![]() |
| ||||||
| |||||||
สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท ฐิติชญานั่งอยู่ที่โซฟาในร้านกาแฟ บนหน้าตักมีหนังสือ 'สังคมที่ไม่มีคุณ' ของสุริยน ข่มจันทร์ วางอยู่ 'สังคมจอมปลวก' เป็นพ็อกเก็ตบุคแนวปรัชญาสังคมที่ให้ข้อคิดเป็นที่ประทับใจของเธอ ทำให้เธอต้องไปติดตามซื้อหนังสือเล่มแรกที่เขียนโดยผู้เขียนคนเดียวกันมาอ่าน ภารกิจที่จะต้องปฏิบัติในนามของพนักงานเอ็นแอลที ฯ ต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวเพราะเหตุผลทางด้านการเมือง เวลาว่างที่มีทำให้จิตของเธอเริ่มคิดวนไปวนมาไม่พ้นเรื่องของมารดาบังเกิดเกล้า ถ้าคุณป้าซึ่งมีทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ และ รู้จักกับคุณแม่เธอเป็นอย่างดี ยังไม่สามารถระบุต้นเหตุของความห่างเหินที่คุณแม่มีต่อเธอได้ เธอคงไม่เหลือใครให้เป็นที่ปรึกษาอีกแล้วบนโลกใบนี้ พี่จิตรอาจจะเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เธอสามารถระบายความในใจที่หนักอึ้งนี้ให้ฟังได้ แต่คงไม่ใช่เวลานี้ เวลาที่เธอเองก็ยังหาต้นเหตุไม่ได้ พี่จิตรไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบฟังคนบ่นโดยไม่หาวิธีแก้ อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอนจริง ๆ เหมือนกับที่คุณป้าพูดไว้ การเมืองในประเทศไทย ทำให้การงานต้องชะงัก โอกาสที่เธอจะได้เซ็นสัญญากับเอ็นแอลที ฯ ต่อไป ก็เป็นอันต้องชะงักไปด้วย แผนที่เคยวางไว้ว่า เมื่อได้กลับเมืองไทยมาพักไม่เกินสี่เดือน แล้วเซ็นสัญญา กลับไปทำงานที่เยอรมันต่อ ก็เริ่มไม่แน่นอนเสียแล้ว เธออาจจะต้องอยู่ที่เมืองไทยมากกว่าสี่เดือน หรือ ตลอดไป ! ถ้าไม่ได้ทำงานที่เอ็นแอลที ฯ คอนโดที่เช่าไว้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอก็จะกลับไปอยู่ที่บ้านทุกวันเหมือนแต่ก่อน แล้วก็จำเป็นต้องทนกับสภาพความหมางเมินที่แม่มีต่อเธอทุกวัน .....ทุกวัน ! ถ้าต้องอยู่ในประเทศไทยต่อไปอีกไม่มีกำหนด เธอคงหลีกไม่พ้นที่ต้องติดต่อกับเพื่อนเก่า ๆ พิจิตรปรากฏตัวในชุดลำลอง กำลังเดินเข้าร้านกาแฟ ตรงเข้ามาที่โซฟา "กู๊ทเท่น ท๊าก ! (สวัสดี !)" เขาทักทายด้วยภาษาเยอรมัน แล้วส่งยิ้มให้แฟนสาว "วีเกท เอสอีเนน ? (สบายดีมั้ยคะ ?)" เธอทักตอบด้วยภาษาเดียวกัน เขาทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตรงข้าม "นิมิตจะกลับถึงไทยวันนี้ เบอร์ลินสั่งระงับโครงการที่มีกับกระทรวงกลาโหมไทย" "พี่จิตรหมายถึงเบอร์ลินไหน ? รัฐบาลเยอรมัน หรือ เอ็นแอลที เบอร์ลิน ?" "เอ็นแอลที เบอร์ลิน โธมัสถูกย้ายไปดูโปรเจ็คท์ตุรกี" แฟนสาวถลึงตาโต "โธมัสถูกย้าย ! เค้าถูกใครย้ายคะ ? หรือว่า เค้าขอย้ายตัวเอง ?" พิจิตรยักไหล่ "พี่ก็ไม่รู้ ! เกอร์ดาบอกว่า เอ็นแอลที ฯ พยายามกลบเรื่องนี้ให้เงียบก่อน แล้วอาจจะเริ่มโครงการเราใหม่อีกโดยใช้ชื่อบริษัทอื่นที่ไม่มีล็อคฮีด ฯ ร่วมหุ้น" ทอมเอียงคอ "อ้าว ! แล้วกลาโหมไทยจะยอมเหรอคะ ? เดิมที เพราะเทคโนโลยีของล็อคฮีด เราถึงสนใจในราคานี้" พิจิตรสั่นหัว "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน คนเยอรมันเค้าตรงไปตรงมา อะไรที่ใต้โต๊ะเค้าจะไม่ทำ ยอมล้มโครงการดีกว่า ไม่ได้กองทัพไทย เค้ายังมีกองทัพตุรกีเป็นอีกไซ๊ท์ที่แทนเราได้ แต่ ญาดูนี่สิ..." พิจิตรหยิบโทรศัพท์มือถือยื่นให้แฟนดูหน้าจอ "ญาแปลหน่อยว่า นี่หมายถึงอะไร พี่ถามเกอร์ดาว่า อุปกรณ์ที่มีอยู่ในไทยตอนนี้ ไม่ให้วางไว้ที่กระทรวงกลาโหม แล้วก็ไม่ยอมรับกลับเยอรมัน ราคาตั้งหลายล้าน จะให้เราทำไง ? เกอร์ดาตอบกลับมาว่า drop the river... มันแปลว่าอะไร ?" ทอมอ่านหน้าจอมือถือ เธอหัวเราะ "โยนทิ้งแม่น้ำเหรอ ? ฮ่า ๆๆๆ ! ไม่น่าใช่ น่าจะเป็นความหมายอะไรซักอย่าง" "นั่นน่ะสิ ! หรือคำว่า ริเวอร์ มันหมายความเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวถามเค้ากลับไปอีกทีให้อธิบาย" "สเตตัสของเราจะเป็นยังไงต่อไปนะ ถ้าไม่มีโปรเจ็คท์นี้ในไทย เราก็ต้องหางานใหม่" พิจิตรมองหน้าแฟนสาว "ถ้านิมิตรู้เรื่องของเรา ระหว่างเรา ก็จะมีแค่คนเดียวที่จะได้เซ็นสัญญาต่อ" ทอมยกมือขึ้นเกาหัว "ญาไม่เข้าใจว่า ทำไมเค้าถึงต้องมีกฏว่า พนักงานโครงการ เซ็นสัญญาชั่วคราว ถึงห้ามเป็นแฟนกัน ?" "ความรัก มันทำให้การตัดสินใจหลายอย่างเปลี่ยนไป ถึงจะไม่ใช่พนักงานถาวร แต่เราก็ทำงานเกี่ยวกับความมั่นคง ความลับ มันสำคัญมากที่ต้องได้คนที่ทำงานตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่ส่วนตัว เรื่องนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติขององค์กรระดับนี้ทุกแห่ง เราเข้ามาทำงานกับเค้า เราต้องเข้าใจกฏกติกาของเค้า" "งั้นที่เราสองคนคบกัน ก็ไม่เป็นผลดีต่อความมั่นคงของเอ็นแอลที ฯ ซึ่งอาจจะมีผลต่อกองทัพไทย เป็นภัยต่อราชอาณาจักรไทย เอกราชของประเทศไทย ขึ้นอยู่กับเราสองคน" เธอพูดแล้วก็หัวเราะตัวเอง พิจิตรหัวเราะตามไปด้วย "เรื่องนี้ค่อยว่ากัน หรือไม่ เราก็ฆ่าปิดปากนิมิตซะ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเราคบกัน" สองหนุ่มสาว หัวเราะเสียงดังลั่นร้านกาแฟ "เมื่อกี๊ก่อนพี่เข้ามา เห็นญานั่งใจลอยคิดถึงเรื่องอะไร ? หน้าตาซีเรียสเชียว" "อือ... ก็.... ขอญาจัดการอะไรอีกซักหน่อย แล้วคงจะเล่าให้พี่จิตรฟัง" พิจิตรพยักหน้ารับรู้ สายตามองไปที่พ็อกเก็ตบุคที่หน้าตักของเธอ "อ่านเล่มนั้นด้วยเหรอ ?" ทอมหยิบพ็อกเก็ตบุคที่หน้าตักขึ้นมาชูให้ดูบนโต๊ะ "พี่จิตรรู้จักด้วยเหรอ ?" เขาพยักหน้า "รู้จัก เล่มนี้เคยอ่านแล้ว พี่เคยเจอสุริยนด้วยนะ คนเขียนน่ะ ตัวจริงเค้าไม่ได้ชื่อสุริยน นี่เป็นนามปากกา" "อ้าว ! เหรอคะ ? นึกว่าเป็นชื่อกับนามสกุลจริง พี่จิตรรู้จักเค้าได้ยังไง ?" "พี่รู้จักเค้า แต่เค้าไม่รู้จักพี่หรอก เคยเจอเค้าในงานทำบุญ แม่พี่เป็นคนชี้ว่าคนนี้คือสุริยน อายุประมาณห้าสิบ แต่เห็นไกล ๆ น่ะ วันนั้นคนเยอะ เป็นไง ? อ่านแล้วชอบมั้ยเล่มนี้ ?" เธอพยักหน้า "ค่ะ ! แนวความคิด พอไปกันได้กับพี่จิตร" พิจิตรกลับหัวเราะ "พี่น่ะเอาเค้าเป็นตัวอย่างซะมากกว่า คุณสุริยนเค้ามีความเชื่อสายเดียวกันกับพี่ มีประสบการณ์มากกว่า มีความคิดที่คมกว่า พี่อ่านหนังสือเค้าแล้วยอมรับเลยว่าหลักการเค้าแข็ง มั่นคง" "สายเดียวกัน ! หมายถึงปฏิบัติเหมือนกันเลยเหรอ ?" "ใช่ ! เพราะมาจากต้นตอเดียวกัน ถ้าญาสนใจ ว่างเมื่อไหร่ พี่จะพาไปที่ที่พี่ไปฝึก คุณสุริยนก็ฝึกที่เดียวกับพี่ ไว้ให้ญาแข็งแรงดีก่อน" แฟนสาวพยักหน้า "ค่ะ ! ตอนนี้ก็โอเค เริมหายไปแล้ว เหลือแค่ยังเพลีย ๆ นิดหน่อย" พิจิตรมองไปที่โต๊ะซึ่งไร้แก้วกาแฟ มีแต่แก้วน้ำเย็นเปล่าตั้งอยู่ "ญาไม่ได้สั่งกาแฟเหรอ ?" แฟนสาวสั่นหัว "ยัง ! รอพี่จิตรมานี่แหละ" "งั้นจะเอาอะไร ? เดี๋ยวพี่จะเดินไปสั่งของพี่ด้วย" "เอาเหมือนพี่จิตรแหละ !" เขาพยักหน้ารับรู้ แล้วลุกออกจากเก้าอี้ เดินตรงไปทางเคาน์เตอร์ ทอมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา กดดูรายชื่อเลขหมายในหน่วยความจำ แล้วกดโทรออก เสียงปลายทางเป็นเสียงของผู้ชายที่คุ้นเคย "สวัสดีครับ !" ทอมหัวเราะเบา ๆ "ฮะ ฮะ !" ปลายทางย้ำคำทักทายอีกครั้ง "สวัสดีครับ ! จากที่ไหนครับ ?" "จากที่นี่แหละ !" ปลายทางถามกลับ "ที่โน่นชื่ออะไรครับ ? ขอโทษครับ เบอร์ไม่อยู่ในคอนแทคผม บอกชื่อได้มั้ยครับ ?" ทอมหัวเราะอีกครั้ง "ฮ่า ๆ ! แกจำเสียงชั้นไม่ได้ !" สักหนึ่งอึดใจ เสียงปลายทางตะโกนกลับ "อ้าย....เหี้ย... ทอม ! มึงกลับมานานแล้วใช่มั้ย ? ทำไมถึงเพิ่งโทรมา ?" เธอหัวเราะร่วนเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนเก่าพูดด้วยสำเนียงที่คุ้นเคย "เบา ๆ ก็ได้ ! คนแถวนั้นขี้หดหมด" "แกนี่มันสมควรตาย ! แกไปได้ผัวเยอรมันมาแล้วใช่มั้ย ถึงไม่กล้าติดต่อกลับมา ? ไอ้รุ่งบอกว่าเจอแกที่คอนโดแถวพระโขนง แกเช่าอยู่กับผัวเยอรมันใช่มั้ย ?" ไม่ว่าสำเนียงของเพื่อนจะกระโชกโฮกฮากขนาดไหน ก็ไม่อาจทำให้เธอหยุดหัวเราะได้ "ฮ่า ๆๆๆๆ ! ไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้ว อย่าเพิ่งถามมากเลย วันนี้ว่างหรือเปล่า วิทย์ ? มาเจอกันหน่อยดิ" วิทย์ตอบกลับทันที "ได้ ! เดี๋ยวโทรตามไอ้รุ่งด้วย แกรู้ป่าวว่าไอ้รุ่งมันฉุนชิบหาย ที่แกเจอมันวันนั้นแล้วก็เงียบห่าไปเลย ?" "แกไม่ต้องบอกรุ่ง" "มีอะไรกับไอ้รุ่งวะ ? หรือ แกอายที่แกท้องป่องแล้ว ไม่กล้าให้ไอ้รุ่งเห็น ?" "ไอ้บ้าเอ๊ย ! ถ้าชั้นอายมัน ชั้นไม่อายแกด้วยเหรอไง ? ชั้นจะโทรหามันเอง มันอยากจะด่าจะให้มันด่าให้พอใจก่อน" วิทย์หัวเราะหึ ๆ "เออ ! โทรหามันเองน่ะดีแล้ว ช่วงนี้มันมีเรื่อง แกอาจจะช่วยเป็นที่ปรึกษาให้มันก็ได้ จิตใจมันว้าวุ่นเหมือนวัยขนเพิ่งขึ้น" ทอมหัวเราะคำพูดเพื่อน "อายุจะสามสิบแล้ว ขนอะไรวะเพิ่งมาขึ้น ? เจอที่เซ็นทรัลลาดพร้าวได้หรือเปล่า ? ทุ่มนึง แกเลิกงานหรือยัง ?" "ได้ ๆ ! วันนี้ได้ ! แกใช้มือถือเบอร์นี้ใช่มั้ย ? เดี๋ยวไปถึงที่นั่นแล้วโทรหาละกัน" "เออ ใช่ ใช้เบอรนี้ ! เดี๋ยวชั้นโทรนัดไอ้รุ่งให้ได้ก่อน ค่อยคอนเฟิร์มแกอีกที" "เออ แกนัดไอ้รุ่งให้ได้ก่อนแล้วกัน ขืนไม่นัดมัน เราเจอกันสองคน เดี๋ยวมันงอนฆ่าตัวตายเลย" เธอวางสายจากเพื่อนเก่า แล้วชะเง้อมองที่เคาน์เตอร์ พี่จิตรไม่ได้อยู่บริเวณนั้น สายตาที่มองออกไปนอกร้าน เห็นเขากำลังช่วยคุณลุงอาวุโส อายุประมาณเจ็ดสิบปี เข็นรถ ชายอาวุโสส่งรอยยิ้มแล้วโบกมือให้พร้อมคำขอบคุณ เสร็จแล้วเปิดประตูก้าวขึ้นรถ พิจิตรเดินกลับเข้ามาในร้าน หยิบถาดเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ เดินกลับมาที่โต๊ะ "ทำหน้าที่พลเมืองดีอีกแล้วเหรอ พี่จิตร ?" เขาหยิบกาแฟสองแก้ว กับ จานบราวนี่วางไว้บนโต๊ะ แล้วมองผ่านผนังกระจกออกไปที่ลานจอดรถ "ไอ้ที่ตรงนั้นมันจอดขวางไม่ได้ มันเป็นหัวมุม ลุงคนนั้นเค้าเข็นคนเดียวไม่ไหวหรอก ไอ้รถแดงนั่นนิสัยเสีย เห็นว่าใกล้ประตูทางเข้าก็จอดขวางมันตรงนั้น" ทอมจ้องที่ถ้วยกาแฟ และ บราวนี่ เธอชี้นิ้วไปที่กาแฟถ้วยเล็กที่สุด "อันนี้ เอ็กซเพรสโซ่ ?" พิจิตรพยักหน้า "ใช่ ! บราวนี่ แล้วตามด้วยเอ็กซเพรสโซ่ ซิงเกิ้ลช็อต" ราวกับรู้ใจ ! ปกติแล้ว กาแฟที่เธอชอบที่สุด คือ คาปูชิโน่ แต่ วันนี้ เธอรู้สึกอยากทานของหวาน แล้วตามด้วยกาแฟดำรสเข้มข้น เอ็กซเพรสโซ่เป็นคำตอบที่เธอนึกอยู่ในใจตั้งแต่เดินเข้าร้านกาแฟมาแล้ว "พี่จิตรเหาะได้ด้วยหรือเปล่า ?" เขาเลิกคิ้ว "เหาะไปไหน ?" ทอมอมยิ้ม เธอหยิบช้อนตัดบราวนี่ในจาน "ญามีเพลงจะให้พี่จิตรฟัง ไว้ให้ดาวน์โหลดมาก่อน จะส่งให้" พิจิตรยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ "เพลงอะไร ?" "เพลงของพี่จิตร มีคนแต่งให้พี่จิตร" "แต่งให้พี่ ? ใครแต่ง ?" พิจิตรรีบวางถ้วยกาแฟบนโต๊ะ สายตาจ้องออกไปที่ลานจอดรถ สาวในชุดกระโปรงยาว วัยประมาณสามสิบกว่าปี กำลังเปิดประตูขึ้นรถคันสีแดงที่จอดซ้อนคันอยู่ เขาลุกพรวดขึ้นจากโต๊ะทันที แล้วรีบก้าวเท้าเดินตรงไปทางประตูร้าน โดยที่ทอมไม่ทันได้เอ่ยปากคำใด เธอมองผ่านผนังกระจก เห็นแฟนหนุ่มของเธอเดินตรงไปที่รถคันสีแดง เจ้าของรถเลื่อนกระจกลงเมื่อพิจิตรกวักมือเรียก เขายืนต่อว่าชี้มือไปที่บริเวณหัวมุมทางโค้งของลานจอดรถ สาวเจ้าของรถมีสีหน้าไม่พอใจ มีคำพูดส่งท้ายก่อนเลื่อนกระจกขึ้น ทอมสังเกตจากสีหน้ายัยสาวนางนั้น ก็คาดเดาได้ว่า เป็นคำอวยพรทางด้านลบ พิจิตรเดินกลับมาพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัว เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ทอมถามขึ้น "เค้าว่าอะไรพี่จิตร ?" "พี่บอกเค้าว่า ทีหลังอย่าจอดซ้อนคันตรงหัวมุม คนอื่นเลี้ยวไม่สะดวก เค้าบอกว่า คุณเป็นยามเฝ้าลานจอดรถหรือไง ? จอดตรงนี้มันหนักหัวคุณตรงไหน ?" ทอมสั่นหัว "มารยาททรามจริง ๆ ! ไม่สำนึกแล้วยังมาว่าคนที่หวังดีอีก แต่พี่จิตรก็ไม่น่าจะไปว่าเค้า เดี๋ยวถ้าคันอื่นเลี้ยวไม่พ้น ก็คงลงไปจัดการเข็นกันเอง" เขามองหน้าเธอ "ญาพูดแบบนี้ไม่ได้นะ ! เราเห็นคนทำผิดอยู่ชัด ๆ แล้วเรานั่งเฉย ๆ สังคมมันถึงได้เละเทะเพราะมีแต่คนเอาแต่สบาย ถือว่า ธุระไม่ใช่" ทอมอมยิ้ม "เหมือนกับคุณสุริยนจริง ๆ พี่จิตรน่าจะแรงกว่าคุณสุริยนด้วยอีกมั้ง" คำหยอกของแฟนสาวทำให้เขามีรอยยิ้มกลับมาได้ "บราวนี่เป็นไง ? พอใช้ได้มั้ยร้านนี้ ?" ทอมพยักหน้า "ค่ะ !" "พรุ่งนี้ พี่จะพาไปที่ศูนย์ที่พี่ไปปฏิบัติ ที่ที่พี่เจอคุณสุริยนน่ะ อยู่ที่เนินพระศรี ไปมั้ย ?" เธอมองที่หน้าปกหนังสือพ็อกเก็ดบุค แล้วพยักหน้า "ไปค่ะ ! แล้ว... อย่างคุณสุริยนนี่ ชาติก่อนเค้าเป็นอะไรน้า ชาตินี้ถึงได้เกิดมาเก่งขนาดนี้ แต่งหนังสือขายได้เป็นแสนเล่ม ?" พิจิตรสั่นหัว "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นแม่ทัพมาก่อน มาชาตินี้ ก็มานำบริวารเดิม ที่อ่านหนังสือของเค้า แล้วศรัทธาเค้า ให้เดินทางตามที่เค้าเดิน" ทอมฟังความคิดเห็นของแฟนหนุ่มแล้วพยักหน้า "อือ.... ! งั้นพี่จิตรก็อาจจะเคยเป็นบริวารคุณสุริยนมาก่อน พอได้อ่านหนังสือของเค้าก็เลยศรัทธา" "หลักการที่เค้าเขียนในหนังสือ ก็มาจากแนวทางของที่ศูนย์ที่พี่ไปปฏิบัติอยู่แล้ว แนวเดียวกัน แต่คุณสุริยนเค้าสามารถอธิบายแตกรายละเอียดออกมาได้เก่งกว่าคนอื่น" "หลักการไหนเหรอคะ ที่เป็นแนวทางเดียวกัน เพราะในหนังสือ มีเยอะมากเลย ปรัชญาดี ๆ ทั้งนั้น ? หมายถึง ทุกอันเลยเหรอคะ ?" "ไม่ใช่หรอก ! ในนั้นคุณสุริยนเค้าแตกย่อยมาแล้ว คำสอนที่สำคัญ ๆ ของที่นี่ ก็อย่างเช่น คนที่แข็งแรงกว่า ต้องช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่าอยู่เสมอ ไม่มีคำว่าวางเฉย อันนี้เรื่องนึง อีกเรื่อง ก็ การพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่ากรอบที่สังคมขีดไว้ ถ้าทุกคนทำได้แบบนี้ สังคมก็จะไม่มีกรอบ มันจะเร็วมากถ้าคนจำนวนมาก เปลี่ยนทัศนคติพร้อมกัน สังคมจะเปลี่ยนได้ในเวลาที่คาดไม่ถึง กรอบที่เคยมี จะหายไปในเวลาที่เร็วมาก อะไรที่เคยคิดว่าใช้เวลาสิบปีในการเปลี่ยน มันอาจจะใช้เวลาแค่สองสามปี แล้ว อะไรที่คิดว่าเป็นบรรทัดฐาน เปลี่ยนไม่ได้ มันจะเปลี่ยนได้อย่างคาดไม่ถึง ญาพอจะเข้าใจมั้ย ?" เธอพยักหน้า "ค่ะ ! เพราะญาอ่านเล่มสังคมจอมปลวกมาแล้ว พอพี่จิตรพูด ญาก็เข้าใจเลย คุณสุริยนเค้ายกตัวอย่างได้เก่งมากเลย เรื่องที่พูดถึงญี่ปุ่น กับ เยอรมัน ที่แพ้สงคราม แล้วกลับพลิกให้ทุกอย่างกลายเป็นตรงกันข้ามได้ในระยะเวลาที่ ไม่มีชนชาติไหนอีกแล้ว จะทำได้ อ้อ... แล้วก็เรื่องของมิกซ์ ที่พลิกจากเด็กที่ถูกทุกคนตราหน้าว่า ไร้ความสามารถ จนกลายมาเป็นศิลปินแนวหน้าของประเทศได้" พิจิตรยกกาแฟขึ้นจิบ "พี่เคยบอกญาแล้วใช่มั้ยว่าชีวิตที่อยู่เอาตัวรอดไปวัน ๆ มันไร้ค่า รกโลก ถ้าอยู่โดยไม่มีอุดมการณ์เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น คุณก็คือภาระผู้อื่น ?" แฟนสาวพยักหน้า "จำได้ค่ะ ! ไม่มีทางสายกลาง ถ้าไม่ช่วยผู้อื่น คุณก็คือภาระของสังคม มนุษย์ที่อยู่โดยแค่เอาตัวเองรอด คือ ขยะของโลกใบนี้" พิจิตรพยักหน้าสำทับ "งานที่เราได้ทำ มันไม่ใช่แค่เพื่อเงินเดือน ไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่มันคือความสำคัญในการรักษาความเป็นชาติไว้ วันนี้เราสามคนเป็นแค่พนักงานชั่วคราวเท่านั้น แต่หัวใจของงานนี้ คือ แนชั่นแนลดีเฟนซ์ การปกป้องเอกราชของชาติ ในยุคนี้ พลเมืองจะเป็นกลไกที่สำคัญที่สุดในการปกป้องชาติ ไม่ใช่ทหาร ในยุคนี้ ฆราวาสจะเป็นผู้กำหนดศีลธรรมของคนในชาติ ไม่ใช่พระ ไม่ใช่สถาบันทางศาสนา" ทอมพยักหน้า เธอเสริมประโยคสุดท้าย "ในยุคนี้ ประชาชน จะกำหนดแนวทางของรัฐ ไม่ใช่นักการเมือง" พี่จิตรพยักหน้า "ใช่ ! ยุคนี้ มาถึงแล้ว ! มันมาถึงโดยที่คนที่อยู่ในตำแหน่งเอง ยังไม่รู้ตัวว่ามันมาแล้ว คนที่อ่านหนังสือสังคมที่ไม่มีคุณแล้วเห็นว่าเป็นแค่ความคิดเห็นที่ให้แค่ความบันเทิง คนพวกนี้อีกไม่นานจะไม่มีที่ยืนในสังคม" ฐิติชญาอมยิ้ม เธอนึกภูมิใจในตัวแฟนหนุ่มที่คงมั่นในเรื่องจิตสำนึกการรับผิดชอบต่อสังคม เป็นโชคชะตาที่ประมาณค่าไม่ได้ที่เธอถูกชักนำให้มาพบกับเขา ************************************************************************************************** ทอมโทรหารุ่งโรจน์เป็นครั้งที่ห้าของวัน แต่ปลายทางไม่รับสาย เธอโทรหาวิทย์อีกครั้ง "วิทย์ ! ไอ้รุ่งมันไม่ยอมรับโทรศัพท์ สงสัยเบอร์ไม่คุ้นมันก็ไม่โทรกลับด้วย แกโทรบอกให้มันโทรหาชั้นหน่อยดิ" "ปกติ ! บางทีโทรไปมิสคอล ข้ามวันมันค่อยโทรมา ไม่แน่ ส่งจดหมายติดแสตมป์อาจจะเร็วกว่า เดี๋ยวจัดการให้" วิทย์ตอบกลับ "สองปีนี่มันไปอยู่ป่าหรือไงวะ ? งานที่ฟันปาร์คห้ามพกโทรศัพท์เหรอ ?" วิทย์หัวเราะ "แกจะเอาอะไรกับมันวะ ? นาฬิกามันก็ไม่ใส่ กระเป๋าตังค์แม่งก็ไม่มีปัญญาจะหามาพก โทรศัพท์มันก็คงรับเฉพาะวันเทศกาลสำคัญเท่านั้น แกเก็ทยัง ?" ทอมหัวเราะเมื่อนึกถึงภาพของรุ่งในความทรงจำ "เออ... ! แล้วแต่ก่อนเราติดต่อมันยังไงวะ ?" เธอพูดกับตัวเองให้เพื่อนได้ยิน พร้อมกับความรู้สึกที่จู่ ๆ ก็ผุดขึ้นมา เวลาผ่านไป เร็ว หรือ ช้า ? ครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ หรือ เมื่อนานมาแล้ว เธอเคยสนิทกับเพื่อนทั้งสองคนนี้มากจนไม่เคยคิดว่าจะสนิทกับใครได้มากไปกว่านั้นอีกแล้ว วิทย์เป็นเพื่อนผู้ชายที่ติดพูดคำหยาบตลอดเวลา มุ่งแต่ทำงานหาเงินเพื่อสร้างฐานะตนเอง ไม่สนใจเรื่องชาติเรื่องบ้านเมือง รุ่งเป็นเพื่อนที่ไม่มีอะไรเป็นแก่นสาระ ไม่มีแฟน ไม่มีอุดมการณ์ในการทำงาน แม้แต่วิธีจัดการกับธนบัตร และ เศษสตางค์ของตัวเอง เพื่อนคนนี้ยังไม่สามารถจะมีปัญญาคิดได้ "วิทย์ ! ไม่เป็นไรแล้ว ! ยังไม่ต้องตามไอ้รุ่งหรอก ไว้มีโอกาสค่อยเจอกันดีกว่า ชั้นมีเรื่องอื่นต้องทำ" "อะไรวะ ? จู่ ๆ โทรมานัดแล้วมีเรื่องอื่นต้องทำ ?" "ถ้านัดเจอได้เลย ก็โอเค แต่นี่... ชั้นว่าไร้สาระว่ะ ! ตามมันก็ลำบาก ดูท่าทางมันก็ไม่ใส่ใจสังคมเท่าไหร่ เรื่องมีสาระอีกเยอะแยะไม่คิดจะทำ ถ้ามันไม่คิดจะมองดูโลกภายนอก ก็ปล่อยมันอยู่กับโลกของมันเองแบบนั้นเหอะ ไว้โอกาสหน้าค่อยเจอแล้วกัน แค่นี้ก่อน" ทอมตัดสายจากเพื่อน เวลาที่ผ่านไปนั้น เร็ว หรือ ช้า.... ? ความรู้สึกเติบโตเป็นผู้ใหญ่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับเธอ เหมือนกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ผลักเธอให้หลุดออกมาจากกรอบเดิม ความรู้สึกหลุดพ้นจากความไร้สาระในชีวิตแบบนี้นี่เอง ที่เรียกว่า ปัญญา ************************************************************************************************** 1 < อ่านหน้า > 3
|
|||||||
![]() |
|||||||
![]() |