ตอน 30 หน้า 2

เวลา คือ อาวุธ

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

ทันทีที่เดินพ้นห้องไอที เขาหยิบวิทยุสื่อสารจากเอวขึ้นจ่อปาก

"Charlie Lima four ! Romeo's calling !

Charlie Lima four ! Romeo's calling !"

ไม่มีเสียงตอบรับจากแคลร์ เพื่อนอินเดียอาจจะยังไม่ว่างที่จะโต้ตอบ

เขาสาวเท้าบนทางเดินข้างอาคาร มุ่งหน้าตรงไปเขตพลาซ่าและโรงแรม

ท้องฟ้าที่ยังโปร่งอยู่เมื่อยามเช้า ขณะนี้เริ่มครึ้มไปด้วยเมฆดำกลุ่มใหญ่ มีแสงแดดลอดมากระทบพื้นทางเดินเป็นช่วง ๆ

ระยะทางเดินเกือบครึ่งกิโลเมตรจากส่วนงานไอทีมาถึงเขตโรงแรม ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเหนื่อยแต่ประการใด เมฆที่ช่วยบังแดดให้ ลดความร้อนไปได้ระดับหนึ่ง บวกกับแรงกระตุ้นจากความทรงจำใบหน้าสวยหวานของสาวลูกครึ่ง ทำให้ระยะทางเกือบห้าร้อยเมตรนี้ กลายเป็นระยะห่างเพียงแค่ร้อยคืบ

ทางเดินนำไปสู่ทางเข้าด้านหลังของอาคารโรงแรม ซึ่งเป็นที่นัดพบระหว่าง เขา และ นาน่า

บริเวณนี้เป็นที่ลงของ สำหรับรถขนส่งอาหาร เพื่อเข้าทางประตูหลัง

นาน่าอยู่ในชุดยูนิฟอร์มพนักงานโรงแรมเสื้อสีขาว กระโปรงสีเทา รองเท้าส้นสูง

เธอมีรอยยิ้มขึ้นทันทีเมื่อเห็นรุ่งเดินมาถึง สาวลูกครึ่งยกมือขึ้นไหว้

"สวัสดีค่ะ พี่รุ่ง !"

รุ่งยกมือรับไหว้

"เซ็งเลย ! อย่าไหว้ดิ ! แค่ทักชื่อก็พอ"

นาน่าหัวเราะเบา ๆ เห็นรอยบุ๋มบนแก้มซ้ายอย่างชัดเจน

"ค่ะ ครั้งหน้าไม่ไหว้ละ !"

"อือ ! แค่ยิ้มมา พี่ก็จะก้มลงกราบน้องอยู่แล้ว"

เธอฟังจับใจความได้ก็หัวเราะร่วนทันที

รุ่งทำตาโต นาน่ารีบยกมือปิดปาก

"ขอโทษ ! นาน่าหัวเราะดังไปเหรอ ?"

"เปล่า ! แต่มันมีอะไรน่าตลกมากเหรอ ?"

"นาน่าไม่นึกว่าพี่รุ่งจะเป็นแบบนี้" เธอปิดปากแล้วหัวเราะคิกคัก

"หือ ! เอาแล้ว ! เดทครั้งแรกก็เสียเครดิตแล้วกู เอ้า จะกินอะไรกัน บอกที่กินมาก่อน แล้วค่อยไปนั่งคุยกัน"

"แคนทีนค่ะ ! ข้างโรงซักผ้า เคยไปมั้ยคะ ?"

รุ่งสั่นหัว แล้วผายมือไปข้างหน้า

"นำไปเลย เดี๋ยวพี่เดินตาม"

สาวโรงแรมออกเดินนำ รองเท้าส้นสูงของนาน่ามีสีดำเป็นแวว รุ่งสังเกตเห็นวิธีการเดินของนาน่าแล้ว เขาสั่นหัว

"น่าเห็นใจผู้หญิงที่ต้องใส่ส้นสูงทำงาน เอาเท้ายัดลงไปในที่แคบ ๆ แบบนั้นได้ยังไงนะ"

เธอเดินไปพูดไป

"จะทำไงได้ล่ะคะ ! อิจฉาคนที่ทำงานฟันปาร์ค ผู้หญิงใส่รองเท้าผ้าใบได้ทุกคนเลย สมัยที่ฝึกงาน นาน่าต้องใส่ส้นสูงแบบนี้ แบกจานอาหารฝรั่งที่หนักกว่าจานธรรมดาสามเท่า เดินไปเดินมาระหว่างห้องครัวกับห้องอาหาร จนแขนนาน่ามีกล้ามขึ้นทั้งสองข้าง"

รุ่งรู้ดีอยู่แล้วว่า จานอาหารมาตรฐานสำหรับอาหารฝรั่งนั้นมีน้ำหนักขนาดไหน

"จะเป็นพนักงานโรงแรมที่ดี มันต้องบักอึ๊ดแท้ ๆ"

นาน่าหัวเราะ

หนุ่มสาวสองคนเดินเข้าไปในห้องอาหารที่ยังไม่ก่อกำแพง ไม่มีอะไรกั้นระหว่างโต๊ะอาหาร และ บรรยากาศธรรมชาติที่ล้อมรอบ

เที่ยงวันนี้มีพนักงานมาใช้บริการบางตา

เมื่อรุ่งเดินเข้ามาในบริเวณโรงอาหาร ผู้ชายสามสี่คน เงยหน้าจากจานอาหารขึ้นมองนาน่า

ปฏิกริยาที่เขาตอบรับโดยไม่รู้ตัว คือ การเว้นระยะการเดินให้ห่างจากเธอมากขึ้น

รุ่งมองปราดไปที่ด้านหลังของสาวลูกครึ่งอีกครั้ง แน่นอนว่า หญิงสาวที่หน้าตาสวยเทียบขั้นนางแบบ ในชุดยูนิฟอร์มของโรงแรมที่ดูสวย และ สง่า ต้องเป็นที่ดึงดูดสายตาของชายแท้ทั่วไป

นาน่ายืนหน้าตู้กระจกขายอาหาร มองถาดอาหารจำพวกข้าวแกง เธอหันหลังกลับมา เห็นรุ่งยืนห่างออกไปหลายก้าว

"พี่รุ่ง ไม่ทานเหรอคะ ? ยืนอยู่ตรงโน้นมองเห็นเหรอ ?"

รุ่งรีบก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ แล้วพูดเบา ๆ

"พี่กลัวจะเดินเหยียบเงาของนาน่า เดี๋ยวจะโดนสาธารณชนตำหนิเอา"

สาวโรงแรมเอียงคอ ไม่เข้าใจในความหมาย แต่ก็อมยิ้ม

*************************************************************************************

ทั้งสองถือจานข้าวราดกับข้าวมานั่งที่โต๊ะว่าง

เมื่อรุ่งนั่งลง มองไปรอบ ๆ โรงอาหาร ด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าโล่ง ด้านหนึ่งเป็นพงไม้ที่ยังไม่ได้ถากถาง

เมฆบนฟ้าก่อตัวหนาแน่นขึ้นจนแทบจะไม่มีแสงแดดส่องลงมาถึงพื้น

"ชอบอากาศแบบนี้จัง !"

นาน่านั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พยักหน้า

"ค่ะ ! ถ้าแดดร้อน นาน่าออกมาทานที่นี่ไม่ไหว เพราะที่นี่วันที่มีแดดจัด ร้อนมาก"

รุ่งถามขึ้น

"จะเริ่มกินก่อน หรือ ว่าจะตอบคำถามก่อน ?"

นาน่าเลิกคิ้ว

"คำถามอะไรเหรอคะ ?"

"เยอะ ! พี่มีคำถามถามนาน่า"

"ค่ะ ! ทานไปคุยไปก็ได้ นาน่าก็มีคำถามอยากถามเหมือนกัน"

"รุ่ง !"

เสียงผู้ชายเรียกชื่อเขา รุ่งหันไปหาต้นเสียง เป็นพนักงานชายรุ่นพี่ในชุดทำงานลำลองฟันปาร์ค กำลังยืนถือจานข้าว

"พี่ต้น !"

"รุ่งมากินที่นี่เลยเหรอ ? ไกลนะเนี่ย !"

"ครับ ! วันนี้มีธุระใกล้ ๆ โรงแรม พี่หาที่นั่งได้หรือยัง นั่งด้วยกันมั้ยครับ ?"

พี่ต้นเหลือบมองไปที่นาน่าแล้วอมยิ้ม

"ไม่ดีกว่า ! โต๊ะว่างเยอะแยะ ตามสบายเถอะ"

รุ่นพี่เดินผละไปหาที่นั่งที่อื่น

รุ่งหันกลับมาที่นาน่า

"มีอะไรอยากถามพี่ ถามมาก่อน"

เธอพยักหน้า นึกถึงเรื่องที่ข้องใจ

"คนที่ทำงานในฟันปาร์คห้ามพกโทรศัพท์มือถือเหรอคะ ? นาน่าได้ยินเพื่อนเล่าว่าเค้าใช้มือถือไม่ได้ในเขตฟันปาร์ค ถ้านอกเขต ถึงใช้ได้ แต่ก็เห็นหลายคนบอกว่ามีข้อห้ามใช้มือถือสำหรับพนักงาน"

รุ่งเอียงคอ แล้วสั่นหัวช้า ๆ

"ไม่ถึงขนาดห้ามพนักงานทุกคนใช้หรอก แต่เรามีกฏห้ามเป็นบางกรณี เอ... แต่ว่าไปแล้ว ก็หลายกรณีเหมือนกันนะ เรื่องพวกนี้นาน่าก็จะรู้ตอนที่เค้าปฐมนิเทศน์ แต่... เอ๊ะ ! พนักงานส่วนพลาซ่าและโรงแรม มันขึ้นอยู่กับฝั่งไหนหว่า ?"

"ส่วนโรงแรมมีปฐมนิเทศน์โดยผู้บริหารโรงแรม ไม่เกี่ยวกับฟันปาร์คค่ะ พูดแต่เรื่องของส่วนโรงแรมกับพลาซ่า ไม่ได้พูดถึงพนักงานฟันปาร์คเลย"

รุ่งพยักหน้าเข้าใจ

"โอเค ! งั้นพี่อธิบายสั้น ๆ

พนักงานที่ลงฟีลด์ปฏิบัติงานในเขตสวนสนุก ที่ไม่ใช่ในเขตออฟฟิศ ถูกห้าม ไม่ให้ใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างเวลาทำงาน เพื่อไม่ให้ มีผู้ใช้บริการเห็นพนักงานแต่งยูนิฟอร์มแล้วคุยโทรศัพท์มือถือ มันเสียภาพลักษณ์

ผู้ใช้บริการจะคิดว่าพนักงานกำลังคุยเรื่องส่วนตัว ก็เลยมีกฏห้าม แล้วมันโกงเวลาทำงานกันได้ เอาเวลาไปใช้คุยส่วนตัว ไม่ได้ทำงาน เราก็เลยห้ามพนักงานในฟีลด์ใช้ หากจะคุยเรื่องงาน ก็ต้องใช้วิทยุสื่อสารคุยเท่านั้น

กฏนี้ ก็เหมือนกับที่ซีดาร์ในอเมริกาเหมือนกัน เขาก็ห้ามพนักงานในฟีลด์ใช้มือถือ ใครใช้มือถือคุย แสดงว่า ไม่ได้คุยเรื่องงาน

ถ้าลงฟีลด์ ห้ามใช้ แต่อนุญาตให้พกได้ ถ้าจำเป็นต้องใช้มือถือ ต้องหลบไปคุยในที่ลับตา ไม่ให้ผู้ใช้บริการเห็น บางตำแหน่ง ไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์มือถือติดตัวเลย สถานที่บางแห่งในออฟฟิศ ไม่อนุญาตให้นำโทรศัพท์มือถือเข้าบริเวณเพราะห้ามถ่ายภาพ

คนที่ต้องออกฟีลด์ ก็ต้องพกวิทยุสื่อสารแบบนี้" เขาตบมือไปที่วิทยุสื่อสารซึ่งเหน็บอยู่ที่เอว

พนักงานรุ่นน้องพยักหน้า

"เข้าใจแล้วค่ะ ! เพื่อนนาน่าอยู่ฝั่งฟันปาร์คบอกว่า ระหว่างขับรถคลับถ้าวิ่งในโซนฟันปาร์ค มีโทรศัพท์มือถือเข้า ก็ห้ามรับ เดี๋ยวเจ้านายเห็น ต้องรีบจอดรถหลบ"

รุ่งชะเง้อคอมองออกไปนอกโรงอาหาร

"เห็นแนวต้นไม้โน่นมั้ย ? สตาฟรูท อยากคุยโทรศัพท์ไปเดินคุยได้ตรงโน้น โรแมนติคมาก"

"สตาฟรูท คืออะไรคะ ?"

"ไว้ว่าง พี่จะพาไปเดิน แต่ต้องเดินกันสองคนนะ จะดีมาก เดินสามคน เค้าถือน่ะ"

"ถืออะไรค่ะ ?"

"ถือว่าเป็นก้างน่ะ กลืนลำบาก"

นาน่าหัวเราะ

"พี่รุ่งจะกินนาน่าเหรอคะ ?"

รุ่งหัวเราะ

"หมดคำถามหรือยัง ?"

"ค่ะ หมดแล้ว"

"แค่เนี้ยอะนะ ? คำถามเดียว ?"

เธอพยักหน้ายืนยัน

"งั้น พี่ถามบ้าง กินไปคุยไปแล้วกัน คำถามแรกเลย นาน่ารู้จักพี่ได้ยังไง ? ทำไมถึงถามหาพี่กับปริ๊นซ์ ?"

เธอมองหน้าคนถาม กระพริบตาถี่ ๆ

"ก้อ.... ! พี่รุ่งดังจะตาย เป็นสตาร์ออฟฟันปาร์ค ขนาดมากินถึงที่นี่ ยังมีคนรู้จักเลย" เธอหัวเราะคิกคัก

รุ่งยักคิ้ว

"อันนี้ ช่วยไม่ได้ ! คนมันมีเสน่ห์ ใครก็ห้ามใจยาก" เขาจ้องหน้านาน่า แล้วเลิกคิ้ว "ตกลงนาน่าจะไม่บอก เป็นความลับใช่มั้ย ?"

"เปล่าค่ะ ! นาน่ารู้จักชื่อพี่รุ่งก่อน เพราะมีคนเล่าให้ฟัง ก่อนที่นาน่าจะเข้ามาทำงานที่โรงแรมแล้ว พอเข้ามาทำงาน ก็เลยลองถามคนที่ทำงานที่นี่ว่า ใครคือพี่รุ่ง"

"หือ ! ใครอะ ที่เล่าให้นาน่าฟัง ? นาน่าจบโรงเรียนอำไรหรือเปล่า ?"

เธอสั่นหัว

"เปล่าค่ะ !"

"แล้วรู้จักกับใคร เพื่อนพี่เหรอ ?"

"ไม่ใช่ค่ะ ! เป็น เอ่อ......" เธอเริ่มอึกอัก นี่คือสิ่งที่เธอไม่ได้เตรียมตัวมาล่วงหน้า "เป็น.... ไม่ใช่เพื่อนค่ะ"

"เป็นไม่ใช่เพื่อน แล้วเป็นใครครับ ?"

เธอก้มหน้ามองจานข้าว แล้วเงยหน้าขึ้นมา

"ยังไม่บอกตอนนี้ได้มั้ยคะ ?"

รุ่งกระพริบตาปริบ ๆ สีหน้าไม่ยิ้ม ไม่บึ้ง นาน่าจับอารมณ์ของเขาไม่ได้ว่า เขากำลังคิดอะไร แต่ในใจเธอรู้สึกผิดทันที

สีหน้าที่เปลี่ยนมาเป็นเศร้า รุ่งสังเกตได้ชัด

เขาโบกมือใกล้ ๆ ใบหน้าเธอ

"นี่ ๆ ! ไม่บอกก็ไม่บอก พี่ไม่กลัวนาน่าหลอกพี่ไปขายหรอก เริ่มกินได้แล้ว"

สีหน้าเธอเปลี่ยนเป็นยิ้มได้ทันที เธอเริ่มตักอาหารใส่ปาก

รุ่งเคี้ยวไปพูดไป

"ท่าทางเราน่ะ เป็นคนซีเรียสนะ หรือไม่ก็ ....ซื่อ ทุกอย่างออกทางสีหน้าหมดเลย"

นาน่าพยักหน้าทันที

"โง่มากกว่าค่ะ แต่ไม่ซีเรียส คนโง่ ไม่ค่อยซีเรียสหรอก เพราะคิดไม่เก่ง เพื่อน ๆ บอกว่า นาน่าโง่"

"เฮ่ย ! ขนาดนั้นเชียว ไม่ใช่โง่หรอก น่าจะเป็นคนแบบที่เรียกว่า.... เรียกไงดีนะ... รู้จักคำว่า โซฟิสติเคทเต็ด หรือเปล่า ? "

"ค่ะ sophisticated รู้ค่ะ"

"นั่นภาษาไทยเรียกอะไรนะ... อ้อ เรียกว่า ช่ำชอง เจนโลก จัดเจน ใช่มั้ย ? นาน่าจัดว่าเป็นคนตรงกันข้าม คือ ไม่ใช่พวกสาวที่เจนโลก เราไม่ซับซ้อน ไม่มีเล่ห์กล เป็นคนซื่อ ๆ ง่าย ๆ แต่.... ไม่เรียกว่าโง่"

"อื้อ ค่ะ ! ไม่เจนโลก แต่ พี่รุ่งไม่โกรธนะคะ ที่นาน่าไม่ได้เล่าทุกเรื่อง"

"พี่ก็เป็นคนไม่ซีเรียสเหมือนกัน เพราะ พี่ก็โง่ ไม่แน่ พี่น่าจะโง่กว่านาน่าอีกนะ เรื่องของตัวเองที่ควรรู้ คนอื่นยังรู้ดีกว่าพี่เลย"

ลมเริ่มพัดเอื่อยอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณว่า ฝนน่าจะมาเยือนในเวลาอีกไม่นานนัก

รุ่งหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะขึ้นเช็ดช้อนส้อม แล้วจู่ ๆ ก็จิ้มไปที่ไข่เจียวในจานของนาน่า ตัดแบ่งออกส่วนหนึ่ง แล้วตักใส่จานตัวเอง

"ขอกินหน่อยนะ น่ากินจัง"

สาวลูกครึ่งกลับอมยิ้ม

"ไม่นึกว่าพี่รุ่งเป็นคนแบบนี้"

"อือ ! ผิดหวังเลยเหรอ ?"

"ไม่เหมือนที่คาด แต่ นาน่าว่าดีกว่าที่คิดไว้อีกนะ ง่าย ๆ ดี !"

รุ่งมองจานข้าวตัวเอง

"อยากกินอะไรในจานพี่ ตักไปเลย"

เธอมองกับข้าวในจานของรุ่ง

"หมูกรอบแล้วกันค่ะ !" แล้วยื่นช้อนส้อมมาตักหมูกรอบหนึ่งชิ้นกลับไปจานตัวเอง

"คำถามต่อไปนะ ทำไมถึงอยากรู้จักพี่ ? อันนี้ถ้าตอบไม่ได้เนี่ย น่าสงสัยมาก น่าสงสัยว่า..... เสน่ห์ของพี่จะแรงจริง "

เธอตอบทันที

"เพราะ เรามีอะไรเหมือนกัน"

รุ่งเลิกคิ้ว ก้มหน้ามองลงที่ลำตัวของตนเอง แล้วเงยหน้า มองหน้านาน่า

"เหมือนตรงไหน ?"

สาวลูกครึ่งหัวเราะ

"ไม่ใช่ที่รูปร่างค่ะ ! คือ.... นาน่า เอ่อ.... อธิบายยังไงดี" เธอเหลือบตาขึ้นข้างบน ใช้เวลานึกหนึ่งอึดใจ แล้วพูด

"มีบางสถานที่ คนบางกลุ่ม นาน่าไม่ได้เป็นที่ยอมรับของคนที่นั่น พี่รุ่งก็เคยใช่มั้ยคะ ที่มีบางที่ที่ไม่ยอมรับเรา ?"

เขารู้สึกประหลาดใจ ที่ได้รับคำตอบมาเป็นปริศนา

"ดราม่าเลย ! นี่พี่ต้องคิดใช่มั้ยว่า ที่ไหนที่ไม่ยอมรับพี่ แล้วนาน่าไปรู้เรื่องนั้นมา ? เดาง่ายเลย โรงเรียนอำไรแน่นอน ! นาน่าต้องเคยได้ยินเรื่องพี่ที่โรงเรียน หรือว่า.... แพทตี้ ! นาน่ารู้จักกับแพทตี้ !"

เธอสั่นหัว

"ไม่ใช่ค่ะ ! ไม่รู้จัก !"

รุ่งยกมือขึ้นเกาหัว

"งั้น พี่ก็เดาไม่ออกแล้วล่ะ ที่ไหนเหรอ ที่ไม่ยอมรับพี่ มันก็อาจจะมีมากกว่าหนึ่งที่นะ เพราะ จริง ๆ พี่ก็กวนตีนเค้ามาเยอะเหมือนกัน เดาไม่ถูกหรอก เอางี้ดีกว่า นาน่าไปถูกใครเค้าทำอะไรเหรอ ที่ว่าเค้าไม่ยอมรับเราน่ะ ?"

"มันเป็นเรื่องของสถานะน่ะค่ะ ขอเวลานาน่าอีกซักระยะนึง นาน่าจะเล่าให้พี่รุ่งฟัง พี่รุ่งน่าจะเป็นคนเดียวในประเทศนี้ ที่นาน่าคุยด้วยได้"

เขาเบิกตาโต

"ขนาดนั้นเชียว ! เรื่องอะไรหว่า ? ประมาณว่า เรามีหัวอกเดียวกัน ประมาณนั้นใช่มั้ย ?"

เธอพยักหน้าติดกันหลายครั้ง

"ใช่ ๆๆๆ !"

รุ่งก้มลงมองหน้าอกตัวเองอีกครั้ง

"อือ ! ก็เริ่มสงสัยตัวเองมาบ้างว่า ช่วงนี้นมมันคัด ๆ ไงก็ไม่รู้ สงสัยน่าจะเริ่มมีหน้าอกขึ้นมาแระ"

คำตอบนี้ทำให้สาวลูกครึ่งปล่อยก๊ากโดยไม่ต้องมีฟอร์มใด

รุ่งยิงคำถามต่อ รัวเหมือนห่ากระสุน

"คำถามต่อไปเลย นาน่าเป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ ? พ่อ หรือ แม่ ที่เป็นฟิลิปปินส์ ? ทำไมหน้าเหมือนฝรั่ง ? เกิดที่ไหน ? เรียนที่ไหน ? อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย ? พ่อแม่เลี้ยงมายังไง ? ทำไมถึงมาทำงานโรงแรม ? กินอะไรทุกวัน โตขึ้นถึงสวยขนาดนี้ ?"

คำถามที่ได้ยิน ทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์หัวเราะต่อจนร่างโยกไปทั้งตัว เธอยกมือขึ้นปิดปาก

รุ่งทำหน้าเหรอ

"มันตลกตรงไหน ?"

นาน่าควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปาก

"นาน่านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าพี่รุ่งเป็นแบบนี้"

รุ่งสั่นหัวช้า ๆ ท่าทางน้องคนนี้คงจะเส้นตื้นถึงระดับเทพ แค่คำพูดธรรมดา ก็หัวเราะได้เป็นคุ้งเป็นแคว

"อือ นี่ถ้าได้เจอเพื่อนพี่อีกคน เกรงว่าคงต้องเรียกแอมบูแลนซ์มารับน้องแน่"

สาวสวยสูดหายใจยาว ๆ แล้วเริ่มตอบคำถาม

"นาน่าเกิดที่เมืองไทยค่ะ พ่อเป็นคนไทย แต่แม่เป็นฟิลิปปินส์ แม่ก็เป็นลูกครึ่งอีกที เป็นครึ่งฟิลิปปินส์กับฮอลแลนด์"

"อ้อ เราก็มีเสี้ยวของดัทช์น่ะสิ !"

เธอพยักหน้า

"ค่ะ ! เกิดที่นี่ก็เรียนที่นี่ จนจบมัธยม แล้วไปเรียนปริญญาตรี โฮเทลแมเนจเม้นท์ที่สวิสค่ะ"

"โอเค เก็ท ! งั้นข้ามคำถามไร้สาระ ไปตอบคำถามที่ซีเรียสเลยละกัน"

เธอจ้องหน้ารุ่ง

"ค่ะ ! คำถามไหนคะ ?"

"กินอะไรถึงสวยขนาดนี้ ?"

เธออมยิ้ม แล้วถามกลับ

"แล้วพี่รุ่งล่ะ กินอะไรถึงเป็นแบบนี้ ?"

"เยอะน่ะ ! กินมันทุกอย่าง ยกเว้น ขี้กับเยี่ยว แต่ไม่แน่ ซักวันอาจจะลอง"

คำตอบของพี่จอมทะเล้น เรียกเสียงฮาของน้องได้อีก

รุ่งไม่ได้หัวเราะตามไปด้วย เขาจ้องที่หน้าของเธอ รอจนเธอหยุดหัวเราะ แล้วถามด้วยเสียงที่เรียบ

"บุคลิกแบบนี้ของนาน่า สถานที่ไหนเหรอ ที่ยอมรับนาน่าไม่ได้ ?"

สีหน้าของรุ่งเปลี่ยนไปจนอีกฝ่ายแปลกใจ เธอรับรู้ได้ทันทีว่า เขาตั้งใจถามจริงจัง ไม่ใช่กำลังเล่นมุก

เธอไม่รู้จะให้คำตอบอย่างไร ที่แน่ ๆ เธอรู้ดีว่า นี่ยังไม่ใช่เวลาอันสมควรที่จะเล่า

รุ่งถามขึ้นอีก

"ทุกวันนี้ นาน่าคิดว่าตัวเองมีความสุขพอมั้ย ?"

เธอพยักหน้า

"ค่ะ ! นาน่าพอใจในสิ่งที่เป็นในวันนี้"

รุ่งเพยิดหน้ารับรู้ เขาก้มหน้า ตักอาหารเข้าปาก แล้วก็เริ่มทานไปโดยไม่มีการสนทนา

คนสวยก็คือคน ! คนทุกคนก็มีปัญหาประจำตัวแตกต่างกันไป ถ้าสาวสวยคนนี้ถึงขนาดตามหาผู้ชายที่มีหัวอกเดียวกันเพื่อคุยปัญหาที่ ในประเทศนี้ มีผู้ชายคนนั้นคนเดียวที่คุยได้ แสดงว่าปัญหาเรื่องนั้น คงไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยแน่ ๆ

ลมกรรโชกผ่านโต๊ะอาหารเป็นระยะ สายลมเริ่มพัดพาความเย็นถ่ายเทไปทั่วบริเวณ

รุ่งรวบช้อนส้อม ข้าวในจานไม่เหลือซักเม็ด

"อร่อยโคด ! แขนงหมูกรอบ ว่ามะ ?"

เธอพยักหน้าเห็นด้วย แล้วตักอาหารคำสุดท้ายเข้าปาก

รุ่งมองออกไปนอกโรงอาหาร

"ฝนที่นี่ สวยนะ ! วันนี้อาจจะได้เห็น ฝนตกในฟันปาร์ค ได้บรรยากาศซือก้อย"

นาน่ารวบช้อนส้อม หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นเช็ดปาก

"บรรยากาศอะไรนะคะ ?"

"ซือก้อย เดส ทิงต่งมา อั๊วต่ามิไก๊"

เธอสั่นหัว

"ฟังไม่รู้เรื่องค่ะ ภาษาอะไรคะ ?"

"ช่างมันเหอะ บอกไปเดี๋ยวได้หัวเราะเหงือกบวมอีก"

"งั้น น่าน่านึกออกแล้ว ว่าจะถามอะไรพี่รุ่งบ้าง"

รุ่งพยักหน้า รอรับฟัง

"นาน่าอยากจะเก็บไว้ถามวันหลัง ตอนที่เรารู้จักกันมากกว่านี้ แต่... พี่รุ่งดูเป็นกันเองดี นาน่าถามเลยละกันนะคะ อยากรู้ว่าพ่อแม่พี่รุ่งเป็นไงบ้าง ?"

เป็นคำถามที่เขาไม่ได้คาดคิดเช่นกัน แต่มันไม่ใช่แล้ว..... ! มันไม่ใช่แล้ว แน่ ๆ !

สาวคนนี้ ไม่น่าจะตามหาตัวเขาด้วยความเสน่หา จะมีสาวที่ไหนนัดพบกับชายในดวงใจ เพื่ออยากถามเรื่องพ่อแม่ของฝ่ายชาย ?

"นาน่า....ทำไมอยากรู้เรื่องพ่อแม่พี่ ?"

"ก็ พี่รุ่งยังอยากรู้เรื่องของนาน่าเลย นาน่าก็ถามกลับบ้าง"

"แต่เมื่อกี๊นาน่าบอกว่า อยากจะเก็บไว้ถามวันหลัง แสดงว่า มันเป็นคำถามที่นาน่าคิดมาก่อนว่าจะต้องถาม"

สาวลูกครึ่งคนนี้ซื่อจริง ๆ เจอคำถามต้อนง่าย ๆ เธอก็แสดงอาการอึกอัก หาทางแถไม่เป็น

รุ่งจ้องหน้า รอคำตอบ จู่ ๆ นาน่าก็ยกมือไหว้ซะยังงั้น

"ขอโทษค่ะ ! นาน่าขอโทษที่ถาม ไม่ถามแล้วค่ะ ขอโทษด้วยที่ล่วงเกินพี่รุ่ง"

สีหน้าของเธอแสดงออกว่ารู้สึกผิด

รุ่งยกมือห้าม

"ไม่ต้องขอโทษ ! พี่ไม่ได้โกรธ แค่ถามเหตุผลเท่านั้น เอางี้....." เขาหยุดเพื่อคิด แล้วพูดต่อ

"....เอางี้.... วันนี้เราได้กินข้าวด้วยกัน ได้คุยกันบ้าง คงได้รู้จักพี่มากขึ้นว่าเป็นยังไง ไว้ใจได้มากน้อย เท่ากับที่นาน่าคิดหรือเปล่า ไม่รู้ นาน่าลองกลับไปคิดดูก่อนว่า ถ้าครั้งหน้าเราเจอกัน นาน่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ฟังได้มั้ย ว่า อะไรคือสถานการณ์ที่ทำให้นาน่ามาตามหาพี่

ถ้านาน่าคิดว่า ยังไม่ควรเล่า ก็ยังไม่ต้องเล่า ถ้าคิดว่า พี่ไว้ใจได้ ครั้งหน้า พี่อยากฟัง ในเมื่อนาน่าบอกว่า พี่เป็นคนเดียวในประเทศนี้ ที่น่าจะหัวอกเดียวกับนาน่า แล้วนาน่าจะรออะไร ?

ถ้าพี่รู้ว่าเราหัวอกเดียวกันเรื่องอะไร นาน่าอยากรู้อะไร อยากจะให้พี่ช่วยอะไร มันน่าจะง่ายขึ้น ไม่งั้น พี่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง"

สีหน้าเธอดูเศร้า

"ค่ะ ! นาน่าขอโทษที่ทำอะไรโง่ ๆ"

"อี๊...!" รุ่งลากเสียงยาว "ขอโทษอีกแล้ว เจอกันครั้งหน้า ห้ามมีคำว่าขอโทษ ไม่ต้องออกตัวว่าโง่อีก ถ้าคนโง่เค้าสวยได้ขนาดนี้ ผู้หญิงทั้งโลกก็ยอมเอ๋อน้ำลายยืดไปหมดแล้ว

เราน่ะไม่โง่ คนโง่อะไรเรียนจบปริญญาตรี ไปเรียนสวิสมาได้ ความใสซื่อของเรา น่าจะเป็นข้อดีมากกว่า ไม่ใช่ข้อเสีย"

คำพูดของรุ่ง ทำให้เธอมีรอยยิ้มออกมาได้

********************************************************************************

ฝนเริ่มลงเม็ดตั้งแต่บ่ายต้น ๆ

รุ่งโรจน์มารายงานตัวที่แผนกบุคคล คำสั่งย้ายแผนกอย่างเป็นทางการออกมาแล้ว เขารู้ล่วงหน้าจากการพูดคุยกับอาน้อยมาก่อนหน้านี้

หากเป็นการทำงานในบริษัทอื่น การถูกย้ายแผนกบ่อย ๆ น่าจะเป็นประสบการณ์ที่น่าเบื่อ ต้องปรับตัวตลอดเวลา แต่สำหรับตัวเขาที่ได้มาทำที่บางกอกซีดาร์ฟันปาร์คแห่งนี้ กลับกลายเป็นเรื่องที่ตื่นเต้น และ สนุกทุกครั้งที่ได้ย้ายแผนก ได้รู้จักคนมากขึ้น รู้จักงานมากขึ้น

วันจันทร์สัปดาห์หน้า เขาต้องไปเริ่มงานใหม่ ในตำแหน่งพนักงานประจำโซนสี่ และ จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำงานในฟีลด์สวนสนุกเต็มตัว หลังจากขลุกอยู่กับงานออฟฟิศมาสองปี

โรมิโอใช้วิทยุสื่อสารเรียกไปยังชาร์ลีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอตอบกลับ

"ชาร์ลี ลิม่า สี่ พูด โรมิโอ มีเรื่องอะไร ?"

"เธออยู่ที่ไหน ?"

"ฉันอยู่ที่ห้องคอนโทรลฟลอร์เลส เธอมีเรื่องอะไร ?"

"ฉัน ตกงานแล้ว !"

"หา ! เธอตกงาน ! หมายความว่า เธอลาออก หรือว่า เธอถูกไล่ออก ?"

"เดี๋ยวฉันไปหาเธอที่ฟลอร์เลส รอตรงนั้นแหละ"

เขาอมยิ้ม รู้สึกสนุกที่ได้แหย่เพื่อนอินเดียนเล่น เสียงวิทยุสื่อสารระบุชื่อเขาดังขึ้นเป็นภาษาไทย เสียงผู้พูดเป็นหญิง

"โรมิโอ... ตอบด้วย ออสการ์ เซียร่า เรียก"

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นพร้อมกัน

รุ่งเลือกที่จะตอบวิทยุสื่อสารก่อน

"โรมิโอ พูด ตอบ ออสการ์ เซียร่า"

"รุ่งเกิดอะไรขึ้น ทำไม ตกงาน ?"

"ขอโทษครับพี่อรทัย ผมพูดเล่นกับแคลร์ ขอโทษด้วย ไม่ใช่เรื่องจริง"

"ปัดโธ่เอ๊ย ! แล้วดันพูดมาในนี้ คนเค้าได้ยินกันหมดทั้งปาร์คแล้ว ทำไมไม่ไปพูดช่องอื่นเล่า ?"

เขาสะดุ้ง ลืมไปว่าไม่ได้บอกให้แคลร์เปลี่ยนช่องไปใช้ความถี่อื่น ปากก็พล่ามออกไปก่อน

เสียงโทรศัพท์ยังดังอยู่ รุ่งควักโทรศัพท์ขึ้นรับสาย

"ตกงานจริง ๆ เหรอรุ่ง ? มีอะไรมานั่งคุยกันหน่อยดิ" เสียงสาวรุ่นพี่ฝ่ายธุรการถามทันทีเมื่อเขารับสาย

"ขอโทษพี่ริน ผมล้อเล่นกับเพื่อน ลืมไปว่ายังใช้คลื่นกลาง ปากไวไปหน่อย"

"พี่ก็ว่าแล้ว จู่ ๆ มาประกาศกันแบบนี้ มันไม่น่าจะใช่ ไม่ใช่เรื่องจริงก็โอเค แค่นี้แหละ"

สัญญาณข้อความ วิ่งเข้าเครื่องตามมาอีกสามสี่ครั้ง ล้วนแต่ถามถึงเรื่องการตกงานของเขา รุ่งยกมือขึ้นเขกหัวตัวเอง

"พลาดแล้วกู เล่นมากเกินไป !"

*******************************************************************************

ฝนเริ่มโปรยหนาเม็ดขึ้น แต่ยังไม่ถึงกับหนัก

รุ่งขับรถคลับไปตามทางมุ่งหน้าไปที่เครื่องเล่นฟลอร์เลสโคสเตอร์ เขาตั้งใจจะไปทักทายเพื่อนสาวอินเดียหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายวัน แล้วบ่ายแก่ ๆ ต้องกลับเข้าแผนกเพื่อสะสางงานที่ค้างให้เสร็จ ก่อนที่จะย้ายออกจากแผนกเมอร์แชนไดซิงวันศุกร์นี้

เขานึกถึงสาวสวยที่เพิ่งเดทมื้อเที่ยง นาน่านับเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเดทด้วย ในชีวิตนี้ เขาคงไม่มีโอกาสจะได้กินข้าวสองต่อสองกับผู้หญิงที่สวยกว่านี้ได้อีกแล้ว คิดแล้วก็มีรอยยิ้มออกมา

แต่เหตุการณ์ระหว่างมื้ออาหาร อีท่าไหนจึงเปลี่ยนบรรยากาศไปอย่างที่เขาไม่ได้คิด ?

ทำไมบทสนทนาของเขา และ เธอ มันไม่เหมือนกับหนุ่มจีบสาว ? มันเหมือนกับผู้ใหญ่สอนเด็ก หรือ พี่สอนน้องสาว อะไรประมาณนั้นซะมากกว่า

รุ่งเกาหัวตัวเอง แล้วบ่นพึมพำ

"ไมมันเป็นแบบนั้นวะ ? มันน่าจะโรแมนติคกว่านั้นนี่หว่า"

รุ่งจอดรถคลับหลบฝนในชายคาใต้บันไดทางขึ้นลงเครื่องเล่นฟลอร์เลส ฯ

เพื่อนอินเดียนเดินลงบันไดมาถึงพื้น แล้วยืนท้าวสะเอว

"มีเวลาหรือเปล่า ? ขอห้านาที"

รุ่งกวักมือเรียกให้แคลร์มานั่งคุยบนรถคลับ

แคลร์เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนที่นั่งข้าง ๆ

"เธอโกหกฉัน ใช่มั้ย ? เธอไม่ได้กำลังจะตกงาน"

"ฉันถูกย้ายแผนก ไปอยู่ฟีลด์ในโซนสี่"

"โซนสี่ มีอะไรบ้าง ?"

"ลานซุ้มเกมส์ ฟรีฟอลล์ แล้วก็ ซูวิเนียร์ช็อป"

รุ่งสังเกตสีหน้าของแคลร์ ดูอิดโรย และ เพลีย

"เธอไม่สบายหรือเปล่า ?"

แคลร์ยกมือปาดหน้าผากตัวเอง แล้วนวดขมับ

"ใช่ ! เป็นไข้นิดหน่อย เออ... นี่ เธอรู้หรือเปล่าว่า วันนี้มีไฟดับ ?"

"รู้"

"แล้วที่เรือนไม้ ไฟดับด้วย เธอรู้หรือเปล่า ?"

รุ่งขมวดคิ้ว

"ทำไมต้องรู้ เราทำงานฟันปาร์ค ไปเกี่ยวอะไรกับเรือนไม้ ?"

"ไม่ ๆๆ ! ฉันจะบอกว่า ฉันรู้ว่าไฟดับที่เรือนไม้ ก่อนที่จะมีคนบอก มีเสียงผู้หญิง มาบอกกับฉัน"

"เทวดา หรือ ผี ?"

"แตกต่างกันยังไง ? ฉันไม่รู้ว่าใคร แต่เป็นเสียงผู้หญิงมาบอก ฉันได้ยิน แต่ไม่แน่ใจ ฉันจึงโทรไปหาคุณแอนดี้ เขาอยู่ที่เรือนไม้ บอกว่า ไฟดับจริง ฉันก็ไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาบอกฉันทำไม แต่อย่างน้อย ก็ยืนยันกับตัวเองว่า ฉันไม่ได้คิดไปเอง เสียงนั้นบอกได้ถูกต้อง"

รุ่งใช้ความคิด

"เธอมีอะไรกับที่นั่น ? วันนั้นที่เธอไปหาคุณแอนดี้ เธอยังไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฉันฟัง"

แคลร์คิดว่า เธอควรจะพูดเฉพาะเรื่องที่พอจะพูดได้

"เล่าสั้น ๆ ได้ว่า วันนั้นคุณแอนดี้ สอนให้ฉันทำสมาธิ ฉันทำตามตั้งแต่วันนั้นมา ฉันทำตามนั้นทุกวัน เธอคิดว่า อาจเป็นไปได้มั้ยว่า การทำสมาธิตามนั้น ทำให้ฉันผูกพันสื่อสารกับอะไรบางอย่างที่นั่นได้ดีขึ้น ?"

รุ่งพยักหน้า

"เป็นไปได้มากทีเดียว"

แคลร์ตาปรือ เธอกระพริบตาช้าลง รุ่งรู้ว่านั่นคือสัญญาณของความอ่อนเพลียที่ปรากฏบนใบหน้า

"ฉันว่าเธอพักผ่อนดีกว่า สีหน้าเธอบอกว่าป่วยมาก"

แคลร์พยักหน้า

"เดี๋ยวว่าจะจัดการคุยกับคาร์ลให้เสร็จ แล้วขอลาไปพัก เมื่อคืนคุยโทรศัพท์กับโทนี่ จู่ ๆ ฉันก็คิดถึงบ้านมาก คุยไปก็ร้องไห้ไป ตั้งแต่มาที่นี่ ฉันไม่เคยคิดถึงบ้านเลย แต่เมื่อคืน ฉันสติแตก คิดถึงโทนี่ คิดถึงพ่อแม่"

"อือ นั่นล่ะนะ ความสัมพันธ์ระยะไกล ระยะทางกับเวลา เธอก็ต้องเข้มแข็งไว้ ถ้าหายป่วยแล้ว อาการจิตตกก็คงจะหายไป"

"โทนี่เขาคงนับวันคอยฉัน เขาก็ต้องเข้มแข็งเหมือนกัน ความสัมพันธ์ทางไกล มันก็ต้องเข้มแข็งล่ะนะ"

รุ่งพยักหน้า

"รีบไปทำงาน แล้วกลับไปพักเถอะ !"

"อ้าว ! แล้วเธอมาหาฉันที่นี่ มีเรื่องอะไร ?"

"เรื่องเล็กน้อย ไว้เธอหายดีแล้ว ค่อยเล่าก็ได้ ไปทำงานต่อเถอะ"

"โอเค ! งั้นค่อยเจอกัน !"

คำว่า Long Distance Relationship (ความสัมพันธ์ระยะไกล) เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้ซึ้งถึงคำว่า ระยะทาง และ เวลา

ระยะทาง กับ เวลา มันคือสิ่งที่เป็นอุปสรรคกับทุกความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว ญาติมิตร หรือ คู่รัก

ระยะทาง กับ เวลา เป็นสิ่งทดสอบจิตใจคนได้ดีกว่ามาตรวัดอื่นใด

****************************************************************************

1 < อ่านหน้า > 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่