ทันทีที่แอนดี้เดินเข้าห้องอาร์เอ็มเอ ภาพของคุณหญิงเจนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ทำให้เขาถึงกับต้องออกเสียงอุทาน

"โอ ! ถึงกับต้องนั่งวีลแชร์เลยเหรอครับ ?"

ประตูห้องถูกปิด ทิ้งให้แอนดี้ อยู่ในห้องนี้กับคุณหญิงสองต่อสอง

แอนดี้รีบเดินมาคุกเข่าลงข้าง ๆ รถเข็น

"คุณหญิง !"

ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งกิจบูรณา ยื่นมือให้แอนดี้จับ

ท่านยังมีรอยยิ้มส่งให้เหมือนกับทุกครั้งที่ได้เคยสนทนากันมา

"แอนดี้ ! สึกจนได้สินะ !"

ทิดเอกถอดหมวกแก๊ปออก เปิดเผยสภาพผมที่เพิ่งถูกปล่อยให้เริ่มยาวขึ้นอย่างอิสระ โดยปราศจากการโกน

แอนดี้ก้มมองที่รถเข็น เอื้อมมือไปแตะที่หัวเข่าของหญิงอาวุโส

"สังขารสุดท้ายแล้วนะครับ คุณหญิง ! ต่อไปไม่ต้องมามีร่างกายแบบนี้อีก"

ท่านบีบมือของแอนดี้แน่น

"ใช่ ! ชั้นทนได้ ไม่ยอมผ่าตัดเข่า ให้ทุกอย่างมันพังไปพร้อมกัน พังแล้วก็แล้วกัน ขอทนแบบนี้เป็นครั้งสุดท้าย"

แอนดี้เข้าใจความหมายเป็นอย่างดี

คุณหญิงชี้ไปที่เก้าอี้

"นั่งบนเก้าอี้คุยกับชั้นเถอะ"

แอนดี้หันหลังไปฉวยเก้าอี้แบบมีพนักพิงมาวางไว้ติดกับรถเข็น แล้วทรุดตัวลงนั่ง

"สองพรรษา เร็วมากครับ ! ได้เรียนรู้อะไรเยอะมากจนอธิบายไม่หมด แต่กลับรู้สึกว่า มันยังน้อยมาก ผมยังต้องการรู้ให้เยอะไปกว่านี้"

คุณหญิงพูดขึ้น

"แต่เท่าที่รู้ก็เพียงพอกับงานที่ต้องทำแล้วนี่ ที่เหลือ ก็ค่อย ๆ ใช้เวลาเรียนรู้ต่อไป"

แอนดี้มองหน้าผู้อาวุโส

"หลวงพ่อสอนบอกคุณหญิงเหรอครับ ?"

ผู้อาวุโสพยักหน้า

"จ้ะ ! ท่านบอกว่าเธอต้องการความรู้ที่กว้าง และ ลึกซึ้งกว่านี้ไปเรื่อย ๆ แต่มันจะกินเวลาไปเรื่อย ๆ ท่านบอกว่า ความรู้ที่เธอได้ตอนนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะปฏิบัติภารกิจ ให้เริ่มปฏิบัติเลย ขอให้มั่นใจว่า มันเพียงพอแก่การเริ่มต้นแล้ว"

"แต่ยังไม่พอต่อการบรรลุ"

คุณหญิงมีรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง

"ชั้นรู้สึกภูมิใจในตัวเธอจริง ๆ สองปีที่แล้ว เธอยังไม่รู้จักศาสนาพุทธเลย แต่ตอนนี้ เธอใจร้อน อยากจะบรรลุเร็ว ๆ"

"ครับ ! สิ่งที่ได้เรียนรู้ มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้ผมเบื่อสภาพของการเวียนว่ายตายเกิด แต่มันยังไม่เพียงพอ สำหรับการบรรลุ เพราะผมเคยอธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิไว้ในอดีต ธรรมที่จำเป็นต่อการบรรลุ ผมจะยังเข้าไม่ถึง จนกว่าผมจะได้ลาพุทธภูมิสำเร็จ

แต่การจะลาพุทธภูมิ ผมต้องปฏิบัติภารกิจที่เคยอธิษฐานเอาไว้ในอดีต แต่อดีตนั้น ก็ยังไม่กระจ่างแจ้งร้อยเปอร์เซนต์ ยังมีคำถามอีกมากมายที่ผมยังอยากรู้ แล้วผมก็ยังไม่รู้ ผมจะแก้เรื่องเหล่านั้นได้ยังไง ?"

คุณหญิงบีบมือแอนดี้อีกครั้ง
"เรามาช่วยกันไง ! เธอคงได้รู้อะไรมากขึ้นในระหว่างบวช ถึงแม้ภาพทั้งหมด เธอยังต่อไม่ติด ก็ขอให้เธอค่อย ๆ ปฏิบัติไปก่อน ทำตามที่หลวงพ่อสอนแนะนำไปทีละขั้น

ส่วนชั้นเอง เป็นคนที่พาเธอมาที่เมืองไทย ชั้นก็มีส่วนจะช่วยต่อภาพเรื่องราวของเธอ เมื่อถึงเวลา"

แอนดี้เขย่ามือของคุณหญิงเบา ๆ

"คุณหญิงรู้เรื่องราวของผมใช่มั้ยครับ ? เล่าให้ผมฟังได้มั้ยครับ ?"

หญิงอาวุโสหัวเราะเบา ๆ

"ชั้นรู้เรื่องของเธออยู่แค่เรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องที่ชั้นรู้นี้ ชั้นจะยืนยันกับเธอ ก็ต่อเมื่อ เธอถามคำถามนั้นเมื่อไหร่ ชั้นก็จะตอบเธอว่า ใช่ นั่นเป็นเรื่องเดียวที่ชั้นรู้"

แอนดี้กลอกตาขึ้นข้างบน

"ยิ่งพูดยิ่งงง หมายถึงผมต้องเป็นฝ่ายถามก่อนเท่านั้น ใช่มั้ยครับ ?"

คุณหญิงพยักหน้า

"ใช่ ! นี่ไม่ใช่กฏเกณฑ์ที่ชั้นเป็นคนตั้งขึ้นมานะ ชั้นไม่ใช่คนที่ชอบมานั่งเล่นเกมส์ แต่หลวงพ่อสอนท่านบอกให้ชั้นทำอย่างนี้ คือ เรื่องหลาย ๆ อย่างนี่ ถ้าบอกเธอในเวลาที่ไม่สมควร มันจะเสียงานเสียการ ยกตัวอย่างเช่น

ถ้าชั้นบอกเธอตั้งแต่หลายปีที่แล้วว่า อนาคต เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่าง แล้วมาบวชเป็นพระในศาสนาพุทธ

หากเธอรู้ตั้งแต่ตอนนั้น เธออาจจะมองว่าชั้นบ้า แล้วเราก็คงเลิกติดต่อกัน หรือ เธออาจจะมองว่า ชั้นมีแผนการอะไรบางอย่างที่มิดีมิร้าย จะทำให้เธอต้องหมดตัว หรือ ถ้าหากว่าเธอเชื่อชั้นจริง ๆ ว่าเธอจะต้องหมดตัว เธอก็อาจจะเป็นโรคประสาทไปก่อน เพราะการรู้ล่วงหน้าแต่ทำอะไรไม่ได้ มันทำให้จิตคิดฟุ้งซ่าน

แต่ชั้นรอได้ รอจนเหตุการณ์เหล่านั้นถึงเวลา แล้วเกิดขึ้นจริง ๆ ชั้นค่อยแนะนำทางให้เธอ ตามที่หลวงพ่อสอนแนะนำทีละขั้น เรื่องมันก็ราบรื่น

ฉะนั้น ก็เหลืออีกเรื่องเดียวนะ ที่ชั้นรู้แต่ยังบอกเธอไม่ได้ เธอคงต้องใช้เวลา จนกว่าเธอจะเป็นคนมาถามคำถามนั้นกับชั้นเอง แล้วชั้นก็จะตอบว่า ใช่"

แอนดี้หัวเราะ

"สนุกดีเหมือนกันครับ เหมือนกับกำลังดูหนังสืบสวนสอบสวน แต่ที่ไม่ค่อยสนุกคือ ระหว่างนี้ ผมก็ยังต้องป่วยอยู่ทุกวัน แต่ละวันก็ถือว่าหนักเอาการ

ผมถามคำถามกับหลวงพ่อสอน จริง ๆ ซักไซร้มากกว่านี้อีกหลายเท่า ท่านก็เมตตาบอกผมเฉพาะสิ่งที่ผมจำเป็นต้องรู้ ซึ่ง... ฮะ ฮ่า.." เขาพูดแล้วก็หัวเราะตัวเอง

"....หลวงพ่อก็บอกเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เลย ท่านบอกแค่ว่า ให้มั่นใจว่า

หนึ่ง ผมจะไม่ตายโหง

สอง ผมจะไม่มีวันพิการ ทั้งทางกาย และ สมอง

ส่วนเรื่องการเจ็บป่วย หนักบ้าง เบาบ้าง แล้วแต่วาระนั้น ก็ขอให้รับ ๆ ไปบ้าง ทั้งพรหมเทวดาทั้งหลาย ก็ช่วยดูแลผมอยู่

การที่ท่านบอกให้ผมมั่นใจในสองเรื่องนั้น ตอนแรก ผมก็ดีใจมาก เพราะ คนปกติ ส่วนใหญ่ก็จะกังวลเรื่องการใช้ชีวิตแล้วเกิดอุบัติเหตุ หรือ ป่วยจนพิการ เดินไม่ได้ เสียสติ ซึ่งหากชีวิตผม จะปราศจากเรื่องเหล่านี้ มันคือการรับประกันที่สุดยอดแล้วสำหรับมนุษย์คนหนึ่งที่จะได้รับ"

คุณหญิงพยักหน้า

"ก็ดีแล้วนะ แอนดี้ ! เธอยังมีข้อกังวลใจอะไรอีกล่ะ ?"

"แต่ผมมาคิดได้ทีหลัง นั่นมันไม่ใช่แค่ของขวัญเล็กน้อยที่ทำให้เด็กได้ดีใจหรอก แต่ความจริง ผมคิดว่าหลวงพ่อกำลังจะบอกผมว่า การปฏิบัติภารกิจของผมนั้น มันจะต้องเสี่ยงกับอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดา เค้าคงไม่กล้า เพราะกลัวพิการ แต่ในเมื่อท่านรับประกันให้ผมแล้ว ผมจะต้องทำภารกิจนั้น และไม่ต้องกลัวพิการ ไม่ต้องกลัวตายโหง

คุณหญิงพอจะเข้าใจมั้ยครับ ?"

คำอธิบายของแอนดี้ ทำให้คุณหญิงรู้สึกขำ

"เธอคิดไปไกลถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ?"

"ไม่ได้ไกลเลยครับ ! ผมจะเล่าเรื่องระหว่างบวช ท่านสั่งให้ผมไปธุดงค์องค์เดียวในป่าลึก วันนึงไปพบกับเสือเข้า ก็พยายามหลบ เบี่ยงไปอีกทางนึง แต่เสือก็ตามผมไปเรื่อย ๆ ต้อนจนผมไปสุดที่ริมเหว ผมนึกถึงคำรับประกันของท่านได้ทันที ที่ท่านบอกว่าผมจะไม่มีวันพิการ แปลว่า คงให้ผมกล้า ๆ โดดเหวนั้นเพื่อหนีเสือ"

"แล้วเธอโดด ?"

ทิดเอกสั่นหัว

"เปล่าครับ ! ผมก็คิดอีกด้านนึง ถ้าผมไม่มีวันพิการ ไม่มีวันตายโหง แปลว่า ผมก็ไม่มีทางเสียอวัยวะ หรือ ตายโหง จากการผจญกับเสือเหมือนกัน ผมก็เลยหันมาทางเสือ แล้วนั่งลงกับพื้น ทำสมาธิ แล้วก็อุทิศร่างไปเลย ถ้าเสือตัวนั้นเป็นเจ้ากรรมนายเวรผม ต้องการเอาชีวิตผมให้ได้ ผมก็ต้องยอม เพราะไม่มีทางหนีแล้ว แต่หากผมจะตาย ผมก็จะขอให้หลวงพ่อที่อุทัยธานีมารับ ท่านมารับดวงวิญญาณแล้วจะพาผมไปไหน ผมก็ไปทั้งนั้น

แต่ถ้าเสือจะอภัย เว้นชีวิตให้ ผมก็จะใช้สังขารนี้ เพื่อทำคุณประโยชน์ให้สังคมต่อไป แล้วผมก็หลับตา พยายามเข้าฌาน

ในสมาธิของผม ผมเห็นเสือตัวนั้น กลายร่างเป็นหลวงพ่อสอน ท่านยิ้มให้ แล้วพูดกับผมว่า

พระกระโดดเหวหนีเสือ ! เธอไม่อายสองตัวนั่นหรือไง ? เธอเป็นเสืออยู่แล้ว ทำไมต้องกลัวเสืออีก ? ตั้งจิตให้แกร่งกล้าอย่างนี้น่ะ ดีแล้ว !

เท่านั้นแหละ เมื่อผมลืมตา เสือก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว !"

คุณหญิงถามขึ้น

"สองตัวนั่น หมายถึงอะไร ?"

"ท่านหมายถึง พระโป่ง กับ พระหมู ถ้าตอนนั้นผมเลือกที่จะกระโดดเหวเพื่อหนีเสือจริง ๆ ตอนออกจากป่า ผมคงไม่มีหน้าไปเล่าให้พระสององค์นั้นฟัง เพราะสององค์นั้น ถือว่ามีอภิญญาที่แกร่งกล้ามากกว่าผม เราทั้งสาม ก็ถือว่าเป็นสหายธรรมที่สนิทสนมกัน ว่าง ๆ เราก็ชอบจะกระเซ้าเย้าแหย่กัน แล้วก็นำวิชาอะไรแปลก ๆ มาแลกเปลี่ยนกัน"

คุณหญิงหัวเราะ

"ได้พบเธอในวันนี้ ชั้นมีความสุขจริง ๆ ฟังเรื่องที่เธอเล่าแล้ว ทำให้ชั้นสนุก ถึงจะลุกไปไหนไม่ได้ ก็มีความสุข"

"ครับ ! วันนี้ผมจะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้คุณหญิงฟัง จนถึงช่วงเย็น แล้วคงต้องรีบกลับไปเตรียมตัวป่วยที่บ้าน"

คุณหญิงพูดขึ้น

"ก่อนที่จะคุยกันเรื่องอื่น เธอรู้แล้วใช่มั้ยว่า ภารกิจแรกที่จำเป็นสำหรับเธอ คืออะไร ?"

"ครับ ! ผมต้องจัดการหนี้เก่ากับครอบครัวไตรสรณ์ แล้วก็ต้องเผยแพร่ธรรมะให้บริวารที่ตามผมมา"

คุณหญิงพยักหน้า

"นั่นเป็นวัตถุประสงค์ใหญ่ แต่ชั้นหมายถึง มีงานแรกที่เธอต้องทำด่วน น้อยได้เล่าให้เธอฟังหรือยัง ?"

แอนดี้สั่นหัว

"ยังครับ ! งานอะไรเหรอครับ ?"

"หลวงพ่อสอนบอกว่า เธอต้องมีคนในอดีตมาคู่กายเธอ เพื่อทำให้งานเธอสำเร็จ เธอรู้แล้วใช่มั้ย ว่าเค้าคือใครกันบ้าง ?"

ทิดเอกพยักหน้า

"รู้ครับ ! ผมรู้ว่าพวกเค้าเป็นใคร ครบแล้วทั้งสามคน อาฟ่ง กับ รุ่ง นั้น ไม่น่าจะมีปัญหา แต่คนสุดท้ายนั้น ผมยังไม่แน่ใจว่าจะหาวิธีไหน เพราะ ความสัมพันธ์ของผมกับเค้าในปัจจุบัน กับ อดีตชาตินั้น มันคนละสถานะกัน"

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของคุณหญิง ทำให้แอนดี้ประหลาดใจ

"อะไรเหรอครับ ?"

"เธอไปห่วงคนที่สาม แต่ไอ้คนที่สองนั้น ตอนนี้มีปัญหาอยู่ เธอยังไม่รู้ คงต้องแก้เรื่องนี้ก่อนนะ"

"ใครครับ มีปัญหา ?"

คุณหญิงมองไปที่ภาพถ่ายขาวดำ รูปเด็กชายวัยรุ่นกำลังสะพายกีตาร์ไฟฟ้า ตั้งอยู่ในตู้โชว์

"รุ่งไง ! รุ่งถูกห้ามไม่ให้เข้ามาที่เรือนไม้นี้ สองปีแล้ว"

"ห้ามทำไมครับ ? ใครห้าม ?"

"ครูยาใจ ! เธอเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญของที่นี่"

แอนดี้จำชื่อนี้ได้ดี

"ครูยาใจ ! คนนี้นี่เอง คุณหญิงเล่าความเป็นมาให้ผมฟังเถอะครับ ทำไมเธอต้องห้ามรุ่งมาที่นี่ด้วย ? "

**************************************************************************************************

รุ่งเดินเข้าห้องอาหารของพนักงาน มองหาเพื่อนผมหยิกจอมอัจฉริยะ

มอแกนกำลังยกลังพลาสติคเปล่าเดินออกมาจากในห้องครัว

"รุ่ง ! นายมาหาเราเหรอ ?"

รุ่งพยักหน้า

"ใช่ ! นายกำลังยุ่งอยู่เหรอ ? เรามีเรื่องคุยแป๊บนึง"

เพื่อนตัวเตี้ยพยักหน้า

"ได้ ๆ นายนั่งรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวเราเอาลังไปเก็บไว้ด้านนอกก่อน"

บ่ายสองกว่าแล้ว ห้องอาหารพนักงานว่างเปล่า เจ้าหน้าที่ประจำห้องอาหารพนักงาน เริ่มทำความสะอาดห้องอาหาร

มอแกนเดินกลับมาพร้อมเสียงผิวปาก เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับรุ่ง

"นายมีอะไร ?"

"เมื่อเช้าเราคุยกับฝ่ายบุคคล เรื่องสัมภาษณ์พนักงานฝ่ายไอทีที่จะไปอยู่ส่วนไรด์คอนโทรล เขาจะให้ทำข้อสอบแล้วก็สัมภาษณ์หลังจากทำข้อสอบเลย สำหรับนายเป็นพนักงานชั่วคราวอยู่แล้ว เขาก็จะให้นายเป็นคิวแรก ตามประสบการณ์ที่นายมีมา นายก็เหมาะกับตำแหน่งนี้"

มอแกนพยักหน้า

"ใช่ ! แต่เราจะผ่านสัมภาษณ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เราไม่ถนัดคุยกับคนจริง ๆ ในโลกนี้ คงมีแค่นายคนเดียวที่เห็นว่าเราเป็นมนุษย์ แม้แต่คนที่บ้านมหาสารคาม เค้ายังเห็นเราเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้"

"เอาน่า ! มอแกน ! นายต้องทำได้ ความสามารถของนายมันมีเกินกว่าคนธรรมดาทั่วไป เพียงแต่นายจะต้องค่อย ๆ พูดให้พวกเค้าเข้าใจ แล้วคนสัมภาษณ์นาย เค้าก็เป็นฝ่ายไอที ฉะนั้น เค้าคงต้องเข้าใจภาษาของนายแน่ ๆ"

มอแกนมองหน้าเพื่อน

"นายมีอะไรแนะนำเรามั้ย ในฐานะที่นายมีความเป็นมนุษย์มากกว่าเรา ?"

คำถามนี้ทำให้รุ่งหัวเราะก๊าก

"ฮ่า ๆๆๆๆ นายจะบ้าเหรอไง ? พูดยังกับ นายคลอดออกมาจากตูดแย้

ที่เราจะแนะนำ ก็เรื่องภาษาของนาย นายเหมือนมีโลกส่วนตัว แล้วก็มีภาษาส่วนตัวของนาย ก่อนที่นายจะพูด นายก็ต้องคิดก่อนว่า จะใช้ศัพท์อะไรให้คนในสังคมเค้าฟังเข้าใจ แต่คนสัมภาษณ์นายก็น่าจะเข้าใจนะ ถ้านายพูดศัพท์เทคนิคที่นายชอบพูดกับคนธรรมดา แล้วเค้าไม่เข้าใจ งานนี้ เค้าเข้าใจแน่ เพราะพวกเค้าก็เป็นคนไอทีเหมือนกัน

แล้วถ้าเค้าถามถึงผลงานที่โดดเด่น นายก็เตรียมเล่าให้เค้าฟังด้วยแล้วกัน ว่าตอนนายอยู่ที่บริษัทเก่า นายได้มีผลงานอะไรไว้บ้าง ?"

สีหน้าเพื่อนผิวหมึกเปลี่ยนเป็นสลดทันที

"ผลงานที่เค้าหาว่าเราแฮค แล้วขโมยข้อมูลบริษัทน่ะเหรอ ?"

"เฮ่ย ! เราไม่ได้หมายความเรื่องนั้น นายไม่ต้องไปพูดเรื่องนั้น มันไม่ควรพูด เพราะยิ่งพูด นายจะเจอคำถามอีกมากมาย ยุ่งเข้าไปใหญ่ นายแค่คิดถึงเรื่องผลงานดี ๆ ที่ทำให้คนฟังอึ้งได้ว่า นี่คือผลงานที่นายเคยทำ

อย่างเช่น สมัยก่อนที่นายทำซอฟท์แวร์สั่งของอัตโนมัติจากเซนเซอร์ในตู้เย็น เจ๋งมาก !

เวลานมสดในตู้เย็นหมด มันส่งข้อความไปบอกให้ร้านหน้าปากซอยเอานมมาส่งได้ ถึงแม้มันจะดูเพี้ยน ๆ ไปหน่อย แต่มันก็เวิร์คนะ นายต้องลงทุนค่าซ่อมตู้เย็นไปสองสามครั้ง แล้วต้องซื้อตู้เย็นใหม่เพราะอันเก่านายทดสอบจนมันพัง แล้วยังไม่นับนมเป็นโหล ๆ ที่มันส่งข้อความระบุจำนวนผิด แล้วยังไม่รวมว่าสุดท้าย นายก็ทะเลาะกับร้านหน้าปากซอยนั้น เพราะมันส่งข้อความวันละสิบกว่าหน....

....แต่มันก็เวิร์คนะ"

มอแกนมีรอยยิ้มมาจากการให้กำลังใจของเพื่อน

"จริงสิ ! เราควรหาผลงานที่โดดเด่น ทำให้เค้าอ้าปากค้างได้"

รุ่งหัวเราะ

"มอแกน ! นายเอาแค่โดดเด่นก็พอ ไม่ต้องถึงกับอ้าปากค้างหรอก แค่พูดเราก็กลัวแล้ว"

เพื่อนผิวหมึกพยักหน้าติดต่อกันหลายครั้ง

"ดี ๆๆๆๆ ! ดีใจจังที่มีนายเป็นเพื่อนเรา เออ ! แล้วนี่นายกินข้าวเที่ยงแล้วหรือยัง ?"

รุ่งพยักหน้า

"กินแล้ว"

"กินกับแคลร์เหรอ ?"

รุ่งสั่นหัว

"เปล่า ! วันนี้เปล่า"

"แคลร์ไม่ว่างเหรอ ?"

รุ่งชะงักไปซักครู่ แล้วตอบ

"ว่าง แต่.... ไม่ต้องกินด้วยกันบ่อยหรอก"

มอแกนถามขึ้น

"นายไม่ชอบแคลร์เหรอ ? หรือว่า นายเบื่อแล้ว ?"

"เปล่า ! ไม่ใช่ แต่.... "

มอแกนพยักหน้า

"ขอโทษ เราคงถามมากไป เราไม่เคยรู้จักว่า การได้มีแฟนนั้นมันเป็นยังไง แล้วตั้งแต่เรารู้จักนายมา เรายังไม่เคยเห็นนายมีแฟนเลย ถ้าเราได้เห็นนายมีแฟนคนแรก เราคงดีใจมาก"

รุ่งถอนหายใจ

"เปล่าเบื่อ ! มันเป็นอารมณ์หลอนน่ะ พอนึกถึงแล้วมันก็แว่บเข้ามา แล้วมันก็หยุดไม่ให้เราไปไกลกว่านี้"

เพื่อนผมหยิกทำท่านั่งกอดอก นึกว่าตนเองเป็นจิตแพทย์ผู้ชำนาญการ

"ว่าต่อไปเลยรุ่ง เพื่อที่นายจะได้สบายใจ เราจะช่วยวิเคราะห์"

รุ่งหัวเราะหึ ๆ เมื่อมองเห็นท่าทางของเพื่อนที่ตั้งใจรอฟังคำบรรยายของคนป่วย

"มันเป็นอารมณ์ที่คุ้น ๆ ว่าครั้งหนึ่ง เคยมีอารมณ์แบบนี้ แล้วมันก็พาให้ตัวเองลงลึกไปเรื่อย ๆ จนเสียความเป็นตัวของตัวเองหมดเลย

ทุกอย่าง มันก็เริ่มต้นด้วยการรู้จักกัน เริ่มรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กัน ต่อมาก็สบายใจไปเรื่อย ๆ ที่ได้เห็นกันบ่อย ๆ แล้ววันนึง จู่ ๆ เราก็ต้องจากกัน ความสบายใจนั้นก็กลายเป็นความทุกข์ ปรับตัวไม่ทัน เหมือนกับชีวิตขาดอะไรไป แล้วก็คิดถึงแต่เค้า แทบจะได้ว่าทุกลมหายใจเข้าออก ลืมหิว ลืมภาระที่ต้องทำ ลืมเรียนหนังสือ เวลาทั้งหมด หายไปกับการที่นึกถึงเค้า เหมือนกับคนไร้สติ

จนกระทั่งวันนึง ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มีสติกลับมารู้ตัวว่า เราได้พ้นวงจรนั้นเรียบร้อยแล้ว เราไม่ทุกข์แล้ว ปรับตัวได้แล้ว แล้วก็ไม่อยากจะกลับไปเริ่มวงจรนั้นอีกแล้ว

มันคือวงจรที่เลวร้ายที่สุด เริ่มตั้งแต่ ได้รู้จัก เริ่มคุ้นเคย สบายใจ แล้วต้องจากกัน ทุกข์ไปอีกนาน

วงจรนี้ มันคือวงจรอุบาทว์ ที่เริ่มต้นด้วยการรู้จักกัน

ถ้ามีสติทัน จะต้องหยุดวงจรนี้ได้ตั้งแต่ต้น เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าอยู่กับใครแล้วเริ่มสบายใจ ก็ควรจะหยุดได้ตั้งแต่นั้นแล้ว"

มอแกนพยักหน้าช้า ๆ ทำสีหน้าเลียนแบบจิตแพทย์ที่คร่ำหวอดกับการอ่านจิตของคนไข้

"ถ้าอย่างนั้น หมายความว่า นายกำลังหลงรักเราเข้าแล้ว นายกำลังคิดว่าตัวของนายจะเป็นเกย์ใช่หรือไม่ ?"

รุ่งเปลี่ยนอารมณ์ไม่ทัน หันมามองหน้าจิตแพทย์ผมหยิกด้วยตาที่เบิกโต ไม่นึกว่าสติปัญญาของเพื่อนจะเพี้ยนได้ประมาณนี้

มอแกนหัวเราะ

"ฮ่า ๆๆๆ เราล้อเล่นน่ะ ! เข้าใจแล้ว !

นายกำลังคิดว่า นายกำลังเริ่มจะชอบแคลร์ ถ้านายปล่อยให้มันเป็นยังงี้ต่อไป ไปกินข้าวกันบ่อย ๆ แล้วสบายใจ วันหนึ่ง เมื่อแคลร์จากนายไป นายก็จะกลายเป็นแบบที่นายเคยเป็น"

รุ่งพยักหน้า

"ก็คงประมาณนั้นมั้ง ตอนนี้เราแค่ชอบอัธยาศัยของแคลร์ ยังไม่มีอะไรเกินเลยกว่าเพื่อน แต่ไม่อยากจะปล่อยไปเรื่อย ๆ จนวันนึง วงจรอุบาทว์มันเริ่มไปแล้ว แต่เราไม่รู้ตัว

อีกไม่นาน แคลร์ก็คงต้องกลับไปอเมริกา วันนั้น ถึงแม้ว่าเราจะเป็นแค่เพื่อนสนิทกัน แต่มันก็คงจะเหวอไปเหมือนกันเมื่อขาดเพื่อนสนิทไป"

จิตแพทย์ตัวเตี้ย พยักหน้าช้า ๆ ทำคิ้วขมวด

"ถ้าอย่างนั้น นายก็ต้อง ฟอกซ์ทรอท อัลฟ่า เดลต้า เอคโค่ ออกมาตั้งแต่ตอนนี้"

รุ่งหัวเราะเมื่อได้ยินเพื่อนสะกดรหัสย่อสากลคำว่า FADE

"นายท่องได้คล่องแล้วสิ !"

มอแกนยักคิ้วให้

รุ่งมองออกนอกหน้าต่างไปยังที่ลานจอดรถสำหรับขนส่งอาหาร

"เมื่อตอนเรากับวิทย์เรียนที่หอการค้า เรามีเพื่อนสนิทอีกคนนึง สนิทกันตั้งแต่เรียน จนจบแล้ว ก็ยังสนิทกันอยู่ แล้วจู่ ๆ เค้าต้องไปทำงานที่เมืองนอก พอไปแล้วก็ไม่ติดต่อมาเลย เราติดต่อไปก็ไม่ตอบกลับ เราก็เหวออีกครั้ง งง ๆ ว่า ทำไมเวลาที่ใครจากเราไป เค้าจะจากแบบหายไปเลย ไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ติดตาม ?

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นญาติ ทำไมต้องหายไปแบบนี้ ?"

"ผู้หญิงในรูปที่นายถ่ายสามคนกับวิทย์ด้วยใช่มั้ย ?"

รุ่งพยักหน้า "อือ !"

"นายก็เลยเข็ดกับการที่ต้องสนิทกับใครมาก ๆ แต่ไม่ต้องกลัวนะ เราจะไม่จากนายไปไหนแน่นอน รุ่ง ! เราจะไม่ทำให้นายต้องเหวอเพราะเรา เราจะอยู่ใกล้ ๆ นายตลอดไป"

รุ่งมองหน้ามอแกนแล้วหัวเราะหึ ๆ ที่เพื่อนช่างคิดได้ปานนั้น

**************************************************************************************************

เกือบห้าโมงเย็น...

... แอนดี้ ใช้เวลา ตลอดทั้งบ่าย สนทนากับคุณหญิงแห่งกิจบูรณา ผู้มีพระคุณที่สนับสนุนทุกอย่างในชีวิตของเขา ตั้งแต่เขาได้ย่างก้าวเข้ามาในราชอาณาจักรไทย

วัตถุประสงค์หลัก ๆ ของภารกิจ เป็นที่เข้าใจกันดีระหว่าง ตัวเขา และ คุณหญิงเจน

"ขอบคุณคุณหญิงที่ช่วยเล่ารายละเอียด ผมคงต้องใช้ความละเอียด ระมัดระวังมากขึ้นในเรื่องของคุณครูยาใจ หากเธอเป็นคนที่ทุ่มเท ซื่อสัตย์ และ ขาวสะอาดอย่างที่คุณหญิงเล่าให้ฟัง ผมก็จะไม่มีวันทำให้เธอต้องลำบากใจที่ต้องร่วมภารกิจเดียวกับผม"

ใบหน้าคุณหญิงอาวุโสยังเปื้อนยิ้ม

"ดีจ้ะ ! ชั้นเองก็นับถือรุ่งมากนะ อายุไม่เท่าไหร่ แต่เค้ามีความอดทน อดกลั้น ชั้นไม่เคยได้ยินข้อเรียกร้องอะไรออกจากปากเขาซักคำ ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่า เรือนไม้นี้ ก็เป็นของพ่อของเขา แต่ตัวเอง กลับไม่สามารถเข้ามาเหยียบที่นี่ได้"

แอนดี้หันหน้าไปมองรอบห้อง

"ห้องนี้ คนที่เหมาะสมจะเข้ามาใช้มากที่สุด คือ รุ่ง"

"ใช่ ! แต่เค้าไม่เคยได้มีโอกาสเข้ามาที่นี่อีกเลย นับตั้งแต่วันเปิดตัวสถาบัน สองปีที่แล้ว"

แอนดี้ยกมือแตะที่แขนคุณหญิง

"ผมเชื่อว่า ผมจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คุณหญิงเชื่อมือผมนะครับ"

ความเจ็บปวดอย่างหนักหน่วง เริ่มขึ้นที่สะบักหลังข้างขวาของแอนดี้ เมื่อเขาลองขยับแขน ความเจ็บนั้นก็เพิ่มเป็นทวีคูณ

"โอ๊ย !"

ขอบตาหรี่ลง ใบหน้าแอนดี้แสดงถึงความเจ็บปวด

คุณหญิงสังเกตุเห็นจากสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป

"เป็นอะไร แอนดี้ ?"

เขายกมือซ้ายขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ

"ยังไม่ห้าโมงเย็นเลย ทำไมวันนี้มาทวงก่อนเวลา ?"

"เจ้ากรรมเธอมาแล้วเหรอ ?"

แอนดี้สั่นหัว เขาเอนหลังพิงพนัก

"ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมเจ็บที่ข้างหลังมาก สงสัยจะนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน"

หญิงอาวุโสแสดงสีหน้าเป็นห่วง

"เธอนั่งหลังตรงก่อน เดี๋ยวจะให้คนมาช่วยดูให้ ครูสตีฟน่าจะช่วยได้นะ"

แอนดี้ยกมือซ้ายขึ้นห้าม

"ไม่เป็นไรครับ คุณหญิง ! อย่าเพิ่งเลย เดี๋ยวผมขอหลับตาซักแป๊บนึงครับ"

เขาเขยิบก้นเข้าชิดพนักพิง ยืดหลังตรง แล้วค่อย ๆ หลับตา

ยังไม่ทันที่จิตจะเรียกท่านลุงจบประโยค เสียงที่เข้ามาในจิต กลับเป็นเสียงของหญิง

"นี่ไม่ใช่เจ้ากรรมนายเวรของท่าน โปรดรอสักประเดี๋ยว"

แอนดี้ถามขึ้นในจิต

"พระนางจันทิมา ! เหตุใดท่านจึงมา ?"

"เพราะท่านถูกของ ! นี่ไม่ใช่เจ้ากรรมที่นัดไว้ ขอให้เราถามไถ่เจ้าที่ที่นี่ก่อน ท่านหลับตาอยู่ในสมาธิซักครู่"

"ครับ !"

เขาเริ่มจับลมหายใจ รู้สึกไออุ่นจากลมหายใจกระทบปลายจมูก กระทบหลอดลม ผ่านไปจนถึงจุดเหนือสะดือ ความละเอียดของอานาปานุสติที่ได้จากกรรมฐาน 40 นั้น เป็นคุณต่อชีวิตเขานับครั้งไม่ถ้วนมาแล้ว

เสียงพระนางจันทิมาดังขึ้นอีกครั้ง

"ท่านถูกของ ไม่รุนแรงนัก เราจะถอนของให้ท่านก่อน ขอให้ท่านเข้าเตโชกสิณ"

ไม่ถึงนาที คำบริกรรมภาวนา 'เตโช กสิณัง' พาแอนดี้เข้าถึงฌานสี่ในเตโชกสิณ ภาพกสิณไฟกลายเป็นแก้วโปร่งแสง

เขาลดระดับความแนบแน่นของฌานลงมาเป็นปฐมฌาน เพื่อฟังคำแนะนำของพระนาง

"ขอให้ท่านนำไฟ ไปเผาจุดที่ท่านปวด เราจะช่วยถอนของออกให้"

แอนดี้ปฏิบัติตามในทันที เพียงไม่กี่วินาทีถัดมา อาการปวดก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

"ผมต้องขอกราบขอบพระคุณในความเมตตาของพระนางเป็นอย่างยิ่ง ที่ท่านมาช่วยผมในวันนี้ เรือนไม้นี้มีเจ้าที่ที่มีฤทธิ์พอสมควร แปลกจังที่ยังมีคุณไสยหลุดเข้ามาในนี้ได้อีก"

"ไม่ใช่มาจากข้างนอก แต่มาจากคนในนี้ เจ้าที่ได้เล่าให้เราฟังแล้ว"

"มาจากคนในนี้ ? ผมไปทำอะไรให้เขาขัดเคืองเหรอครับ ?เขาถึงต้องเล่นงานผมทั้งๆที่ผมเพิ่งมาที่นี่วันนี้เป็นวันแรก"

น้ำเสียงพระนางตอบด้วยความเกรี้ยวกราด

"ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ! ริอ่านลองของ ! เราจะส่งของกลับไปให้มัน"

"พระนาง ! ผู้ใดกันครับ ที่มาลองของในเรือนไม้นี้ ?"

น้ำเสียงของพระนาง ยังยืนยันความเกรี้ยวกราดเหมือนเดิม

"ท่านออกไปดู ประเดี๋ยวเราจะซัดของกลับให้มันลงไปนอนลงกับพื้น แล้วท่านออกไปพบใครกำลังนอนบนพื้น ก็มันนั่นแหละ"

"ประเดี๋ยวครับ ! ท่านพระนาง ! หากคนคนนั้น ไม่ได้มีเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งกับผม ผมก็ไม่อยากจะโต้ตอบกลับ แล้วก็แล้วกันไป ผมแค่อยากรู้ว่า คนนั้นเป็นใคร"

พระนางตวาดเสียงดัง

"ไม่ได้ ! คิดมาลองของกับเรา เราต้องสั่งสอน"

"พระนางครับ ! ผมขอกราบเท้าพระนาง โปรดขอให้ผมได้ออกไปเห็นหน้า หรือ ถ้ามีโอกาส ผมจะลองเจรจาดูก่อน ทุกคนที่มาปฏิบัติธรรมในเรือนไม้นี้ ล้วนแต่มาด้วยเจตนาดี..."

"ได้ ! เราให้เวลาท่านสิบนาที ท่านจงออกไป มันผู้นั้นอยู่ในห้องกรรมฐานใหญ่"

แอนดี้ลืมตาทันที

"คุณหญิงครับ ! เดี๋ยวผมขอออกไปที่ห้องกรรมฐานใหญ่นะครับ เดี๋ยวกลับมาจะเล่าให้คุณหญิงฟัง"

คุณหญิงพยักหน้ารับรู้

**************************************************************************************************

ประตูห้องกรรมฐานใหญ่ ถูกเปิดออก แอนดี้เดินเข้ามาในห้อง

สตีฟกำลังนั่งสนทนาอยู่กับลูกศิษย์ที่มาเรียนวิชาพลังจิตรักษาโรค

เสียงพระนางดังขึ้นในมโนจิต

"ผู้หญิง ที่นั่งติดกับฝรั่งคนนั้น"

แอนดี้ผงกหัวให้กับครูสตีฟ

สตีฟลุกขึ้นยืนด้วยมารยาท

"คุณแอนดี้ มีเรื่องอะไรเหรอครับ ?"

"ผมรบกวนครูสตีฟข้างนอกห้องซักครู่นะครับ"

สายตาแอนดี้จ้องไปยังสาวเป้าหมายที่กำลังนั่งพับเพียบอยู่ที่พื้น ยากที่จะทำให้เขาเชื่อว่า เธอคนนี้ เป็นคนที่ปล่อยของมาใส่ตัวเขา

เมื่อทั้งคู่ เดินพ้นออกจากห้อง

แอนดี้ถามขึ้น

"ครูสตีฟครับ เด็กนักเรียนที่นั่งด้านขวา ติดกับครูสตีฟ เธอเป็นใครครับ ?"

สตีฟถามกลับ

"ที่อยู่ในชุดนักเรียนน่ะเหรอ ? เธอเป็นครูผู้ช่วยของผมเอง เห็นเธออายุแค่นั้น แต่เธอเก่งมากนะ เธอเป็นศิษย์คนโปรดของครูยาใจเลย ครูยาใจเป็นคนแนะนำเธอให้มาเป็นลูกศิษย์ผมอีกที วันนี้ เธอจะมาช่วยผมสอนนักเรียนหัดใหม่ เรื่องพลังจิตรักษาโรค"

แอนดี้พยักหน้าช้า ๆ

"เด็กสาวอายุแค่นั้นเอง เป็นครูช่วยฝึกสอนได้แล้วเหรอ ? เก่งจังเลย ! เป็นเด็กครูยาใจนี่เอง"

นัยน์ตาของสตีฟ บ่งบอกถึงความปีติ ภูมิใจ เมื่อได้เล่าถึงความสามารถของลูกศิษย์ ให้คนอื่นฟัง

"มาสิ ! เดี๋ยวผมเรียกเธอออกมาแนะนำตัว"

สตีฟรีบเปิดประตูห้องกรรมฐาน กลับเข้าไป

แอนดี้สื่อสารทางมโนจิต กลับไปยังพระนาง

"ท่านพระนางครับ ! โปรดหยุดเรื่องทั้งหลายไว้ก่อนนะครับ ผมคิดว่าอาจจะมีการเข้าใจกันผิด เด็กนักเรียนคนนั้น อายุไม่น่าจะเกินสิบเจ็ดปี แล้วเธอเป็นศิษย์ของครูสตีฟด้วย น่าจะเป็นการเข้าใจผิดมากกว่า"

"แอนดี้เอ๋ย !...."

เสียงที่ตอบกลับ กลับเป็นเสียงของเทวดาเจ้าที่

"..... เอ็งจะหาว่าข้าเข้าใจผิดเหรอ ? ข้ายืนยันว่า คนที่ลองของกับเอ็ง คือ นังเด็กนั่นแน่นอน ข้าเป็นคนบอกพระนางเอง เพราะข้ารู้เห็นอยู่ตลอด แต่ข้าเตือนเอ็งไม่ทัน เพราะ จิตของเด็กนั้น ไม่ได้วางแผนมาล่วงหน้า มันเป็นการคิดลองของขึ้นมาฉับพลัน"

แอนดี้ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า 'คิดลองของขึ้นมาฉับพลัน'

ประตูห้องกรรมฐานใหญ่ ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง

สตีฟเดินออกมา พร้อมสาวรุ่นในชุดนักเรียนมัธยมหญิง หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผมยาวประบ่า

"นี่ คุณแอนดี้ มาเป็นครูใหม่อีกคนหนึ่งของสถาบันนี้"

เขาบอกกับนักเรียนสาว

สาวในชุดนักเรียนมัธยม มองหน้าแอนดี้ แล้วยกมือไหว้

แอนดี้ยกมือรับไหว้ แล้วส่งยิ้มให้

"เก่งจังเลย ! อายุเท่านี้ ก็เป็นครูช่วยสอนได้แล้ว น้องชื่ออะไรครับ ?"

สาวมัธยมเลิกคิ้วขึ้นมองหน้าแอนดี้อีกครั้ง มุมปากเผยอรอยยิ้มเล็ก ๆ ออกมา

"แพทตี้ค่ะ !"

เขากวาดตามองเด็กสาวที่ยืนอยู่ต่อหน้า ไม่มีสังหรณ์ใด ๆ ในใจ ที่ส่งความรู้สึกผิดปกติมาให้เขาได้รับรู้ในตอนนี้

สาวมัธยมคนนี้ เป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง

"ยินดีที่ได้รู้จักครับ ไว้ว่าง ๆ ถ้ามีโอกาส เราค่อยคุยกันนะ"

แพทตี้พยักหน้ารับรู้

"ค่ะ !"

แล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่ประตูห้อง

มือที่จับลูกบิดประตู ยังไม่ทันจะได้หมุน เข่าของสาวมัธยม ก็เริ่มทรุด ย่อลง

แอนดี้อุทานขึ้น

"แพทตี้ ! เป็นอะไรน่ะ ?"

เด็กสาวในชุดนักเรียนทิ้งก้นลงกระแทกพื้น แล้วหงายหลัง นอนราบไปบนพื้นไม้หน้าห้อง

ทั้งสตีฟ และ แอนดี้ รีบวิ่งตรงเข้ามาถึงตัวเธอภายในอึดใจ

"แพทตี้ ! แพทตี้ ! ....."

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

< อ่านหน้าแรก

กลับขึ้นด้านบน

พ็อคเก็ตบุคนิยายหมอเถื่อน เล่ม 2 - 4 เปิดให้จองล่วงหน้าแล้ว อ่านรายละเอียดได้ที่นี่

อ่านตอนต่อไป

อ่านตอนอื่น

สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่




Free blog counter