ตอน 60 หน้า 2/3

วัดนาคโขง

จองหนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่

ห้องพักของแอนดี้อยู่บนชั้นสองของตึกสองชั้น ติดริมกำแพงวัด

เลยจากริมกำแพงวัดเป็นคลองขนาดกลาง มีความกว้างสักประมาณสิบเมตร

ห้องพักมีขนาดเล็กประมาณสิบตารางเมตร แต่ก็เพียงพอสำหรับชายหนึ่งคนที่ไม่มีสัมภาระมากมาย

ในห้องมีเสื่อ หมอน ผ้าห่มนวม และ พัดลมหนึ่งตัว

สิงห์หนุ่มที่กำลังจะกลายเป็นสมณะในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง

มองลงไปเห็นทางเดินเลียบคลองที่ราดด้วยซีเมนต์ มีหลอดไฟแรงเทียนเปิดให้สว่างพอเห็นทาง

อากาศเริ่มเย็นขึ้นกว่าเมื่อตอนที่มาถึงวัดอีกเล็กน้อย

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า เมื่อเขานึกถึงภาพวาดเจ้าแม่จามเทวีที่แขวนอยู่ในศาลา หากว่านางท่านนั้นที่ท่านลุงเป็นคนนำพามาในฝันเมื่อเช้า คือ เจ้าแม่จามเทวีจริง นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มยินดีที่สุด ที่เจ้าเมืองในอดีต ได้มากล่าวคำต้อนรับเขาในวันแรกที่มาถึงเมือง

บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีจิ้งหรีด จั๊กจั่น หรือ แมลงใด ๆ ส่งเสียงร้องในฤดูหนาวเช่นนี้

เขาปิดไฟในห้อง ทรุดตัวลงบนเสื่อ ค่อย ๆ ล้มตัวลงนอน หัวอิงหมอน แล้วหยิบผ้านวมผืนหนาขึ้นห่มจนถึงหน้าอก

ความรู้สึกเคลิ้มเริ่มเข้ามาเยือน แอนดี้ไม่ได้รู้สึกเพลียขนาดนั้น หรือ นี่คือวิธีที่ท่านลุงพยายามจะติดต่อกับเขา ?

ทำให้เขาง่วง แล้วจะได้หลับ ?

คิดแล้วก็ยิ้ม เขาลุกพรวดขึ้นมา แล้วลูบฝ่ามือทั้งสองข้าง นำฝ่ามือมาโปะที่ลูกตา และ แก้ม

เขากำหนดจิต เป็นเสียงตะโกนในใจอย่างดัง

'จ้างให้ ก็ไม่หลับ !'

เจ้าหลานจอมดื้อกำลังหาอุบายทำตัวให้ตาสว่าง เขาคิดว่า ควรจะลุกขึ้นไปเปิดไฟทิ้งไว้

คิดได้ดังนั้น จึงหยิบผ้านวมออกจากตัก

ความง่วงกลับจู่โจมอย่างฉับพลัน ! เขาอ้าปากหาวครั้งใหญ่ หัวโงนเงน แล้วค่อย ๆ ฟุบหน้าลงบนหมอน

"ไอ้ลูกหมาห้าร้อยชาติ ! แกจะลองดีกับชั้นหรือไง ? อวดฉลาดมากนัก เดี๋ยวพ่อทิ้งตัดหางปล่อยวัดซะเลย"

ภาพของท่านลุงแต่งกายในชุดล้านนาสีเลือดหมูมีผ้าโพกหัวสีเดียวกับชุด ปรากฏอยู่ต่อหน้า

"อ้าว ! ก็ผมก็อยู่ในวัดอยู่แล้วไงล่ะ ปล่อยผมไว้ที่นี่ได้เลย ไม่ต้องตัดหาง"

ท่านลุงท้าวเอว

"เอายังงั้นใช่มั้ย ? ได้"

หลานรีบยื่นมือไปคว้าชายเสื้อท่านลุง

"แหม ! เดี๋ยวสิ ท่านลุง ผมแค่ล้อเล่น ก็ท่านลุงเล่นบังคับให้ผมง่วงนอนบ่อย ๆ ผมก็สงสัยมานานแล้วว่า ทำไมเพลียก็ไม่เพลีย จู่ ๆ ดันง่วงนอน ? ที่แท้ รีโมทคอนโทรลอยู่ที่ท่านลุงนี่เอง ร้ายนะเนี่ย !"

พรหมในชุดล้านนาเชิดหน้า

"เชอะ ! ชั้นเป็นเพื่อนเล่นแกเหรอ ?"

แอนดี้หัวเราะ ยกมือไหว้

"โอเค ไม่ใช่ครับ ท่านลุงเป็นพรหมที่ผมเคารพ ไม่ใช่เพื่อนเล่นครับ"

พรหมขี้งอนยิ้มออกมาได้

"รูปภาพที่แกเห็นในศาลานั่น คือ เจ้าแม่จามเทวี เป็นองค์เดียวกับที่เมื่อเช้า ท่านไปต้อนรับแก"

แอนดี้รู้สึกปลาบปลื้มทันทีที่ได้ยิน

"เป็นความโชคดีของผมจริง ๆ ที่ท่านกรุณา ผมเป็นคนสำคัญขนาดนั้นเชียวเหรอครับ ?"

"แกน่ะเหรอ ? อย่าสำคัญตนเองผิด ที่ท่านไปทักทายแก เพราะท่านพ่อ ฝากเอาไว้ ก็เหมือนกับ เอาหมามาฝากเลี้ยงน่ะแหละ ท่านพ่อกลัวว่าแกจะสร้างความรำคาญให้กับเมืองนี้ ท่านก็มาฝากฝังไว้เป็นมารยาท"

แอนดี้หัวเราะ

"เป็นหมาแล้วเหรอ ? เดี๋ยวจะให้เป็นลูกแมว เดี๋ยวจะให้เป็นหมา ท่านลุง ท่านพ่อผมนี่คือใคร ? ฮั่นแน่ !... ตั้งท่าจะตอบผมว่า รอให้ถึงเวลาแล้วผมจะรู้เอง ใช่หรือเปล่า ? รู้ทางแล้วครับ"

ท่านลุงแสดงอาการหงุดหงิดที่หลานดักทางถูก จึงนิ่งเฉย

"อ้าว ! เล่นเงียบซะเลย" แอนดี้โวย

อีกฝ่ายยังมีสีหน้านิ่งเฉย

"ได้ครับ ไม่ตอบก็ไม่ตอบ คงเป็นคำตอบที่ผมต้องค้นหาเอง เข้าใจแล้วครับ งั้น คำถามต่อไป ผมเคยผูกพันกับเจ้าแม่จามเทวีหรือครับ ?"

ท่านลุงพยักหน้า

"อือ..! เรื่องนี้นี่แหละ ที่ชั้นจะคุยกับแก แกมาที่นี่ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ไม่ใช่ว่าแกอยากจะบวชวัดไหนก็ตามใจสุ่มสี่สุ่มห้า แต่แกน่ะ ต้องบวชที่วัดนี้เท่านั้น เพราะของเก่าที่แกสร้างมา อยู่ที่นี่"

สิงห์ต้าลู่ตั้งใจฟัง

"ครับ"

"แกเคยเกิดเป็นบริวารของเจ้าแม่จามเทวี แกเคยเกิดที่ดินแดนนี้ หลายสมัย สมัยที่เจ้าแม่จามเทวียังมีพระชนม์อยู่ แกก็เคยเกิดในดินแดนนี้ แต่ไม่ว่าพระนางจะสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่ดวงจิตของพระนาง ก็ยังมีบารมี คุ้มครองดูแลดินแดนนี้อยู่ตลอดมา"

แอนดี้พยักหน้า

"ครับ สมัยนั้นที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยใช่มั้ยครับ ? ป้าที่เป็นแม่ครัวบอกผมว่า เชียงใหม่เพิ่งเป็นของประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ห้า"

ท่านลุงพยักหน้า

"ใช่ ถูกต้อง แต่ก่อนเมืองนี้ มีชื่อเมืองว่านครพิงค์เชียงใหม่ เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรล้านนา สมัยโน้นถูกปกครองโดยอาณาจักรอังวะ ก็คือพวกพม่า เวลาพม่าจะไปรบกับกรุงอโยธยา ก็มาเกณฑ์ไพร่พลจากอาณาจักรล้านนาไปช่วยรบกับอโยธยา"

"เชียงใหม่เคยเป็นของพม่า ? อือ...! เพิ่งรู้นะเนี่ย"

"อย่าว่าแต่แกที่เป็นคนจีนจะมารู้ประวัติศาสตร์ไทยเลย เดี๋ยวนี้เด็กไทยก็ไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์กันเท่าไหร่แล้ว"

แอนดี้พยักหน้า

"จริงครับ"

"ความสำคัญที่ชั้นจะพาแกไปดู มันอยู่ตรงที่ ตอนที่เชียงใหม่ตกลงจะรวมกับสยาม แกก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน"

แอนดี้ทำตาเบิกโต

"หา ! จริงเหรอครับ ? ผมเกิดในสมัยนั้นด้วยเหรอ ? แล้วผมไปมีส่วนเกี่ยวยังไงครับ ? อย่าพูดให้ผมตื่นเต้นเล่น ๆ นะ"

ท่านลุงมองเหล่

"ไม่ต้องทำกระแดะ ตามชั้นมา"

เหมือนลมวูบพัดผ่าน ชั่วเสี้ยววินาที ภาพใหม่ก็ปรากฏต่อหน้าเขา

ชายอาวุโสห้าคน แต่งตัวในชุดล้านนา กำลังนั่งสนทนาโต๊ะกลมอยู่บนเรือนไม้ แต่ละคนมีสีหน้าเคร่งเครียด

แอนดี้ถามขึ้น

"พาผมมาที่ไหนครับ ? เขาล้อมวงกันเล่นไพ่เหรอครับ ?"

ท่านลุงมองหน้าหลาน

"ปัดโธ่ ! เดี๋ยวชั้นก็ได้ถีบแกกลับไปนอน อยากจะดูต่อ หรือ อยากกลับไปนอน ?"

"ครับ ต่อดีกว่าครับ"

"แกลองพิจารณาดูคนทั้งห้านี้ แกคุ้น ๆ คนไหนบ้าง ?"

แอนดี้ค่อย ๆ มองใบหน้าของแต่ละคน ไม่มีใครที่เขารู้สึกว่าคุ้น

"ไม่มีครับ พวกเขาเป็นใครกันครับ ?"

ท่านลุงหัวเราะ

"คนที่ไว้หนวดผมขาวนั่น แกลองดูดี ๆ ว่าเหมือนใคร ?"

เขาสั่นหัว

"ไม่รู้ครับ ไม่คุ้น ยอมดีกว่า เฉลยเลยดีกว่าครับ เสียเวลานอนของผม"

"อ้าย...!" พรหมขี้โมโหนึกจะด่า แต่ก็หยุดไว้ได้ทัน

"นี่ คือ มหาอำมาตย์หมอกฟ้า ! เป็นข้าราชการที่ปรึกษาคนสำคัญของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าครองนครเชียงใหม่"

พระเจ้าอินทวิชยานนท์

พระเจ้าอินทวิชยานนท์
(เจ้าผู้ครองอาณาจักรล้านนา)

แอนดี้พยักหน้า

"ครับ หมอกฟ้า ! ชื่อเก๋ดี"

"... คือ แก !"

คราวนี้หลานชายถลึงตามองท่านลุง

" คือผม ! นายหนวดคนนี้คือผมเหรอครับ ?"

"ใช่"

ท่านหลานหันไปมองเหล่าผู้อาวุโสกลุ่มนั้นอีกครั้ง

"ผมกับคนพวกนี้กำลังคุยกันเรื่องอะไรเหรอครับ ? หน้าตาเหมือนกับจะไปขอกู้เงินธนาคาร"

ท่านลุงหัวเราะ

"แกนี่ พอสุขภาพเริ่มดีขึ้น แกก็เริ่มมีอารมณ์ขันขึ้นมาได้ พวกเค้ากำลังคุยเรื่องสำคัญของบ้านเมือง เมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ ได้ต้อนรับฑูตจากสหราชอาณาจักรอังกฤษ เป็นตัวแทนนำจดหมายมาให้ ในจดหมายมีข้อความว่า สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถวิคตอเรีย แห่งราชวงศ์วินเซอร์ ทูลขอลูกสาวคนสุดท้องของท่านผู้ครองนครเชียงใหม่เป็นลูกบุญธรรม หากตกลงตามนั้น พระราชินีแห่งอังกฤษ จะประทานพระนามใหม่ให้กับลูกสาวคนสุดท้องของท่านนี้ว่า พริ้นเซสออฟสยาม"

พระราชินีวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ

พระราชินีวิคตอเรีย แห่งอังกฤษ

แอนดี้ผงกหัว

"อือ ! นี่เป็นเรื่องจริงเหรอครับ ?"

"ชั้นคงตอแหลแกไปเอง กลับไปนอนดีกว่ามั้ง เสียเวลาแกมาฟังเรื่องโกหกของชั้น"

ท่านลุงพูดแล้วเชิดหน้า

หลานยกมือตบปากตัวเอง

"ขอโทษครับ ผมผิดเอง มันหลุดปากไป ผมหมายถึงว่า นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดคิด ควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษมาขอคนไทยไปเป็นลูกบุญธรรม"

"สมัยนั้น ไม่มีคำว่าไทย ยังไม่มีประเทศไทย แล้วมันเป็นยุคล่าอาณานิคม ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้มันอ่านออกได้ง่ายอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน การขอแบบนี้ คือ การขอให้เชียงใหม่ เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษอย่างสุภาพ และให้เกียรติมาก ไม่ต้องรบกัน"

สิงห์ผู้มีปัญญา พยักหน้า

"ผมเข้าใจครับ มันก็ดีเหมือนกัน จู่ ๆ ก็มีประเทศมหาอำนาจมาหนุนหลัง โดยไม่ต้องรบกันด้วย ไม่ต้องกลัวพม่าอีกแล้ว แล้วคนพวกนี้เค้าคุยกันเรื่องอะไร ? ทำไมสีหน้าเหมือนกับเคร่งเครียด ?"

"ก็เพราะแกไง แกดันไม่เห็นด้วย"

"เพราะผม ? ทำไมผมไม่เห็นด้วยล่ะ ?"

"ชั้นจะไปรู้เรอะ ! แกเป็นแกเอง แล้วแกมาถามชั้นทำไม ? ชั้นน่าจะถามแกมากกว่า ว่าทำไมแกไม่เห็นด้วย ?"

คราวนี้ แอนดี้เป็นฝ่ายยกมือขึ้นเกาหัว

"อ้าว ! นี่มันชาติปางไหนกันครับ ? ผมจะจำได้ยังไง ? ถ้าท่านลุงไม่รู้ สรุปว่าพาผมมาดูทำไม ? ดูไปก็ไม่รู้เรื่อง เพราะผมจำอะไรไม่ได้หรอก"

ท่านลุงหัวเราะ

"ฮ่า ๆๆๆ ! แหม.. ชั้นก็แหย่แกเล่นบ้าง ถ้าชั้นไม่รู้แล้วจะพาแกมาดูทำไม ไอ้ที่แกไม่เห็นด้วย เพราะว่าแกมันฉลาด แกถึงได้เป็นมหาอำมาตย์ ซึ่งตำแหน่งมหาอำมาตย์นี่ ใหญ่กว่าอำมาตย์ธรรมดา แกมองการณ์ไกลแล้วก็สุขุม จิตใจแกไปฝักไฝ่กับเจ้านายฝ่ายเหนือ แกคิดว่าเจ้านายฝ่ายเหนือที่อยู่อีกอาณาจักรหนึ่ง น่าจะปกครองเชียงใหม่ได้ดีกว่า มีความสงบสุขมากกว่าอังกฤษ คือ แกน่ะ ไม่ไว้ใจฝรั่ง"

แอนดี้พยักหน้าตาม

"อือ... ครับ เจ้านายฝ่ายเหนือแปลว่าอะไรครับ ?"

"หมายถึง เจ้านายโดยตรงของเชียงใหม่ไง ตอนนั้นเชียงใหม่เป็นประเทศราช คือ เป็นเมืองที่ไปสวามิภักดิ์กับอาณาจักรสยาม ฝ่ายเหนือนั้นก็หมายถึงอาณาจักรสยาม"

ด้วยสติปัญญาอันหลักแหลม แอนดี้เริ่มมองเห็นภาพชัด

"โอ ! เชียงใหม่เป็นแค่เมืองเล็ก ๆ ที่ต้องขึ้นอยู่กับสยาม แต่อังกฤษ จะตั้งองค์หญิงของเมืองนี้ แล้วเรียกว่าพริ้นเซสออฟสยามเลย งานนี้คือการยกฐานะของเมืองเชียงใหม่ ให้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าสยามซะอีก เพราะมีลูกสาวบุญธรรมของราชวงศ์อังกฤษอยู่ที่นี่ คนทั่วโลกก็จะเรียกเชียงใหม่ว่าสยามตามอังกฤษ ส่วนอาณาจักรสยามนั้น ก็ถือว่าเสียเมืองเชียงใหม่ให้อังกฤษไปอย่างง่าย ๆ"

ท่านลุงหัวเราะดังลั่น

"อ้ายนี่มันยังฉลาดเหมือนเดิม"

"ถ้ายอมตามนั้น ก็เสี่ยงจะเกิดสงครามระหว่างอาณาจักรสยาม กับ เชียงใหม่ มันก็ต้องคิดหนักอยู่เหมือนกัน เหตุการณ์ต่อมาเป็นยังไงหรือครับ ?"

"ก็นี่ไง เหล่าอำมาตย์ที่เป็นที่ปรึกษาของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ก็กำลังถกเถียงถึงข้อดีข้อเสีย โดยมีมหาอำมาตย์หมอกฟ้า เป็นตัวตั้งตัวตีคัดค้าน เพราะใจนั้น มีความศรัทธาในการปกครองของอาณาจักรสยามมากกว่า แล้วก็เสนอความคิดว่า เหตุการณ์นี้ ทำให้เชียงใหม่ต้องเลือกข้างให้ชัดเจนแล้ว คือ ถ้าไม่อยู่กับอังกฤษ ก็ต้องไปอยู่กับสยามเลย จะเป็นแค่ประเทศราชปกครองตนเองนั้น มันจะไม่รอดแน่ ๆ นี่จึงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เป็นความเป็นความตายของบ้านเมือง"

"ครับ เหตุการณ์ต่อมาเป็นยังไงครับ ?"

"เหล่าอำมาตย์ ก็นำสิ่งที่ถกเถียงกัน ไปเสนอกับพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ตอนนั้น เครือจักรภพอังกฤษถือว่ามีอำนาจมากอยู่แล้ว การจะปฏิเสธเรื่องนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมาก เพราะพม่าเองตอนนั้น ก็เป็นอาณานิคมของอังกฤษไปแล้ว แต่ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ กลับเห็นด้วยกับอำมาตย์หมอกฟ้า ไม่ต้องการเป็นอาณานิคมของอังกฤษ อำมาตย์หมอกฟ้าจึงทำหน้าที่เป็นฑูตอย่างลับ ๆ ติดต่อกับอาณาจักรสยาม..

การติดต่ออย่างลับ ๆ นี้ เป็นไปด้วยความราบรื่น หลังจากนั้น อาณาจักรสยาม ก็ส่งพระเจ้าน้องยาเธอ ที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์สยามในเขตภาคเหนือ ให้นำของหมั้นมาขอองค์หญิงแห่งเชียงใหม่ไปเป็นพระชายาของกษัตริย์แห่งสยาม"

แอนดี้พยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ

"เชียงใหม่ก็รวมกับสยามตั้งแต่นั้น ?"

"ใช่ ความสัมพันธ์ก็แน่นแฟ้น เพราะองค์หญิงแห่งเชียงใหม่ ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่พระราชวังในกรุงเทพ ฯ องค์หญิงท่านนี้ มีพระนามว่า เจ้าดารารัศมี พระราชชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

เจ้าดารารัศมี
(เจ้าดารารัศมี พศ.2416-2476)

'ซูม !' เสียงสิ่งของขนาดใหญ่ตกลงไปในน้ำ ดังลอดหน้าต่างเข้ามา

แอนดี้ตกใจตื่น

เขารีบลุกขึ้น แล้วเดินไปที่หน้าต่าง

แสงไฟแรงเทียนสว่างพอที่เขาจะเห็น ชายหนุ่มคนหนึ่ง ศรีษะล้านเลี่ยน กำลังปีนขึ้นจากคลอง

อากาศเย็นขนาดนี้ ยังมีคนที่มีจิตใจอยากจะเล่นน้ำตอนนี้ !

ชายคนนั้นขึ้นมายืนบนทางเดินเรียบร้อยแล้ว ไฟสว่างพอเห็นได้ชัดว่า เขาห่มจีวรอยู่

ชายผู้นี้เป็นพระ !

พระสงฆ์แอบมาเล่นน้ำตอนกลางคืน ไม่ผิดวินัยของสงฆ์หรืออย่างไร ?.... แอนดี้สั่นหัว

เขาเดินกลับมาเปิดสวิทช์ไฟในห้องเพื่อดูเวลา นาฬิกาข้อมือที่วางอยู่ข้าง ๆ เสื่อของเขา บอกเวลาสามนาฬิกา

เขาเดินกลับไปที่หน้าต่างอีกครั้ง พระสงฆ์รูปนั้น หายไปแล้ว

ด้วยจิตใจยังสนุกอยู่กับเนื้อเรื่องที่เพิ่งได้ยินจากท่านลุง แอนดี้รีบเดินมาปิดไฟ แล้วกลับมาล้มตัวลงนอนบนเสื่อ เริ่มภาวนา จนจิตเป็นสมาธิ

"ติดใจล่ะสิ ไอ้ลูกแมว !"

จิตของลูกแมวถูกดึงกลับมาอยู่ต่อหน้าท่านลุงอีกครั้ง

"ครับ ถ้าเชียงใหม่รวมกับสยามได้ตั้งแต่นั้น ก็นับว่า สิ่งที่มหาอำมาตย์หมอกฟ้าได้ทำไปนั้น สำเร็จผล"

"ใช่ เป็นผลดีมหาศาลกับชาวล้านนา ที่ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกับใคร ทั้งยังได้กษัตริย์ผู้มีพระปรีชาสามารถอย่างรัชกาลที่ห้าของสยาม มาปกครอง"

แอนดี้ยิ้ม รู้สึกปลาบปลื้มใจที่ได้รับรู้สิ่งที่ตนเองได้ทำไว้ในอดีต

"แสดงว่า ในตอนนั้น ท่านหมอกฟ้านั้นศรัทธาในรัชกาลที่ห้า"

"แน่นอน ! อดีตเคยเกี่ยวพันกันมา ถึงแม้เกิดมาคนละแผ่นดิน คนละเมือง แต่ก็มีจิตศรัทธากันได้ง่าย ๆ"

"หมายถึง ท่านหมอกฟ้ากับรัชกาลที่ห้า อดีตเคยเกี่ยวพันกันมาเหรอครับ ?"

"ใช่สิ ในอดีตชาติก็เคยร่วมรบในศึกเดียวกัน ร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน"

แอนดี้พยักหน้ารับรู้

"ดูเหมือนผมจะมีอะไรผูกพันกับแผ่นดินนี้มากเหลือเกิน มิน่า ผมถึงอยากมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ตอนเป็นวัยรุ่นแล้ว แล้วบริวารของผมจากสมัยโยนกล่ะครับ ? ได้มาเกิดร่วมกับท่านหมอกฟ้าหรือเปล่า ?"

ท่านลุงหัวเราะหึ ๆ

"แกหมายถึงใคร ? พูดมาตรง ๆ ดีกว่า"

"เอ่อ.. ! นวลล่ะครับ นวลได้มาเกิดที่เชียงใหม่ด้วยหรือเปล่า ?"

ท่านลุงสั่นหัว

"เปล่า ! นวลกับแกน่ะ เจอกันชาติสุดท้ายก็คือในสมัยโยนก แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่ได้เกิดมาเจอกันอีกเลย"

"หา ! นั่นหมายถึง พันกว่าปี ผมเพิ่งมาเจอนวลอีกครั้ง ในชาตินี้ ?"

"ใช่"

เจ้าสิงห์แห่งโยนกนคร ลำดับความคิด ย้อนกลับไปถึงอดีต

การจากกันในชาตินั้น นับว่าเป็นเวลาที่ยาวนานเกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทนรอได้ พันกว่าปี ถึงได้มีโอกาสโคจรมาเกิดร่วมชาติเดียวกันอีกครั้ง

"พันกว่าปีเชียว ! พันกว่าปี ผมถึงได้มาเจอนวลอีกในชาตินี้ แล้ว ชื้น กับ ช้อย ล่ะครับ ?"

"ชื้นเกิดร่วมกับแกในสมัยที่แกเป็นหมอกฟ้า แต่ช้อย ไม่ได้เกิด แกทั้งสี่คนน่ะ หลังจากชาติโยนกนครแล้ว ก็มีโอกาสมาเจอกันครบสี่คนอีกที ก็ชาตินี้นี่แหละ"

"จริงเหรอครับ ?" แอนดี้ถามด้วยจิตใจที่เต้นระทึก

"จริงสิ แกมาเกิดพร้อมกันในชาตินี้ เพราะมีภารกิจที่แกทั้งสี่ ตั้งจิตอธิษฐานด้วยกันว่า จะมาทำด้วยกัน"

"พันกว่าปี กว่าที่พวกเราสี่คนจะได้เกิดมาเจอกันอีก แล้วกว่าจะเจอกัน มันก็ยากเย็น สามสิบกว่าปี กว่าผมจะเจอครบทั้งสามคน แล้วนี่ ท่านกลับลากผมจากพวกเค้ามา...."

หลานชายเริ่มรำพึงรำพัน

พรหมท่านลุง รู้สึกเห็นใจสหายเก่าเป็นอย่างยิ่ง

แอนดี้ก้มหน้ามองพื้น

"นวลจากกับผมมาพันกว่าปี แล้วผมได้พบเธออีกครั้งในชาตินี้ ได้เจอกันไม่ถึงสิบครั้ง ผมก็ต้องจากเธอมาอีก แล้วผมจะต้องรอไปอีกกี่พันปี กว่าที่จะได้เจอเธออีก กว่าเราจะอยู่กันครบสี่คนอีก จะอีกกี่พันปี ?"

คำพูดของแอนดี้ ทำให้ท่านลุงนิ่ง อึ้ง ไม่มีคำตอบใด ๆ

"พอผมเจอครบทั้งสามคน ท่านก็ลากผมมาบวชเลย ให้ผมจากกันซะยังงั้นเลย ผมไม่บวชแล้ว ผมจะกลับไปหาพวกเค้า พวกเค้ารอผมมาพันกว่าปี..."

ท่านลุง ทำหน้าเลิ่กลั่ก ไม่รู้จะเอ่ยปากเพื่อห้ามปรามสหายเก่าคนนี้ยังไง เพราะตัวเองก็รู้เห็นความผูกพันของคนทั้งสี่มาตลอดทุกสมัย

ด้วยความจนใจ ทำให้พรหมในชุดล้านนา คุกเข่าลงต่อหน้า

แอนดี้ตกใจ

ท่านลุง เงยหน้าขึ้นมองลูกแมว

"ใช่ เป็นความผิดของชั้นเอง แต่ชั้นขอร้อง แกคิดจะบวชแล้ว อย่าล้มเลิกความคิดนี้ ชั้นจะก้มลงกราบแกตรงนี้..."

พรหมหนุ่ม กำลังจะก้มหัว แอนดี้รีบทรุดตัวลงไปจับไหล่

"เดี๋ยวครับ ท่านลุง !"

สีหน้าของแอนดี้เปื้อนยิ้ม เขาหัวเราะหึ ๆ

"กราบผมไม่ได้นะ ท่านลุงลุกขึ้นเถิด ใครเล่าจะหนีบวช ? ท่านอินเกินไปแล้ว ผมแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้นเอง ก็เห็นท่านลุงวันนี้ล่อผมมาหลายดอก ผมก็เล่นกลับบ้าง จะได้ไม่เครียดไง ผมน่ะ เมื่อตัดสินใจว่าจะบวชแล้ว ผมได้คิดดีแล้วครับ แม่หญิงนวล กับ การบวช ผมได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้วครับ ว่าผมเลือกที่จะบวช ชาตินี้ เธอไม่ใช่ของผม ผมยอมรับไปแล้ว แค่จะแหย่ให้ท่านปี๊ดเล่นเท่านั้น"

ท่านลุงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่แดงก่ำไปด้วยความโกรธ มีดดาบขนาดยาวปรากฏขึ้นในมือทันที

พรหมขี้โมโหเงื้อดาบขึ้นสุดมือ แล้วตะโกน

"อ้ายลูกหมาห้าร้อยชาติ ! มึง.....ตาย !"

ดาบจากด้านบน ถูกฟันลงมาที่ก้านคอของไอ้ลูกหมา ผ่านเฉียงลงไปถึงหน้าอกอีกฟากหนึ่ง

เสียงร้องดังลั่นห้อง

"อย่า !"

แอนดี้ลืมตาขึ้น รีบยกมือกุมซอกคอ หัวใจเต้นแรง

เมื่อมือคลำ พบว่าอวัยวะทุกส่วนยังอยู่ดีเป็นปกติ เขาก็มีรอยยิ้มออกมา บ่นพึมพำ

"ท่านลุงนี่จะเอาถึงตายเชียว เหอ ๆ"

เสียงไก่ขันดังเป็นทอด ๆ มาแต่ไกล รุ่งอรุณวันใหม่มาเยือนแล้ว

*************************************************************************************************

1 <อ่านหน้า> 3
นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก เปิดให้จองแล้ว กดที่นี่