ตอน 24

เนินพระศรี

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

อาการทางปอดของประยงค์ยังไม่กระเตื้องขึ้น เสมหะถูกดันมาจุกอยู่ที่คอตลอดเวลา ทำให้เขาต้องตั้งใจไอเพื่อขับเสมหะทุก ๆ สองนาที

"นายพงษ์พัฒน์อยู่ที่สุรินทร์ บ้านที่นายพงพัฒน์ไปอาศัยอยู่เป็นทรัพย์สินของนายธีรพงษ์ รักษ์คงชาติ ไม่รู้สองคนนี้มีความสัมพันธ์อะไรกัน"

"ธีรพงษ์ รักษ์คงชาติ คือ ใครคะ ?" เลอหงส์ถาม

"เค้าเป็นเจ้าของโรงเรียนมัธยมในอำเภอศิขรภูมิ ถือว่าเป็นคนดังในพื้นที่ แต่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ แค่เป็นคนที่คนในอำเภอรู้จักดี"

นักสืบผิวคล้ำร่างกายซูบผอม พยายามโก่งหลังเพื่อไอขับเสมหะออกมา ในมือถือกระดาษทิชชู่ม้วนใหญ่ ข้าง ๆ มีถังขยะใบเล็กตั้งอยู่บนพื้น

เมื่อไอขับเสมหะออกมาที่กระดาษแล้ว เขาก็ขยำกระดาษหย่อนลงในถังขยะ

"คุณหงส์ปล่อยเป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ เราเข้าไปทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ รู้ที่อยู่แล้ว เข้าถึงตัวได้ แต่จะเข้าไปทำอะไร ? เราไม่มีคน ไม่มีกองกำลังจะไปทำอะไร"

เขาหยุดพูดเพื่อไออีกครั้ง

หงส์จับข้อมือนักสืบประยงค์

"น้ายงค์แค่ให้ที่อยู่มาก็พอค่ะ หงส์ขอแค่นั้น"

"เล่าให้คุณแอนดี้ฟังเถอะ ! ปรึกษากับคุณแอนดี้ อย่าทำอะไรคนเดียว"

"หงส์ไม่ได้ทำอะไรคนเดียว มีคนช่วยหงส์ น้ายงค์ไม่ต้องเป็นห่วง ห่วงสุขภาพตัวเองเถอะ ลูกสาวน้ายงค์ได้งานทำหรือยัง ?"

น้ายงค์หยิบกระดาษทิชชู่ปิดปาก แล้วพยักหน้า เสียงอู้อี้ลอดมาจากกระดาษทิชชู่

"คุณแอนดี้ฝากงานให้ ขอบคุณคุณหงส์ที่เป็นห่วง"

"หงส์ถามน้ายงค์อีกคำถามนึง ขอให้ตอบหงส์ตามตรง"

นักสืบประยงค์พยักหน้า

"น้ายงค์ป่วยเป็นอะไร ?"

"น่าจะหลอดลมอักเสบครับ"

"น่าจะ ? หมอแค่สันนิษฐานเหรอคะ ? แต่นี่มันสองเดือนแล้ว..."

เธอชะงัก ตัดสินใจว่าจะไม่ซักไซ้ไร่เรียงต่อ ถึงแม้เธอมั่นใจว่าน้ายงค์รู้ตัวเองว่าป่วยหนักกว่าแค่หลอดลมอักเสบ แต่ไม่ยอมบอกเธอ เพราะ ถึงรู้ไป เธอก็ไม่มีกำลังใด ๆ จะช่วยเขาได้ในตอนนี้

"เอกสารทั้งหมดของนายพงษ์พัฒน์ อยู่ในซองเอกสารบนโต๊ะ ขอโทษที่ผมเป็นคนรุ่นเก่า ไม่ถนัดใช้คอมพิวเตอร์ นักสืบรุ่นใหม่ คงส่งเป็นไฟล์ให้คุณหงส์ง่ายกว่า"

หงส์เอื้อมมือไปจับข้อมือน้ายงค์

"นักสืบรุ่นไหน เค้าก็ไม่ใช่น้ายงค์ หงส์พอใจของหงส์แบบนี้ หมดงานน้ายงค์แล้วนะคะ ขอให้น้ายงค์ดูแลสุขภาพ"

ประยงค์กลับเบี่ยงมือกลับมาจับข้อมือหงส์ แล้วเขย่าเบา ๆ

"คุณหงส์อย่าไปสุรินทร์ ! ไม่คุ้มกับชีวิตเราหรอก"

หงส์หัวเราะเบา ๆ

"หงส์ไม่กล้าไปหรอกค่ะ !"

น้ายงค์สูดหายใจเข้าอย่างลำบาก มีอาการหอบให้เห็นอยู่ตลอด เขาพยายามเค้นเสียงพูด

"มีอีกสองทางที่ปลอดภัยกว่า ถึงจะสืบยากกว่า แต่มันก็ง่ายกว่าไปยุ่งกับมือปืน"

หงส์พยักหน้า

"สืบจากทางแก่งอุดมใช่มั้ยคะ ?"

น้ายงค์พยักหน้า

"แล้วอีกทางล่ะคะ ?"

"สืบจากทางคุณหลง ย้อนประวัติการใช้ชีวิตของคุณหลง เค้าคบกับใคร เค้าไปไหนมาบ้าง ย้อนไปให้ได้มากที่สุด ถามคนที่ใกล้ชิด คนที่เค้าเคยติดต่อ แล้ว...."

เขารีบนำกระดาษทิชชู่ปิดปาก เพื่อไอขับเสมหะออกมา เสียงเสมหะที่ข้นคลั่กผ่านลำคอออกมาอย่างยากลำบาก

"ไม่ต้องอธิบายแล้วค่ะ ! น้ายงค์พักผ่อนเถอะ ไม่ต้องใช้เสียงแล้ว"

เธอมองดูอาการไอของนักสืบคู่ใจพี่ชายด้วยความเป็นห่วง ร่างกายที่ซูบผอมไปอย่างมาก บ่งบอกว่าอาการของน้ายงค์แย่ลง ๆ ทุกวัน

*******************************************************************************************

โทรศัพท์มือถือแสดงชื่อคุณป้าสายเนตรเป็นผู้โทรเข้า

ฐิติชญารับสาย

"ญา ! ว่างคุยมั้ย ?"

"สวัสดีค่ะ คุณป้า ! ญาว่างค่ะ !"

"ญา สบายใจได้นะ เรื่องแม่เราน่ะ ไม่มีอะไรหรอก ป้าแวะไปคุยกับแม่เรามาแล้ว ไม่มีอะไรผิดสังเกตซักอย่าง ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเดิม"

"หือ ! เหมือนเดิม คุณป้าคุยกับแม่ยังไงเหรอคะ ?"

"วันพฤหัสที่ผ่านมา ป้าแวะไปที่บ้านญา เอาหนังสือไปให้พ่ออ่าน มีโอกาสก็นั่งคุยกับแม่เราสองคน คุยเรื่องบ้านที่ลาดพร้าวของป้า แล้วก็วกมาคุยเรื่องญา ป้าถามว่าญาเป็นไงบ้าง แม่ก็บอกว่าญาโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น แล้วก็สนุกกับงาน แม่เราก็สบายใจ สีหน้าท่าทางก็บอกว่าทุกอย่างปกติ"

ทอมขมวดคิ้ว

"ปกติเหรอคะ ?"

"ปกติ ญา ! ถ้าลักษณ์มีอะไรในใจ พอป้าถามเรื่องญา ลักษณ์จะต้องชะงัก หรือ มีคำพูดที่อ้ำอึ้งหลบเลี่ยง ลักษณ์ไม่ใช่คนที่ซับซ้อน ไม่ใช่คนที่โกหกเก่ง หน้าตาคำพูดจะฟ้องออกมา แต่พอป้าถาม แม่เราก็ยิ้มทันที แล้วก็เล่าเรื่องญา เล่าไปยิ้มไป"

"ไม่น่าจะใช่อย่างนั้นนะคะ"

"ป้าไม่น่าจะดูคนพลาดขนาดนั้น"

ประโยคนี้ของคุณป้าย้ำเตือนสติเธอว่า ป้าเธอเป็นครูสอนวิปัสสนากรรมฐาน ไม่น่าจะอ่านพฤติกรรมของน้องสะไภ้ที่สนิทกันมานานผิดพลาดง่าย ๆ

"คุณป้าคุยกับแม่นานมั้ยคะ ?"

"เป็นชั่วโมง คุยเรื่องญาแล้วก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นจิปาถะ ถ้าไม่ใช่ว่าลักษณ์ไปเรียนการแสดงละครจากที่ไหนมา ป้าว่าแม่เธอเป็นปกติทุกประการ เพราะว่าสองตาที่ป้าเห็น ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดสังเกต ป้าเลยไม่ถามเจาะเข้าไปเรื่องที่ลักษณ์ดูห่างเหินกับญา ถ้าถามเจาะไป แม่เธอคงต้องสงสัยว่าอยู่ดี ๆ ทำไมถึงตั้งคำถามแบบนั้น"

"ค่ะ ๆ ! ญาเข้าใจค่ะ ญาไม่อยากให้แม่รู้ว่าญามาปรึกษากับคุณป้า"

"สบายใจขึ้นหรือยัง ?"

หลานสาวตอบแบบอ้ำอึ้ง

"ก้อ... เอ่อ... ค่ะ !"

"ญาเจอกับรุ่งหรือยัง ?"

"รุ่งเหรอคะ ? ยังค่ะ !"

"ทำไมล่ะ ? ยังหาเวลาว่างไม่ได้เหรอ ? เราไม่ว่าง หรือ รุ่งไม่ว่าง ?"

"ญายังไม่ได้อยากเจอค่ะ !"

คุณป้าทวนคำ

"ยังไม่ได้อยากเจอ ? มันแปลว่าอะไร ? เรามีปัญหาอะไรกับรุ่งเหรอ ? ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า ?"

"เปล่าค่ะ ! เพียงแต่ ญามีเรื่องอื่นที่ต้องทำเยอะแยะ เลยยังไม่รู้สึกว่าอยากเจอเพื่อนตอนนี้"

"รุ่งทำหน้าที่ของเค้าได้ดีนะ เค้าโทรมาหาป้าเป็นระยะ ๆ นัดกินข้าวกันสองสามครั้ง ใครฝากฝังไว้ ก็ควรจะรู้ว่า เค้าทำหน้าที่ได้ดี"

"เรื่องรุ่ง ไม่มีอะไรแน่นอนค่ะ ญาก็ยังเหมือนเดิม ไว้มีโอกาสคงได้เจอกัน"

คำว่า 'ไม่มีอะไร' ของหลานสาว ทำให้คุณป้าหยุดที่จะตั้งคำถามต่อ

"เรื่องรุ่งก็แล้วแต่ญาแล้วกัน ส่วนเรื่องแม่ ญาลองใช้เวลาอีกซักพัก มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่เราสองคนกำลังปรับตัวหลังจากไม่ได้อยู่ด้วยกันสองปี แล้วป้าจะถามญาเรื่อย ๆ แล้วกัน ว่าเป็นไงบ้าง มีอะไรโทรหาป้าได้ มาหาที่บ้านก็ได้"

"แค่นี้ก็รบกวนคุณป้ามากแล้วค่ะ"

"เพื่อนก็ไม่ได้ติดต่อ แล้วเราคุยกับใคร ? กับพี่จิตรเราก็ไม่คุยเรื่องแม่ใช่มั้ย ? มีป้าคนเดียวเท่านั้นใช่มั้ยที่คุยได้ ?"

"ค่ะ ! ญาไม่สะดวกจะเล่าเรื่องนี้ให้พี่จิตรฟัง พี่จิตรมีภารกิจที่ต้องทำเยอะมาก ญาไม่อยากทำให้พี่จิตรต้องกังวล"

"อือ ! พี่จิตรเค้าก็โชคดีนะ ที่ได้ญาเป็นแฟน ท่าทางอย่างหลานป้า ไม่น่าจะเป็นภาระใครหรอก"

หลานสาวหัวเราะเบา ๆ

"นาน ๆ จะได้ยินคุณป้าชมญาซะทีนึง"

"ญาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่ว่าป้าแต่งเรื่องมาชม พี่จิตรเค้าก็คงสบายใจที่มีแฟนแบบญา"

"ค่ะ ญาก็สบายใจที่ได้รู้จักพี่จิตร มันเป็นพรหมลิขิต ญากับพี่จิตรเคยสร้างบุญร่วมกันมาก่อนในอดีต เพียงแค่ได้อยู่ด้วยกันไม่นาน ก็รู้สึกได้ว่า เคยรู้จักกันมาก่อน"

"ขนาดนั้นเชียว ! อย่างนี้ก็เรียกว่ากรรมลิขิตได้ คนเราจะโคจรมาเจอกันได้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องมีกรรมเก่าที่เคยสร้างร่วมกันมาก่อน"

"ค่ะ ! พี่จิตรเคยเป็นนักรบที่เสียสละเลือดเนื้อเพื่อชาติมาในอดีต ญาเองก็เคยเป็นนักรบ ถึงแม้ว่าจะเป็นหญิง ในอดีตก็เคยมีส่วนร่วมกู้ชาติมาก่อน"

คุณป้าหัวเราะ

"เรารู้อดีตตัวเองด้วยเรอะ ? มโนมยิทธิหรือไงที่บอกเรา ?"

"ไม่ใช่ค่ะ ! พี่จิตรบอก พี่จิตรปฏิบัติธรรมเป็นประจำ นั่งสมาธิระลึกชาติได้ ญาถึงไม่ผิดหวังเลย ที่มีอะไรดลใจให้ญาเลือกไปสมัครงานที่นั่นเมื่อสองปีก่อน สุดท้าย ญาก็รู้ว่า ที่แท้ ญาต้องมาพบกับพี่จิตรนี่เอง

เอ่อ... เรื่องการระลึกชาตินี่ คุณป้าเชื่อเรื่องพวกนี้หรือเปล่าคะ ?"

หลานสาวไม่แน่ใจในรสนิยมในการศึกษาธรรมะของป้าว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องราวประเภทนี้

"เชื่อสิ ! ถ้าศึกษาศาสนาพุทธก็ต้องเชื่อเรื่องนี้ เพียงแต่ตัวป้าเองนั้น ไม่สนใจที่อยากจะรู้เรื่องอดีตชาติของตัวเอง หรือ ของคนอื่น แต่คุยกันได้นะ ป้าไม่ใช่คนที่แอนตี้เรื่องพวกนี้ พี่จิตรเค้าว่า อดีตของเราเป็นยังไงล่ะ ?"

"พี่จิตรบอกว่า ญาเคยเกิดเป็นหญิงไทยสมัยก่อน ที่จำเป็นต้องออกไปรบในสงคราม พี่จิตรก็รู้เพียงแค่นี้ แต่ที่แปลกกว่านั้น คือ พี่จิตรก็สอนให้ญานั่งสมาธิด้วยวิธีของพี่จิตร ญาลองฝึก ก็พอจะเห็น

เชื่อได้หรือไม่ได้ไม่รู้เหมือนกันนะคะ มีอยู่วันนึง ญาเห็นตัวเองเป็นผู้หญิงแต่งชุดโบราณ พี่จิตรใส่ชุดโบราณเหมือนกัน ยืนคุยกันอยู่ในถ้ำ คุยอะไรกันไม่รู้ ญาจำได้ประโยคนึงคือ ญาถามพี่จิตรว่าอ่านใจญาได้ใช่มั้ย พี่จิตรก็พยักหน้าตอบว่าใช่ ประมาณว่า ชาตินั้นพี่จิตรได้อภิญญา สามารถอ่านใจคนได้"

"หมายถึงถามพี่จิตรในชาตินี้เหรอ ว่าชาตินั้นอ่านใจได้ ?"

"ไม่ใช่ค่ะ ! ญาถามในถ้ำชาตินั้นเลย ยืนคุยอะไรกันไม่รู้ แต่มีประโยคเดียวที่ได้ยินชัด ๆ แค่นั้นเองล่ะค่ะ"

คุณป้าหัวเราะ

"อือ.... แล้วชาตินี้ล่ะ เค้าอ่านใจญาได้หรือเปล่า ?"

"ญาไม่อยากจะฝังใจกับเรื่องอดีตเป็นจริงเป็นจัง แต่ญาเชื่อว่า ได้ค่ะ พี่จิตรเป็นคนที่ไม่ขี้คุย มีความสามารถหลายอย่าง แต่ไม่บอกใคร หลายอย่างที่ญาติดขัดอะไร พี่จิตรก็จะมาช่วยได้ทันเวลา จะเล่าให้ใครฟังก็เปล่าประโยชน์ เค้าคงหาว่าญาเหลวไหลไร้สาระ แค่ญามั่นใจว่าสื่อสารกับพี่จิตรได้นอกเหนือคำพูด แค่นี้ญาก็อุ่นใจมากแล้ว"

คำพูดของหลานสาวทำให้สายเนตรย้อนกลับมานึกถึงเรื่องตัวเองในอดีต

"ป้าเคยเล่าให้ญาฟังว่า ป้าเคยมีแฟนเป็นฝรั่ง ญาจำได้มั้ย ?"

"ค่ะ ! จำได้ !"

"เค้าชื่อจอห์นนี่ ป้าเจอกับเค้าที่สนามหลวง เค้าเดินเข้ามาถามทาง ป้าก็บอกทางเค้า เริ่มต้นกันแค่นั้นก็กลายเป็นแฟนกันได้ จอห์นนี่เป็นคนเดียวที่ป้ารู้สึกว่า สื่อสารกันได้นอกเหนือภาษา ถึงภาษาอังกฤษเราจะดีแค่ไหน แต่ก็สื่อสารไม่เก่งเท่าเจ้าของภาษา มันต้องอาศัยอย่างอื่นสื่อถึงกัน ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ชาติก่อน เราเคยเป็นอะไรกัน แต่ป้าก็มั่นใจเหมือนที่ญามั่นใจเหมือนกันว่า อดีตเราเคยผูกพันกัน"

หลานสาวอมยิ้มเมื่อได้ยินคุณป้าเล่าเรื่องที่เธอไม่คาดว่าจะได้ยิน

"แล้วอะไรเกิดขึ้นหรือคะ ถึงไม่ได้ลงเอยกัน ?"

"เราก็ไม่เคยคิดว่าจะลงเอยกัน คบกันก็ไม่ได้วางแผนจะแต่งงานกัน ต่างคนต่างมีทางเดินของตัวเอง พอถึงเวลา ก็ไปตามความฝันของตัวเอง สมัยก่อน ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ติดต่อกันโดยจดหมายเท่านั้น นึกถึงสมัยก่อนแล้วก็ขำน่ะ น้ำตาท่วมดอนเมือง"

เสียงคุณป้าหัวเราะหึ ๆ ดังลอดเข้ามา

"ร้องไห้ตอนไปส่งเหรอคะ ?"

"จ้ะ ! เคยนึกบ่นกับตัวเองว่า ผู้ชายไทยมีเยอะแยะไม่ดันไปรัก สมน้ำหน้าตัวเอง ไปรักคนอยู่ไกล ฮ่า ๆ"

เสียงหัวเราะของป้า ทำให้หลานหัวเราะตาม

"เรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่กำหนดได้เนอะ คุณป้า"

"ใช่ ! ถึงเวลามันก็มาเอง แล้วถึงเวลานะ มันก็ไปเองเหมือนกัน

ที่ญาพูดถึงเรื่องอ่านใจได้น่ะ ทำให้ป้านึกถึงจอห์นนี่ สมัยก่อนเวลาจะนัดเจอกัน ก็นัดสถานที่ นัดเวลาให้แน่นอน แล้วก็ไปตามที่นัด เจอไม่เจอก็ต้องยืนอยู่ตรงที่นัด ไปไหนไม่ได้ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จะมาช้ามาเร็ว ก็ต้องคอยกัน ถ้ารอผิดที่ ก็เสร็จเหมือนกัน บางทีอยู่ไม่ไกลกัน ห่างกันยี่สิบเมตร แต่ก็หากันไม่เจอ

มีอยู่ครั้งนึง ตอนนั้นจอห์นนี่ยังอยู่เมืองไทย เรานัดกันว่าจะไปดูหนังที่สยาม สยามมีโรงหนังสามโรงใช่มั้ย ? สกาลา ลิโด สยาม ป้าก็นัดกับจอห์นนี่ว่าจะไปดูหนังที่โรงหนังสกาลา สยามสแควร์ พอถึงวันนัด ป้าไปที่โรงหนังสกาลา ปรากฏว่าป้าจำผิด สกาลาไม่ได้ฉายเรื่องที่ป้าอยากดู โรงที่ฉายคือลิโด แต่ป้าไม่ได้บอกจอห์นนี่ว่าอยากดูเรื่องอะไร แค่บอกว่าให้เจอกันหน้าโรงสกาลา เพราะฉะนั้น ป้าก็ต้องรอหน้าโรงสกาลา

แต่เลยเวลานัดแล้ว จอห์นนี่ก็ยังไม่มา ใกล้เวลาหนังฉายแล้ว ตั๋วหมดแน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้เป็นหนังดังที่มีคนรอดูเยอะ

แล้วจอห์นนี่ก็โผล่มาที่หน้าโรงสกาลา ท่าทางกระหืดกระหอบ คงวิ่งมา เค้าเจอป้า ก็มาขอโทษ ป้าก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบแล้ว คงไม่ได้ดูหนัง เพราะคงซื้อตั๋วไม่ได้ ไปเดินสยามสแควร์หาอะไรกินดีกว่า เค้าก็ถามว่า ยูอยากจะดูเรื่องอะไร ป้าก็บอกว่า เรื่องที่บรูค ชีลด์ แสดง แต่จำชื่อเรื่องไม่ได้ มันไม่ได้ฉายที่สกาลาด้วยซ้ำ ป้าจำผิดไปเอง

เค้าก็ควักตั๋วหนังออกมาสองใบ บอกว่าชื่อเรื่อง บลูลากูน ! ปาฏิหารย์มีจริง ! เพราะเค้าไปเข้าคิวซื้อตั๋วเรื่องนี้มาได้แล้ว ถึงมาสายไปหน่อย"

"เอ๋อ ! เป็นไปได้ไงคะ ? คุณป้าไม่ได้บอกว่าอยากดูเรื่องอะไร แล้วยังนัดผิดโรง เค้ารู้ได้ไงว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ?"

"เค้าบอกว่า ตอนที่ป้าบอกว่าอยากดูหนังเรื่องนึง ตอนนั้น ใจเค้าก็คิดถึงเรื่องนี้เลย วันนั้นเค้ามาถึงสยามเร็วกว่าเวลานัด เค้าเห็นคนเริ่มเข้าคิวซื้อตั๋ว เค้าก็ยืนเข้าคิวตรงนั้นเลย เค้าคิดว่า น่าจะเป็นเรื่องนี้ เข้าคิวซื้อเสร็จ เค้าก็รอหน้าโรงลิโดนั่นแหละ จนถึงเวลานัด เค้าถึงเอะใจว่า ชื่อโรงคือลิโด ไม่ใช่สกาลา เค้าจึงรีบวิ่งมาหาที่สกาลา

วันนั้นก็ได้ดูหนังเรื่องนั้นจนได้ เราสองคนก็งง ๆ เหมือนกัน มันไม่น่าจะได้ดูเลย คนนึงก็ไม่บอกชื่อเรื่อง แถมยังนัดผิดโรง อีกคนนึงก็เรียกว่าอะไรดีล่ะ.... เรียกว่า คิดไปเองว่าป้าอยากดูเรื่องนั้น สรุปว่า ใจตรงกัน"

"ปาฏิหารย์จริง ๆ ! ญานึกถึงสมัยก่อนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ เวลาจะนัดกันนี่คงต้องอาศัยความอดทนน่าดู ถ้าอีกคนรถติด หรือ มาไม่ถูกจะทำยังไงน้า แต่อย่างจอห์นนี่กับคุณป้านี่มันเหลือเชื่อ นัดผิดโรง แต่ยังได้ดูหนังที่ต้องการ รู้ใจกันจริง ๆ"

"พอดูหนังจบ ป้าก็ร้องเพลงว่า Can you read my mind ? Can you picture the things I'm thinking of? ญาเคยได้ยินหรือเปล่า เพลงนี้ ?"

"ไม่เคยค่ะ ! เพลงอะไรคะ ?"

"นู่น ! สมัยนู้นเพลงนี้ดังมาก ชื่อเพลง Can You Read My Mind ? แปลว่า เธออ่านใจฉันออกเหรอ ? เป็นเพลงประกอบหนัง เนื้อเพลงพูดถึงพระเอกที่มีตาวิเศษ มองทะลุวัตถุได้ นางเอกก็ถามพระเอกว่า แล้วอ่านใจได้ด้วยหรือเปล่า ?

เพลง Can You Read My Mind ? นี่ ก็เลยเป็นเพลงประจำตัวของเราสองคน เวลาจอห์นนี่เค้าเอาใจป้า เหมือนกับรู้ว่าป้าชอบอะไร ป้าก็จะร้องเพลงนี้ จอห์นนี่ก็จะตอบว่า ผมก็แค่เหาะไม่ได้"

"ผมก็แค่เหาะไม่ได้ ! แปลว่าอะไรคะ ?"

คุณป้าหัวเราะ

"มันเกี่ยวกับหนังเรื่องนั้นที่พระเอกมีตาวิเศษนั่นแหละ ถ้ารู้จักหนังเรื่องนี้ก็จะรู้ว่าหมายถึงอะไร"

"หนังเรื่องอะไรคะ ?"

"ให้ญาไปทำเป็นการบ้านละกัน ญาลองไปหาดูว่า เพลง Can You Read My Mind ? เป็นเพลงประกอบหนังเรื่องอะไร รู้แล้วก็จะอ๋อว่า ทำไมจอห์นนี่พูดคำว่า ผมก็แค่เหาะไม่ได้"

ทอมพยักหน้า

"ค่ะ ! เดี๋ยวญาจะไปหา คุณป้าเล่าเรื่องอดีตฟังแล้วสนุกดี ญาว่าคนเราถ้าจะมาเป็นเนื้อคู่กันมันก็ต้องรู้ใจกันบ้าง ถึงจะอ่านใจไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องคิดอะไรเหมือน ๆ กันบ้าง คุณป้าว่ามั้ยคะ ?"

"ป้าไม่ว่าอะไรแล้ว อายุปูนนี้แล้ว ไม่ว่าอะไรที่ผ่านมาจะเคยประทับใจขนาดไหน มันก็ผ่านไป คู่กันมันมีต้นเหตุผูกพันกันมาซับซ้อน เดี๋ยวดีกัน รู้ใจกัน เดี๋ยวขัดใจกัน รักกัน แล้วก็ฆ่ากัน มันมีทั้งนั้น ทุกอย่างไม่แน่นอน ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่อยู่คู่กับทุกชีวิตคู่"

หลานสาวฟังแล้วก็นิ่งไปสักอึดใจ ค่อยตอบ

"ค่ะ ! ญาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้ อนาคตของญากับพี่จิตรจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แต่วันนี้ เราทำให้ดีที่สุด จะได้ไม่นึกเสียใจภายหลัง เหมือนกับหนังสือที่สุริยน ข่มจันทร์ เขียนไว้ ว่า ถ้าเราเริ่มต้นยอมรับว่าอาจจะแพ้ได้ นี่คือจุดเริ่มต้นของความพ่ายแพ้ ความคิดนี้จะขยายตัวใหญ่ขึ้น ทำให้เราเริ่มช้าลง แล้วสุดท้ายเราก็จะหยุด ยอมแพ้ได้อย่างง่าย ๆ"

"เล่มไหนน่ะ ? เล่มที่ป้าให้ไปเหรอ ?"

"ค่ะ ! ญาอ่านจบแล้ว มีข้อคิดปรัชญาเยอะแยะเลย อ่านแล้วได้กำลังใจ"

คุณป้าหัวเราะ

"เล่มนั้นป้ายังอ่านไม่จบเลย มัวแต่ยุ่งอยู่กับพอคเก็ตบุคของป้าเองนี่แหละ"

"ขอบคุณนะคะ คุณป้าให้แต่อะไรดี ๆ กับญา ตอนที่ญาไม่รู้จะปรึกษาใคร"

หลานสาวรู้สึกอุ่นใจที่ยังมีคุณป้า เป็นที่ระบาย และ ให้ข้อคิดได้ในยามนี้

ถึงแม้ คุณป้าจะมีความเห็นว่า คุณแม่ของเธอเป็นปกติดีทุกอย่าง ความสบายใจ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับเธอเลย กลับกลายเป็นความหนักใจที่เพิ่มมากขึ้น

ถ้าการที่คุณแม่ปฏิบัติต่อเธอแบบนี้ ถือว่าเป็นสิ่งปกติสามัญขนาดที่คุณแม่เอง ยังไม่รู้สึกตัวเองเลย นั่นหมายถึง ต้นตอของปัญหานี้ อยู่ลึกเกินกว่าที่เธอคาดมากนัก

****************************************************************************************************

อ่านหน้า > 2, 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่