกคนทำงานใหญ่พลาด สมาชิกเขตโน้น มีเรื่องกับสมาชิกเขตนี้ ความสามัคคีหายไป

หัวหน้าก็เริ่มปวดหัวกับปัญหาที่เกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ คนที่อยู่ในแก๊งเราทุกคน มองว่า เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องบังเอิญ โชคไม่ดีที่มันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากเหตุการณ์พวกนั้นเกิดขึ้นติด ๆ กันร่วมสองปี วันนึง หัวหน้าแก๊ง ไปพาอดีตสมาชิกที่ลาออกไปอยู่เมืองอื่นเมื่อหลายปีที่แล้ว มาประชุม คนคนนี้ไม่รู้รายละเอียดเพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ เพียงแค่ได้ยินว่ามีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นบ่อย เค้าก็พูดเปรย ๆ ว่า สมัยก่อนที่เค้าเคยอยู่ร่วมแก๊ง ยังไม่มี เสี่ยวหลิน เข้ามาทำงาน เรื่องผิดพลาดไม่เคยเกิด ตั้งแต่มีเสี่ยวหลิน ทำไมมีเรื่องขึ้นมากมาย

เค้าพูดเพราะมองจากภาพรวม ไม่ได้รู้รายละเอียด แต่เค้ามองว่า ถ้าเสี่ยวหลินมาขวางระหว่างตัวเขา กับหัวหน้าแก๊ง เค้าเองก็คงมีปัญหาแน่ ๆ"

"เสี่ยวหลิน คือ ใครคะ ?"

"เสี่ยวหลิน คือ ผู้หญิงสวย จากเซี่ยงไฮ้ มาทำงานเป็นคนสนิทของหัวหน้า บางทีก็รับคำสั่งของหัวหน้าไปจ่ายต่อให้ลูกน้องปลายแถว

สิ่งที่อดีตสมาชิกพูดมา มีเหตุผล พวกเราสืบไปลึก ๆ ปรากฏว่า เสี่ยวหลิน เป็นต้นเหตุให้สมาชิกของแก๊ง หมดศรัทธาในระบบการปกครอง บางคนเริ่มไม่มีสมาธิในการทำงาน บางคนตั้งใจทำให้งานเสีย เพื่อลงโทษหัวหน้าแก๊งทางอ้อม ต้นเหตุ มาจากเสี่ยวหลิน เพราะเธอเป็นคนสวย ลูกน้องคิดว่าหัวหน้าอาจจะหลงเสน่ห์เธอ จึงให้เธอมารับตำแหน่งสำคัญ

หัวหน้าแก๊งเป็นคนที่รักลูกน้องพอสมควร แม้จะไม่เชื่อว่าคนสนิทของตัวเอง เป็นต้นเหตุ แต่เค้าก็กล้าที่จะทดลอง เปลี่ยนตำแหน่งของเสี่ยวหลิน ให้ไปอยู่ในที่ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น ปรากฏว่า การทำงานของสมาชิก กลับมาเหมือนเดิม ไม่มีเหตุการณ์ผิดพลาดเกิดขึ้นอีก ความสามัคคีกลับมา"

มัณฑนาพยักหน้าเข้าใจภาพรวมของเรื่องราวนี้

แอนดี้ขมวดคิ้ว

"เชื่อมั้ยครับ ? ตอนนี้ ถ้าถามผม ผมเองก็ตอบไม่ได้ว่า เสี่ยวหลิน เป็นต้นเหตุจริงหรือเปล่า แต่ พอเปลี่ยนตำแหน่งเสี่ยวหลิน ทุกอย่างแก้ได้หมด เหมือนกับทฤษฏีที่อ่านจากนิยาย เอาปัญหามารวมกัน มองภาพรวม จึงได้วิธีแก้"

"แล้วใครที่เอาทฤษฎีในนิยายจีนมาใช้กับเรื่องนี้คะ ? หัวหน้าแก๊งอ่านนิยายเรื่องนั้นด้วยเหรอ ?"

"หัวหน้าแก๊งไม่ได้อ่านครับ แต่อดีตสมาชิกแก๊ง ที่ลาออกไปแล้ว คนนั้นแหละ ที่เค้าเอาทฤษฏีนี้มาลองใช้ เค้ามองภาพรวม แล้วก็พูดขึ้นมาโดยพยายามโยงปัญหาเข้าด้วยกันในจินตนาการเค้าเอง"

มัณฑนาพยักหน้า แล้วชี้นิ้วมาที่ตัวเหล่าซือ

"เป็นเหล่าซือ ? อดีตสมาชิกคนนั้น ?"

"ตุ้ยเลอ ! ทาจิ้วซื่อหว่อ ! "

"ถูกต้อง ....มัณฟังออกเฉพาะตุ้ยเลอ ประโยคหลัง แปลว่าอะไรคะ ?

"ทาจิ้วซื่อหว่อ แปลว่า เขาคนนั้นก็คือผมเอง คุณมัณมีปัญญาที่ว่องไว ผมถามคำถามอะไร ก็ตอบได้หมด"

คุณครูเขียนประโยคด้วยอักษรจีน แล้วสะกดด้วยพินอินภาษาอังกฤษ แล้วยื่นกระดาษให้ดู

"ยังไม่ลืมนะครับ คำว่า จิ้ว เขียนแบบนี้ แปลเป็นไทยตรงความหมายเลย แปลว่า 'ก็' ความหมายแตกต่างจาก ไฉ ที่แปลว่า 'จึง'

เช่น เห็นหน้าพี่ชาย ก็มีความสุขแล้ว ใช้คำว่า คั่นเต้าหว่อเตอเกอเกอ จิ้วไคว่เล่อเลอ ประโยคนี้แตกต่างจาก เห็นหน้าพี่ชาย จึงมีความสุข คั่นเต้าหว่อเตอเกอเกอ ไฉไคว่เล่อ

ประโยคหลัง แสดงถึงข้อแม้ว่า หากไม่ครบเงื่อนไข ก็จะไม่ได้ตามนั้น คือ ถ้าไม่เห็นหน้าพี่ชาย ฉันจะไม่มีความสุข"

มัณฑนา อ่านลายมือเหล่าซือในกระดาษ แล้วทดสอบแต่งประโยคด้วยตนเอง

"ปู้คั่นเต้า หว่อเตอเกอเกอ ไฉปู้ไคว่เล่อ" (ไม่เห็นหน้าพี่ชาย จึงไม่มีความสุข)

แอนดี้พยักหน้า

"เข้าใจครับ ! ใช้คำว่า เหมยโหย่วคั่นเต้า จะดีกว่า แปลว่า ยังไม่ได้เห็น จึงยังไม่มีความสุข

ตัวจิ่วเลอ เหมยโหย่วคั่นเต้า... นานเท่าไหร่แล้ว ที่ไม่ได้เห็นหน้าพี่ชาย ?"

เธอนับนิ้ว ทำให้แอนดี้รู้ว่า นักเรียนกำลังพูดถึงเรื่องจริงในชีวิต

"ซื่ออู้เหนียนเลอ"

"สืออู่ เหนียน สิบห้าปี หรือว่า ซื่อสืออู่เหนียน สี่สิบห้าปีครับ ?" เขาทักขึ้นเพราะเธอพูดระดับเสียงผิด

"ค่ะ เอาใหม่ สืออู่เหนียนเลอ"

"ทาไจ้หน่าเอ๋อ ?"

ประโยคนี้ง่าย เธอแปลออกว่า เขาอยู่ที่ไหน ?

"ปู้จือเต้า !" เธอตอบว่าไม่รู้

"เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายเหรอครับ ?"

"เค้าหายตัวไป หรือ เค้าเสียไปแล้ว หรือว่า เค้าอยากให้คนอื่นลืม มัณก็ไม่แน่ใจ นี่เป็นเรื่องที่คนในครอบครัวก็ไม่เคยคุยกัน แค่คิดถึงเรื่องนี้ มันก็เกิดบรรยากาศที่อึมครึม เป็นเรื่องที่คนในครอบครัวอยากจะลืมมากที่สุด"

"แล้วลืมได้เหรอครับ คนหายไปทั้งคน ? ขอโทษที่ถามครับ ถ้าไม่สะดวกตอบ เราก็ข้ามไปคุยเรื่องอื่น เรามาต่อด้วยรูปประโยคภาษาจีนที่มีเงื่อนไขต่าง ๆ....."

**************************************************************************************

ชั้นเรียนแมนดารินตัวต่อตัว ดำเนินมาถึงปลายคาบ

".... คิดว่าคุณมัณคงเริ่มคุยกับวิลเลียม เฉิน ได้สนุกมากขึ้น ขอเพียงแค่ฝึกพูดฉางย่งจื๋อ คือพวกคำศัพท์ที่เราต้องเจอบ่อยในชีวิตประจำวัน ให้มากขึ้น รับรองว่าสื่อสารกันได้แน่"

"จือเต้าเลอ !"

"ใช้คำว่า หมิงไป๋เลอ จะดีกว่าครับ จือเต้าเลอ แปลว่า รู้แล้ว ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ในกรณีนี้ ใช้คำว่าหมิงไป๋ ซึ่งแปลว่า เข้าใจแล้ว จะเหมาะสมกว่า"

นักเรียนพยักหน้าอีกครั้ง

"หมิงไป๋เลอ เซี่ยเสียะ เหล่าซือ !"

"อื้อ ! สำเนียงใช้ได้เลยครับ"

แอนดี้เอื้อมมือไปแตะหน้าจอโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ เพื่อมองเวลา

"วันนี้ มีคำถามอะไรมั้ยครับ ?" เขาถามคำถามสุดท้ายเมื่อสิ้นคาบ เหมือนกับทุกครั้ง

ประธานบริหารไตรสรณ์สั่นหัว

แอนดี้ปิดสมุด รวบปากกาบนโต๊ะ

มัณฑนาพูดขึ้น

"พี่ชายคนโตค่ะ ที่จากไปสิบห้าปีแล้ว เคยสอนภาษาจีนให้สมัยที่มัณเด็ก ๆ"

เหล่าซือละมือจากหนังสือ เอนหลังกลับไปพิงพนัก

"พี่ชายเรียนภาษาจีนด้วย ?"

"ค่ะ ! ปู่เป็นคนสอนให้ พี่ชายสนิทกับปู่ แต่พ่อไม่ชอบภาษาจีน เลยห้าม ไม่ให้เรียนภาษาจีน"

"ทำไมพ่อถึงไม่ชอบภาษาจีนล่ะครับ ?'

เธอประสานมือสองข้างบนโต๊ะ

"ที่จริง พ่อไม่ชอบปู่มากกว่า แต่พี่ชายกลับสนิทกับปู่มากกว่าพ่อ ปู่ต้องติดต่อกับคนจีน พูดภาษาจีนได้ พี่ชายก็เรียนจากปู่ พ่อห้ามพี่ชายคนโตไม่ได้ แต่ห้ามลูกคนอื่นได้หมด นอกจากพี่ชายคนโต ไม่มีใครกล้าขัดใจพ่อ"

แอนดี้พยักหน้าช้า ๆ

"แสดงว่าพี่ชายคนโต ดื้อเอาเรื่องเลยสิครับ"

เธอสั่นหัวทันที

"ไม่เรียกว่าดื้อ มัณเรียกว่า มีสตรองดีเทอร์มิเนชั่น (strong determination) ในจำนวนผู้ชายที่มัณเคยรู้จักมาในชีวิต พี่ชายคนโตของมัณ มีความมุ่งมั่นสูงที่สุด เห็นได้ชัด ชัดเหมือนกับว่าไม่ต้องพูด แค่ดูบุคลิกก็สัมผัสได้

เอ้อ.... วิลเลียม เฉิน ก็ถือว่าเป็นคนประเภทนี้ สตรองดีเอทร์มิเนชั่น ชัดมาก แต่ ถ้าเทียบกับพี่ชายของมัณ พี่ชายมัณจะลุ่มลึกกว่าอีก อดทน ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความคิดเดิมยังคงอยู่ ยังเดินหน้าไปเรื่อย ๆ

เหล่าซือเคยเจอคนแบบนี้มั้ยคะ ?"

แอนดี้เหลือบตาขึ้นข้างบน เพื่อคิด

"ก็.... ผู้นำที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ก็จะมีบุคลิกแบบนี้ มีความมุ่งมั่นสูง ยืดหยุ่น หยุดได้ ถอยได้ แต่ไม่ท้อ"

ช่วงสุดท้ายของประโยค สะดุดใจเธอ

"หยุดได้ ถอยได้ แต่ไม่ท้อ !... เหล่าซือพูดได้ตรงมาก คงเคยเจอคนแบบนี้มาบ้างสิคะ"

แอนดี้พยักหน้าช้า ๆ

"ครับ ! แต่ผมจะแทนมันด้วยคำว่า อิทธิบาทสี่ รู้จักมั้ยครับ ?"

"ก็เคยได้ยินค่ะ แต่จำไม่ได้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร ขึ้นต้นด้วยเมตตา กรุณา หรือเปล่าคะ ?"

"อิทธิบาทสี่ ขึ้นต้นด้วย ฉันทะ ครับ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ฉันทะ หมายถึงความรัก เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จ ถ้าเรารัก หรือ ศรัทธาในสิ่งที่เราทำ ความพากเพียรจะตามมาเอง สมาธิจะจดจ่อ เราจะพัฒนาปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้ได้สิ่งที่เรารัก

พี่ชายของคุณมัณคงมีความรัก ความศรัทธาสูง ถึงไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่าง ๆ

คนจีนมีคำพูดว่า สือเจียนซุยเฟยหลี่ชี่ ซาเหรินปู้ต้งเซิงเสี่ยง (时间虽非利器,杀人不动声响).......เวลาไม่มีอาวุธ แต่ฆ่าเราได้อย่างเงียบ ๆ"

เขาเขียนตัวอักษรจีนของสำนวนนี้ลงในกระดาษ แล้วสะกดพินอินเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งคำแปลภาษาไทย ยื่นให้นักเรียน

ศิษย์หยิบกระดาษมาอ่าน แล้วคัดลอกข้อความนั้นด้วยลายมือตนเอง ลงในสมุดบันทึกของเธอ

"เวลาไม่มีอาวุธ แต่ฆ่าเราได้ ?" เธออ่านทวนแล้วขมวดคิ้ว

"ครับ ! คนที่ไม่มีศรัทธามากพอ พอกาลเวลาผ่านไป เนิ่นนานไปเรื่อย ๆ แล้วเค้ายังไม่ได้บรรลุในสิ่งที่เค้าหวังไว้ การรอคอยนั่นแหละ จะฆ่าเค้าเอง

ผู้นำที่ประสบความสำเร็จ เบื้องหลังที่เราอาจมองไม่เห็น คือ ศรัทธาในใจที่แรงกล้า เขาจะไม่ย่อท้อต่อเวลา พี่ชายคุณมัณน่าจะเป็นคนแบบนั้น"

คำอธิบายของเหล่าซือทำให้เธอต้องอึ้งไปชั่วขณะ นานเท่าไหร่แล้ว ที่เธอไม่ได้คุยเรื่องพี่ชายคนโตกับคนอื่น

เธอมองตัวหนังสือ และ คำแปลบนกระดาษ อ่านทบทวนอีกครั้ง

"เหล่าซือพูดได้เหมือนกับว่า เคยรู้จักกับพี่ชายคนโตของมัณ เหล่าซือ นับถือศาสนาพุทธด้วยเหรอคะ ?"

"ครับ ผมเพิ่งนับถือพุทธมาได้ไม่ถึงสามปี"

ลูกศิษย์เอียงคอ

"แปลกดี ! มัณเข้าใจว่าคนจีนส่วนใหญ่ก็ไม่มีศาสนากันแล้ว แล้ววิลเลียม เฉิน ล่ะคะ นับถือพุทธหรือเปล่า ?"

แอนดี้ยักไหล่

"เปล่าครับ ! คนจีนยุคใหม่ ไม่ได้มีศาสนาที่ศรัทธาชัด ๆ แต่ก็นับถือปรัชญาต่าง ๆ อันดับหนึ่งก็ปรัชญาขงจี๊อ ซึ่งเกิดก่อนศาสนาพุทธ คนจีนส่วนมาก ยังเชื่อว่าปรัชญาขงจื๊อ เหมาะสมกับตนเอง มากกว่าศาสนาพุทธ บางคนก็คิดว่า ขงจื๊อกับพุทธใกล้กันมากจนแยกไม่ออก แต่สำหรับผม ขงจื๊อ เป็นปรัชญาที่ดีมาก แต่ พุทธ คือ สัจธรรม

สัจธรรม.... ไม่ต้องตีความว่าดีมาก หรือ ดีน้อย ไม่ว่าเราจะชอบ หรือไม่ชอบ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัส คือความจริงเสมอ"

นักเรียนหญิงพยักหน้ารับรู้

"คุณมัณนับถือพุทธ ?"

เธอนึกเพียงอึดใจ ก่อนตอบ

"ค่ะ ! ตามบัตรประชาชนก็ใช่ แต่มัณก็พูดตรง ๆ ว่า ไม่เคยศึกษา ไม่ค่อยสนใจทางด้านนี้ ในครอบครัวของมัณ คนที่สนใจเรื่องปรัชญา เรื่องศาสนา ก็จะเป็นพี่ชายคนโตอีกนั่นแหละ แล้ว ก็จะมีปัญหากับพ่อ ที่ความเชื่อไม่ตรงกันมาตลอด แต่ลูก ๆ ที่เหลือ ไม่สนใจศาสนา กลับไม่เคยมีปัญหากับพ่อ พ่อกับพี่ชาย....."

เธอถอนหายใจแล้วพูดต่อ

"..... มันคือสิ่งที่ไม่มีใครอธิบายได้ว่า เกิดอะไรขึ้นระหว่าง พ่อ กับ พี่ชาย ในครอบครัว เราคุยกันเรื่องนี้ไม่ได้"

เธอยกข้อมือขึ้นมองเวลา

"ขอโทษเหล่าซือด้วย ที่ชวนคุย เลยเวลามาแล้ว"

แอนดี้ยกมือ

"ไม่เป็นไร ! ผมอยากคุยครับ !"

นักเรียนเลิกคิ้ว

"อยากคุย ?"

"ครับ ! อย่าเกรงใจที่จะคุยเรื่องพวกนี้ ในครอบครัวคุยกันไม่ได้ เพราะอะไรครับ ?"

คำถามนี้ ทำให้อีกฝ่ายถึงกับขมวดคิ้ว แอนดี้ไม่เคยเห็นสีหน้าเป็นกังวลแบบนี้บนใบหน้าประธานบริหารไตรสรณ์มาก่อน

ภาพของพี่ชายคนรองอยู่ในจิตสำนึกของเธอ ณ ขณะนี้ เธอไม่สามารถจะเสียพี่ชายไปอีกคนได้

ความเงียบที่เกิดขึ้น ทำให้แอนดี้สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับจิตของนักเรียนคนนี้

"ผมเป็นคนนอกที่อาจมองภาพได้ชัดกว่าคนใน อะไรที่คุยกับคนในครอบครัวไม่ได้ คุยกับผมได้"

แอนดี้จ้องหน้ามัณฑนา

ประตูห้องถูกเคาะ

"ค่ะ ! เข้ามาได้ !"

ประตูห้องถูกเปิดออก เลขา ฯ ชะโงกหน้าเข้ามา

"คุณมัณมีนัดที่โรงแรมแชงกรีลาหกโมงเย็น ต้องออกจากที่นี่ห้าโมงนะคะ"

"ขอบใจจ้ะ ! "

เลขา ฯ ส่งยิ้มให้ ก่อนที่จะกลับออกไป

ครูหนุ่มส่งยิ้มให้นักเรียน

"เชิญครับ ! เดี๋ยวจะไปไม่ทันนัด"

ประธานหญิงแห่งไตรสรณ์ รวบสมุด และ หนังสือบนโต๊ะ

"เหล่าซือ ไจ้เจี้ยน !"

"ไจ้เจี้ยน ! ครั้งหน้าเล่าเรื่องพี่ชายให้ฟังอีกนะครับ ผมอยากจะฟังต่อ"

แอนดี้พูดส่งท้าย ก่อนที่นักเรียนหญิงจะเดินพ้นประตูห้อง เธอหยุดหันมายิ้มให้ แล้วเดินกลับไปทางห้องทำงานของเธอ

***********************************************************************************

รถเบนซ์ประจำตำแหน่งของท่านประธานบริหาร มีผู้โดยสารสองท่านนั่งอยู่ที่เบาะหลัง

มัณฑนาเริ่มสนทนากับหลานชาย

"พอคุณวิสุทธิ์เสียไปแล้ว เราก็ขาดล็อบบี้ยิสต์เก่ง ๆ ไม่รู้ว่าวันนี้ที่เราจะเจอจะสู้คุณวิสุทธิ์ได้มั้ย"

ธรรม์พยักหน้า

"คุณพิพัฒน์ที่เราจะไปเจอนี่ ฝีมือไม่เลวนะครับ เป็นคนล็อบบี้ให้ปัญญาเบเวอเรจ ฯ ได้ถือหุ้นทีมฟุตบอลในไทยพรีเมียร์ลีก แกจับดีลอย่างต่ำห้าร้อยล้านไปถึงพันล้าน ถือว่าไม่เลว"

ประธานหญิงพยักหน้ารับรู้ ในชีวิตการทำงาน เธอจำเป็นต้องพบเจอกับล็อบบี้ยิสต์มากมายจนจำชื่อจำหน้าไม่ได้

"เย็นนี้ อาเจนด้ากับคุณพิพัฒน์เป็นไง ?"

"เราไปเจอคุณพิพัฒน์ที่โรงแรมแชงกรีลา ที่นั่นมีเฮลิแพด (ลานจอดเฮลิคอปเตอร์) คุณพิพัฒน์เชิญเราลองใช้บริการของ บีเคเอวิเอชั่น ที่แกเคยดีลสำเร็จ เราจะขึ้นฮ. ที่นั่น ไปพัทยา ใช้เวลาประมาณสี่สิบห้านาที ลงที่ โรงแรมรอยัลคลิฟ แล้วทานอาหารที่นั่น

ระหว่างอาหาร คุณพิพัฒน์จะเล่าเรื่องพอร์ตโฟลิโอของเอสเคโฮลดิ้ง"

"เอสเคโฮลดิ้ง หมายถึง ซันกยองเกาหลี กลุ่มเดียวกับเอสเคเทเลคอมใช่มั้ย ?"

"ครับ ! เอสเคเทเลคอมอยู่ในกรุ๊ปของเอสเคนี่แหละครับ"

"อาไม่มีไอเดียเลยว่า เรากับเอสเคจะทำอะไรกัน เพราะไม่เคยมีความรู้เรื่องกลุ่มบริษัทเอสเค ธรรม์ล่ะ มีความเห็นว่ายังไง ?"

"ลองฟังดูก่อนครับ คุณพิพัฒน์คงทำการบ้านมาแล้ว แต่ที่ผมต้องการรู้คือ คุณพิพัฒน์เป็นตัวแทนใครมา เอสเคกรุ๊ปใหญ่มาก มีล็อบบี้ยิสต์วิ่งกันไม่ต่ำว่าพันคนแน่ ลองฟังดูก่อนว่ามีซินเนอร์จี้กันตรงไหน แล้วถ้าสนใจ คงต้องสืบว่าคอนเนคชั่นของคุณพิพัฒน์ไปถึงส่วนไหนของเอสเค"

มัณฑนาพยักหน้า

"เอาตามนั้น ! ลองฟังดูก่อน ไม่เสียหาย"

"ช่วงนี้วิลเลียม เฉิน ลงมาล้วงลูกเรื่องค่าใช้จ่ายของบีที งานนี้ทางแก่งอุดมอาจจะรู้เร็ว ๆ นี้ เพราะค่าใช้จ่ายในหมวดที่วิลเลียมให้คนตรวจสอบ สี่หมวดแรก เงินวิ่งเข้าไปแหล่งเดียวกัน เค้าให้ผมไปช่วยสะสางเรื่องนี้ในที่ประชุมผู้จัดการบีที อามัณรู้เรื่องหรือยังครับ ? เค้าบอกว่าจะคุยกับอามัณเอง"

มัณฑนาขมวดคิ้ว มีสีหน้าประหลาดใจ

"วิลเลียม เฉิน เข้าประชุมผู้จัดการ !" เธอนึกถึงเหตุผลต่าง ๆ แล้วสรุปเป็นข้อสันนิษฐานที่เห็นได้ชัด

"ทางคุณน้อยชี้เป้าแน่นอน"

เธอนึกถึงสภาพการณ์ที่เคยเกรงว่าอาจจะเกิดขึ้น บัดนี้ วี่แววว่าสงครามเย็นระหว่าง กิจบูรณา และ ไตรสรณ์ กำลังจะกลายเป็นสงครามที่มีสนามจริงให้เล่นเสียแล้ว

"อามัณว่า งานนี้ใช่แน่ ๆ ใช่มั้ยครับ ?"

เธอหันหน้ามาทางหลาน

"ธรรม์คิดว่าไง ? นี่เป็นแค่การทำงานเพื่อผลของงาน หรือ เป็นจุดเริ่มต้นที่กิจบูรณา จะเริ่มโจมตีเรา"

"ครั้งนี้ ผมคิดแตกต่างจากอามัณ วิลเลียม ทำอย่างนี้ ไม่ใช่ต้องการเล่นงานไตรสรณ์ เค้าดึงผมเข้าไปจัดการด้วย ทั้ง ๆ ที่ถ้าเค้ามั่นใจว่ารู้เป้าแล้ว เค้าเรียกคนของกิจบูรณาเองไปช่วยสื่อสารก็ได้ แต่ทำไมถึงเรียกผม ?"

"ธรรม์คิดว่าถ้าไม่ใช่เล่นงานเรา แล้ววิลเลียมทำไปทำไม ?"

ธรรม์ถอนหายใจ นึกทบทวนข้อมูลต่าง ๆ

"ผมยังไม่ปักใจดีกว่า ขอให้รอดูอะไรอีกซักพักนึง ถ้ามั่นใจแล้ว ผมจะบอกอามัณ ตอนนี้ เป็นแค่เพียงความสงสัยของผม"

มัณฑนาเริ่มเดาความคิดของหลานชาย ธรรม์เป็นคนหนุ่มที่มีความคิดรอบคอบ แยบยล หากเขาเกริ่นว่าเขาสงสัยสิ่งใด นั่นไม่ใช่เพียงแค่ความรู้สึกทางอารมณ์ แต่เป็นเพราะ เขามีเหตุผลอธิบายได้มากกว่านั้น

"อาปฏิเสธดีมั้ย ถ้าเค้าขอมา ? ธรรม์เองทำงานให้กรุ๊ป มีงานให้ต้องสะสางเยอะแยะ เป็นข้ออ้างได้"

"ถ้าอามัณไม่ว่าอะไร ผมอยากทำครับ รู้ดีกว่าไม่รู้ เค้าอยากให้เราร่วมทำ ร่วมรับรู้ ก็ดีครับ ผมจัดการเวลาได้ ผมจะช่วยเค้า อามัณโอเคมั้ยครับ ?"

หากงานนี้เป็นดั่งที่เขาคาดหวัง เขาอาจจะได้รู้อะไรดี ๆ ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

ประธานกลุ่มบริษัทเห็นด้วยในสิ่งที่หลานชายพูด เธอพยักหน้า

"ดี ! ถ้าธรรม์จัดเวลาได้ ตามวิลเลียมไปประชุม จะได้รู้ว่าเค้าต้องการอะไรกันแน่"

หลายชายพยักหน้า

"สงสัยต้องเรียนภาษาจีนบ้างเหมือนกัน ครูสอนภาษาจีนที่อามัณเรียนอยู่ สอนดีมั้ยครับ ?"

"ดี ! สนใจเหรอ ? ถ้ามีโอกาสก็เรียนไว้สิ ภาษาจีนกลางสมัยนี้ ไปไหนก็ต้องใช้ ธรรม์ก็มีโอกาสจะได้ใช้แล้วนี่ โอกาสเหมาะพอดี"

"ครับ ผมก็สนใจจะเรียน อามัณช่วยแนะนำให้ผมรู้จักกับครูด้วยนะครับ แต่ไม่รู้ว่ามาเรียนตอนอายุมากแล้ว จะไปได้ถึงไหน หวังว่าผมคงจะไม่ท้อซะก่อน "

เขาพยักหน้ากับตัวเอง เป็นโอกาสเหมาะที่เขาได้มีโอกาสจะต้องคลุกคลีกับคนจีนมากขึ้น

น้าสะใภ้หยิบสมุดบันทึกจากกระเป๋าถือออกมา เธอเอื้อมมือเปิดสวิทช์ไฟส่องห้องโดยสาร กางสมุดบันทึกหน้าที่ต้องการ

"สือเจียนซุยแฟยหลี่ชี่ ซาเหรินปู้ต้งเซิงเสี่ยง" มัณฑนาอ่านข้อความนั้นให้หลานชายฟัง

ธรรม์เลิกคิ้ว

"แปลว่าอะไรครับ ?"

"แปลว่า เวลาไม่มีอาวุธ แต่ฆ่าคนได้อย่างเงียบ ๆ ถ้าธรรม์มีความรักที่จะเรียนภาษาจีน ความรักนี้จะทำให้เราไม่ยอมแพ้ต่อเวลา"

จิตของหลานชายแว่บไปนึกถึงสำเนียงภาษาแมนดารินที่ฟังดูไพเราะมีเสน่ห์ของหงส์น้อย ท่ามกลางบรรยากาศที่แปลกตาของเมืองเฉิงตู

สำเนียงภาษาแมนดารินเพราะ ๆ แบบนั้น พอเพียงที่จะทำให้เขาไม่ย่อท้อต่อการเรียนภาษาจีนได้จริงหรือ ?

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

1, 2, <อ่านหน้า

หากท่านต้องการอ่าน อภิญญาฆราวาส ตอน 31
เชิญโพสต์ความคิดเห็นเกี่ยวกับตอนนี้ อย่างน้อย 1 ประโยค

โพสต์ในเว็บบอร์ด กดที่นี่

กลับขึ้นด้านบน

สั่งซื้อพ็อคเก็ตบุคนิยายหมอเถื่อน เล่ม 1 - 4

 

อ่านตอนอื่น

สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่