ตอน 19 หน้า 1

กอดฉัน

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

บ้านที่ลาดพร้าวของสายเนตร เป็นบ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรที่มีอายุมากกว่าสิบปี

ที่ดินหกสิบตารางวา กับตัวบ้านที่ใช้พื้นที่สามส่วนสี่ ทำให้มีพื้นที่ว่างเหลือเล็กน้อยสำหรับปลูกต้นไม้ใหญ่

หลังจากต้นฉบับหนังสือธรรมะเล่มที่สี่ ได้ถูกส่งไปยังสำนักพิมพ์เรียบร้อย สายเนตรก็เริ่มมีเวลาว่างที่จะเข้ามาจัดการกับงานบ้านทั้งหลายที่ค้างคา หลังจากครอบครัวผู้เช่าชาวเยอรมัน ได้ย้ายครอบครัวกลับประเทศไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว

หากไม่มีญาติสนิทมิตรสหายคนใดแสดงความสนใจอยากจะเช่าบ้านหลังนี้ เธอก็คงเลือกที่จะใช้บริการบริษัทนายหน้าเพื่อหาผู้เช่าต่อ

สายเนตรยืนมองสภาพของตัวบ้านอยู่ริมรั้วด้านใน ถึงแม้พื้นที่จะแค่หกสิบตารางวา แต่บ้านสองชั้น สามห้องนอน สามห้องน้ำ ถือว่าใหญ่โตมากเกินกว่าที่ผู้อาศัยเพียงหนึ่งคน จะดูแลไหว

เธอเคยคิดที่จะย้ายกลับเข้ามาอยู่ที่นี่เองเมื่อสามปีก่อน แต่ด้วยสภาพความเป็นจริงของหญิงวัยกลางคนตัวคนเดียว ที่ความชราเริ่มมาเยือน การเช่าอพาร์ทเม้นท์ที่มีสาธารณูปโภคพร้อมสรรพอยู่แล้ว น่าจะป็นคำตอบที่เหมาะสมกว่า

ฮอนด้าซิตี้สีแดง แล่นมาจอดที่หน้าประตูรั้ว

ฐิติชญาเปิดประตูลงจากรถ เธออยู่ในชุดลำลองเสื้อยืด เข้าชุดกับ เอี๊ยมผ้ายีนส์ขาสองส่วนแค่เข่า

เสียงปิดประตูรถทำให้เจ้าของบ้านชะเง้อมองผ่านซี่กรงรั้วบ้าน

หลานสาวมองเห็นมือของคุณป้ากวักอยู่ไหว ๆ

"ญา ! ป้าอยู่นี่ ! เดี๋ยวจะเปิดประตูให้"

หลานสาวตะโกนข้ามกำแพง

"ได้ค่ะ ! ญาเอารถเข้าไปจอดในบ้านได้มั้ยคะ ? ในรถมีของสำคัญ ไม่อยากจอดทิ้งไว้ข้างนอก"

"ได้สิ ! เดี๋ยวป้าเปิดประตูให้"

คุณป้าเปิดประตูรั้วให้หลานสาวขับรถเข้ามาจอดในโรงรถ

ทอมเดินตรงมาจากโรงรถแล้วยกมือไหว้คุณป้า

"สวัสดีค่ะ ญาไม่ได้มาที่บ้านนี้หลายปีแล้ว น่าจะห้าปีได้มั้ง บ้านยังเหมือนเดิมเลย"

เสียงของหลานสาวเหมือนกับคนมีอาการแผลในปาก ที่พยายามพูดโดยไม่ขยับริมฝีปาก

คุณป้าพยักหน้า

"อือ ใช่ ! ต้องขอบคุณคนเยอรมันที่มาเช่าบ้าน เค้าดูแลอย่างดี ทำไมเราพูดอย่างนั้นน่ะ ? ปากเราเป็นอะไร ?"

ทอมยกมือขึ้นจับมุมปากด้านขวาของตนเอง

"ญาเป็นเริมค่ะ ที่มุมปากด้านนี้ ! พออ่อนเพลีย มันก็เล่นงาน เป็นอย่างนี้ทุกที"

คุณป้าพยักหน้ารับรู้

"งานหนักหรือไง ? ขอบตาเขียวเลยนะ ญากินข้าวมาแล้วหรือยัง ?"

"ค่ะ กินมาแล้วค่ะ คุณป้าทานหรือยังคะ ?"

"ป้าทานแล้ว"

หลานสาวชะเง้อมองดูรอบบริเวณบ้าน

"ต้นไม้ร่มรื่นจังเลย ! คิดถึงสมัยตอนเด็กมาวิ่งเล่นที่นี่ ตอนนั้นแถวนี้รถยังไม่ติดขนาดนี้"

คุณป้าพยักหน้า

"แต่อยู่ในหมู่บ้านมันก็เงียบสงบดี ถ้ามีคนมาอยู่ด้วย ป้าก็คิดว่าจะไม่ปล่อยให้เช่าต่อ จะมาอยู่เองดีกว่า สนใจจะมาอยู่ด้วยกันมั้ยล่ะ ?"

หลานสาวหัวเราะ

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ! ญามีคอนโดที่เช่าไว้ เสาร์อาทิตย์ญาก็กลับบ้าน มีสองบ้านพอแล้วค่ะ"

"ตามสบายเถอะ สาว ๆ คงไม่อยากมาอยู่กับคนแก่"

ทอมสั่นหัว

"ไม่ใช่งั้นหรอค่ะ ! คุณป้ายังไม่แก่ ทำไมไม่อยู่ที่นี่คนเดียวล่ะคะ ? บ้านนี้น่าอยู่ เงียบสงบ..."

เธอนึกถึงอดีตที่เคยผูกพันกับสถานที่นี้

"... ญาเคยใช้ที่นี่จัดงานปีใหม่เล็ก ๆ ตอนนั้นที่คุณป้าไปทำงานอยู่ชลบุรีสองปี แล้วให้กุญแจพ่อไว้ พ่อสั่งให้ญามาเก็บจดหมายให้ทุกเดือน พอตอนปีใหม่ ญาเลยขอพ่อว่า จะใช้บ้านนี้จัดงานปีใหม่ พ่อก็อนุญาต"

คุณป้าเลิกคิ้ว แล้วพยักหน้า

"อือ จำได้ ! พ่อเธอก็โทรไปบอกป้า แล้วเป็นไง ? สนุกหรือเปล่าปีนั้น ? มากันกี่คนล่ะ ?"

หลานสาวหัวเราะเบา มีเสียงลอดมาจากลำคอ โดยพยายามไม่เผยอปากมากนัก

"สามคนค่ะ หึ ๆ ๆ ! ไม่ได้ตั้งใจจัดอะไรใหญ่โตเลย ความจริง คือ ตอนนั้นญากลัวคุณป้ามาก กลัวว่าถ้าทำบ้านเลอะเทอะ พ่อญาคงเล่นงานญาตายแน่ ก็เลยเรียกเฉพาะเพื่อนที่สนิทกันประมาณหกเจ็ดคน ปรากฏว่า มากันได้แค่สองคน รวมญาก็เป็นสาม แต่ก็สนุกนะคะ คือ เรากำลังจะเรียนจบพอดี ก็ได้นั่งคุยกัน หาอะไรมาทำกินกัน แล้วก็รู้สึกชอบบ้านหลังนี้"

คุณป้าถามขึ้น

"รุ่งเคยมาที่นี่ด้วยหรือเปล่า ?"

หลานสาวพยักหน้า

"ค่ะ ! รุ่งก็เป็นหนึ่งในสองคนนั้น"

คุณป้านึกแล้วก็อมยิ้ม

"แปลกดีนะ ! รุ่งมาที่บ้านนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าบ้านนี้เป็นบ้านของป้า เพราะในบ้านก็ไม่มีรูปของป้าตั้งไว้เลย โลกมันกลมจริง ๆ"

หลานสาวมองไปที่กอต้มเข็มแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เธอชี้มือ

"ที่ต้นเข็มนั่น ! อ้ายรุ่งเลวมาก ! มันมาที่นี่ก่อนญา แล้วมันปวดฉี่ ปีนรั้วเข้ามา แต่เข้าไปในบ้านไม่ได้เพราะประตูบ้านล็อคไว้ มันทนไม่ได้ เลยฉี่ตรงต้นเข็มนี่ พอญามาถึง มันค่อยสารภาพ ญาต้องเอาสายยางมาฉีดน้ำล้าง"

คุณป้าหัวเราะร่วน

"ฮ่า ๆๆๆๆ ! ว่าแล้ว ทำไมต้นเข็มชั้นมันโตเร็ว ออกดอกงาม ได้ฉี่ของรุ่งนี่เอง"

"คุณป้าเจอมันอีกเมื่อไหร่ ก็ไปเอาเรื่องมันได้เลยนะคะ"

เธอหยิบผ้าชิดหน้าขึ้นมาประคบที่มุมปาก เสียงพูดอู้อี้

"พอพูดมากแล้วเจ็บค่ะ ! ยิ่งหัวเราะ ยิ่งเจ็บ !"

"แล้วตั้งแต่ญากลับมา เจอรุ่งกี่ครั้งแล้ว ?"

ทอมสั่นหัว

"ยังเลยค่ะ !... คือ แค่เจอโดยบังเอิญครั้งเดียว"

สายเนตรประหลาดใจ คิ้วขมวดโดยทันที

"เจอโดยบังเอิญ ? เธอกลับมาสองเดือนกว่าแล้วไม่ใช่เหรอ ?"

หลานสาวทำเสียงอึกอัก

"ค่ะ.... คือ... เอ่อ...."

สายเนตรจับข้อศอกหลาน

"เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า มีเรื่องต้องคุยเยอะใช่มั้ยเนี่ย วันนี้ ?"

ทอมพยักหน้า

"ก็..... ค่ะ !"

"ปากเจ็บนี่ จะคุยไหวเรอะ ?" คุณป้าพูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ เดินนำหลานสาวเข้าไปในบ้าน

**************************************************************************************

ภายในบ้าน มีชุดโซฟา กับ ตู้โชว์กลางเก่ากลางใหม่ที่ว่างเปล่า ไร้ของตั้งโชว์

เจ้าของบ้านทรุดตัวลงนั่งบนโซฟายาว หลานสาวนั่งข้าง ๆ

บนโต๊ะรับแขกมีพ็อคเก็ตบุคเป็นปึกวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ

"พ็อคเก็ตบุคเล่มใหม่ของคุณป้าเหรอคะ ?"

ทอมชี้มือไปที่กองหนังสือ

"ไม่ใช่ !" คุณป้าเอื้อมมือหยิบพ็อคเก็ตบุคเล่มบน ยื่นให้หลานสาว

"เป็นของ สุริยน ข่มจันทร์ เคยอ่านหนังสือของเค้ามั้ย ?"

ทอมรับหนังสือจากมือคุณป้า พร้อมสั่นหัว

"อึ๊อือ ! ไม่เคยค่ะ ! เค้าดังเหรอคะ ?"

"ดังมาก ! สอง ปีที่แล้ว หนังสือเรื่อง 'สังคมที่ไม่มีคุณ' ออกปีเดียว ขายได้เกือบแสนเล่ม ของคนนี้แหละ สุริยน ข่มจันทร์"

เธอก้มลงดูที่หน้าปกหนังสือ ตัวอักษรหนา ระบุชื่อเล่ม 'สังคมจอมปลวก'

"มันเกี่ยวกับเรื่องอะไรคะ คุณป้าถึงต้องไปซื้อมาเป็นกองเลย ?"

สายเนตรหัวเราะ

"ซื้อซะที่ไหนเล่า สำนักพิมพ์เค้าแจกมา เป็นสำนักพิมพ์เดียวกันกับหนังสือของป้า

เล่มแรก สังคมที่ไม่มีคุณ ... สุริยนเค้าเขียนแนววิพากษ์สังคม พูดถึงรากเหง้าสังคมไทยแบบตรง ๆ วิจารณ์แรง แต่ก็ตรงกับใจของคนอ่านหลายคน แล้วก็ใส่ทัศนคติของตัวเค้าเองลงไป อิงธรรมะไปด้วย อ่านแล้วก็ปลุกเร้าให้คนไทยมีสำนึกต่อส่วนรวม

ชื่อ สังคมที่ไม่มีคุณ มีสองความหมาย ความหมายแรก หมายถึง ถ้าคุณเป็นคนที่ยึดวัฒนธรรมแย่ ๆ ที่ติดมาแต่บรรพบุรุษ สังคมนี้ เมื่อไม่มีคุณ มันก็จะพัฒนาได้แบบก้าวกระโดด"

ทอมคิดตาม แล้วพยักหน้า

"อือ ! ก็จริง"

"สุริยน บอกว่า วัฒนธรรมบางอย่างที่สืบกันมา ชนชาตินั้นจะยึดติดโดยไม่รู้ว่า มันขวางการพัฒนาสังคม แต่คนต่างชาติดูทีเดียวก็ดูออกว่า นี่มันแย่ แต่คนในชาตินั้น จะไม่รู้ตัว"

ทอมพยักหน้ารับฟัง

"ความหมายที่สอง สังคมที่ไม่มีคุณ หมายถึง สังคมที่มีโทษ สังคมที่ไม่มีประโยชน์"

ทอมมองไปที่กองหนังสืออีกครั้ง

"แล้วหนังสือพวกนี้ คุณป้าจะแจกใครล่ะคะ ?"

"ก็เธอนี่แหละ คนแรก เอาไปเลย อ่านดูแล้วอาจจะชอบนะ อยากเอากี่เล่มก็เอาไป เอาไปฝากรุ่งด้วย"

หลานสาวสั่นหัว

"คงไม่ได้เจอรุ่งหรอกค่ะ !"

สายเนตรมองหน้าหลานสาว แล้วนิ่งไปสักอึดใจ หลานสาวก้มหน้าลงมองพ็อคเก็ตบุคในมือ ไม่พูดอะไรต่อ

"แล้วเรื่องที่จะมาคุยกับป้า เรื่องอะไร ? มีเรื่องกับพ่อมาอีกแล้วเหรอ ?"

หลานสาวสั่นหัว แล้วยิ้ม

"ไม่ค่ะ ! พ่อเปลี่ยนไป... ในทางที่ดีนะคะ ตั้งแต่กลับมา รู้สึกได้เลยว่าพ่อเห็นญาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ตั้งคำถามน้อยมาก แค่ถามว่าญาชอบอะไร อยากทำอะไร พ่อแค่รับฟัง แล้วก็โอเค

วันแรกที่พาพี่จิตรเข้าบ้าน ก็ลุ้น ๆ ว่าจะผ่านพ่อหรือเปล่า แต่กลับผ่านสบายมาก พ่อนั่งคุยกับพี่จิตรตั้งนาน พอพี่จิตรกลับไปแล้ว พ่อยังชมเลยว่า พี่จิตรบุคลิกดี สุขุม มีความเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามีโอกาส ญาจะพาพี่จิตรมารู้จักกับคุณป้า"

คุณป้ารีบยกมือห้าม

"ไม่ต้อง ! ไม่ต้อง ! พ่อแม่ของเราน่ะสำคัญที่สุด ญาทำถูกแล้ว พาพี่เค้าไปรู้จักกับพ่อแม่ ส่วนป้าเป็นคนนอก ไว้โอกาสเหมาะ คงได้เจอกัน ไม่ต้องตั้งใจพามาแนะนำ

ป้าก็ว่าพ่อเราดีขึ้นนะ ระหว่างญาไม่อยู่ ป้าก็ไปหาพ่อเราบ้าง เค้าก็โอเคนะ อยู่ได้ไม่เหงา แล้วก็ไม่ได้วิตกกังวลเรื่องลูกสาวไปทำงานเมืองนอกมากเท่าไหร่ ก็ผิดคาดในทางที่ดีนะ"

หลานสาวพยักหน้ายืนยัน

"ค่ะ ใช่ ! พ่อดูสบาย ๆ มากกว่าแต่ก่อน"

"เอ้า ! ถ้าไม่ใช่เรื่องพ่อแล้วเรื่องอะไรล่ะ ?"

ทอมใช้นิ้วเขี่ยปกหนังสือไปมา ตั้งสติรวบรวมคำพูด

"ช่วงที่ญาไม่อยู่ เวลาคุณป้าไปที่บ้าน เหตุการณ์เป็นปกติใช่มั้ยคะ ?"

คุณป้าเอียงคอเล็กน้อย

"เหตุการณ์อะไร ? ป้าไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ พ่อเธอก็ดูใจเย็นลง"

"แล้วแม่ล่ะคะ ? แม่โอเคมั้ยคะ ?"

คุณป้าพยักหน้า

"ก็ไม่มีอะไรนี่"

ทอมพยักหน้าให้กับตัวเอง เธอถอนหายใจเบา ๆ แล้วฝืนยิ้มที่มุมปาก

"ถ้างั้น ก็คงไม่มีอะไรค่ะ"

สายเนตรหยิบหนังสือจากมือหลานสาว แล้ววางไว้บนโต๊ะ เธอสังเกตใบหน้าของหลานสาว ซึ่งดูอิดโรย ขอบตามีรอยคล้ำเขียวบาง ๆ

"หน้าตาแบบนี้ ไม่ใช่ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ว่า อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่าหรือเปล่า สีหน้าเธอไม่สดชื่นเลย เหมือนกับอดนอน หรือ เหนื่อยใจอะไร เธอมาหาป้าทำไม ? เธอมาถามแค่นี้ โทรมาก็ได้"

ฐิติชญามองหน้าคุณป้า เธอไม่เคยต้องการใครเป็นที่ปรึกษามาก่อน เพราะ เธอไม่เคยมีปัญหาอึดอัดใจที่แก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้

แต่ครั้งนี้ ความอึดอัดที่อัดอั้นอยู่ในใจ สะสมเป็นความเครียดที่ต้องระบายยามหลับ

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ค้างคาใจ น้ำตาก็เริ่มซึมออกมารอบดวงตา

"ญาคิดว่า ญากำลังมีปัญหากับแม่"

"หือ !" คำอุทานหลุดออกมาจากปากคุณป้าทันที "ปัญหาอะไร ? เล่ามาซิ !"

เธอสั่นหัว "ญาก็ไม่รู้ว่าปัญหาอะไร ญาแค่มั่นใจว่ามีปัญหา"

เรื่องที่กำลังรวบรวมสติเพื่อจะเล่า ทำให้น้ำตาเอ่อล้นขอบตาจนได้

หลานสาวเขยิบตัวควักผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาซับน้ำตา

คุณป้าขมวดคิ้ว รอคำบอกเล่าประโยคต่อไปจากหลานสาว ในสมองรู้สึกว่างเปล่า ค้นหาวี่แววใด ๆ ไม่เจอ

"ค่อย ๆ เล่ามา เกิดอะไรขึ้นระหว่างญากับแม่ ?"

ทอมบีบมือกระชับผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น เธอเงยหน้ามองที่สูง กระพริบตาถี่ ๆ เพื่อเกลี่ยไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก

"ญาไม่รู้จะเล่าว่าเกิดอะไร แต่ญารู้สึกได้ว่า แม่เปลี่ยนไปมาก แม่....."

น้ำตาหยดถัดมาไหลลงมาถึงริมฝีปาก เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับ

"ไม่เป็นไร ! เดี๋ยวป้าไปเอาน้ำมาให้กินก่อน กินน้ำแล้วค่อย ๆ เล่านะ นั่งรอตรงนี้ก่อน"

คุณป้าลุกจากโซฟาเดินไปที่ห้องครัว

ทอมนั่งเหม่อมองออกไปที่ต้นไม้ริมรั้ว นับเวลาเป็นเดือนแล้วที่ความอัดอั้นนี้ ไม่เคยปริออกจากปากให้ใครรู้

เธอคิดว่าคุณป้าสายเนตร เป็นคนเดียวที่เหมาะสมที่เธอจะปรึกษา

เจ้าของบ้านเดินกลับมาพร้อมแก้วใส่น้ำเปล่า

"เอ้า ! กินน้ำซะก่อน"

ทอมรับแก้วน้ำจากคุณป้า ยกขึ้นจิบ แล้ววางแก้วลงที่โต๊ะ

คุณป้ามองหน้าหลานสาว

"ค่อย ๆ เล่ามาว่า เกิดอะไรขึ้นกับลักษณ์"

ทอมเก็บน้ำตาไว้ได้หมดจดแล้ว เธอเริ่มเล่า

"แม่ทำตัวห่างกับญามาก จนญามั่นใจแล้วว่ามีอะไรระหว่างแม่กับญาแน่นอน แต่แม่ไม่พูด คงต้องการให้ญารู้เอง"

"เล่าเหตุการณ์ดีกว่า ลักษณ์เค้าทำอะไร เราถึงพูดว่าทำตัวห่างจากเรา ?"

ทอมเรียงลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วเริ่มเล่า

"ตั้งแต่กลับมา ญาก็ยุ่งกับเรื่องงานที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ได้มีเวลาว่างอยู่บ้านเหมือนสมัยก่อนที่ญาจะไปเยอรมัน

อาทิตย์แรกผ่านไป ก็มีวันที่ญาว่างจากงาน ก็อยากใช้เวลาอยู่กับแม่เหมือนสมัยก่อน ที่ญาเคยไปซื้อของกับแม่ ออกไปกินข้าวข้างนอก ญาก็ชวนแม่ไปข้างนอก แต่แม่ไม่ไป บอกว่าไม่อยากออกไปข้างนอก อยากอยู่บ้าน แต่แม่ไม่ได้ป่วย เวลาแม่คุยกับพ่อก็ปกติ

ตั้งแต่วันนั้น ญาก็เริ่มจับสังเกตว่า แม่เป็นอะไร

หลังจากนั้น ญาก็ไปเช่าคอนโด เพราะญามีเรื่องที่เป็นความลับเกี่ยวกับงานที่ไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ คือ ญามีความจำเป็นต้องนำเครื่องมือบางอย่างที่เป็นอาวุธอยู่ติดตัว ถ้าเอาเข้าบ้านไปคงต้องตอบคำถามกันมากมาย

ตอนที่ญาจะขอไปเช่าคอนโดอยู่ ญาคุยกับแม่ก่อน แม่ก็ไม่ว่าอะไร แม่บอกว่าจะช่วยคุยกับพ่อให้ สุดท้ายก็พ่อก็ยอม"

"ลักษณ์ก็ช่วยคุยกับพ่อเธอให้ด้วย ?"

หลานสาวพยักหน้า

"ค่ะ ! แม่คุยให้ เหมือนปกติที่เวลาญาจะขออะไร ญาจะคุยกับแม่ก่อน"

คุณป้าเลิกคิ้ว

"อือ... ก็ดูปกติดีนี่"

"ถ้าเป็นปกติจริง ๆ ก็ดี แต่มันมีอีกหลายเหตุการณ์

ตอนญาไปอยู่ที่คอนโด เวลาว่าง ญาก็จะโทรหาแม่ น้ำเสียงแม่จะเฉย ๆ เรียบ ๆ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เวลาโทรคุยกัน แม่จะถามมากกว่านี้ แต่แม่กลับเงียบซะมากกว่า ถ้าญาไม่ถาม แม่ก็ไม่พูด แล้วแม่ก็ไม่ค่อยถามอะไร"

"เธอรู้สึกได้ว่า มีอะไรเปลี่ยนไป ?"

"ค่ะ ! คุณป้าคงพอเข้าใจ แม่ลูกที่เคยอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ญามั่นใจว่ามีอะไรเปลี่ยนไป

หลังจากนั้น ญาก็มาทบทวนตั้งแต่กลับมาวันแรก คุณแม่ไม่เคยกอดญาเลย...." พูดจบประโยค น้ำตาก็เริ่มซึมออกมาอีกครั้ง

หลานสาวกลืนน้ำลาย แล้วเล่าต่อ

"ญามานั่งนึกตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่ไปรับญาที่สนามบิน พอเจอหน้ากัน พ่อก็เดินอ้าแขนเข้ามากอดญา แล้วญาก็เดินเข้าไปกอดแม่ แต่แม่ไม่ได้กอดญา แม่ไม่ได้ยกแขนขึ้นกอดญา

เมื่อก่อน ตอนกลางคืน แม่จะเข้าไปคุยในห้องนอนญาบ่อย ๆ แต่ตั้งแต่ญากลับมา แม่ไม่เคยเข้าไปคุยในห้องญาอีกเลย

แต่ก่อน เวลาญาจะออกไปข้างนอก บางครั้ง แม่ก็เรียกญาเข้าไปกอดก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีอีกเลย"

"แต่แม่เธอก็คุยกับเธอปกติ ?"

"ไม่ปกติค่ะ ! แม่จะคุยแต่เรื่องที่จำเป็น น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป แม่จะถามแค่ว่า วันนี้จะกินข้าวบ้านหรือเปล่า ? แม่ไม่คุยเรื่องสัพเพเหระอีกเลย

วันที่ญาอยู่บ้าน แล้วอยู่ในห้องนั่งเล่นข้างล่าง แม่ก็จะใช้เวลาอยู่ที่อื่น ในห้องนอน ในครัวบ้าง โรงรถบ้าง แม่ไม่มาชวนญาคุย"

คุณป้าเริ่มพยักหน้า

"ลักษณ์ตั้งใจหลบหน้าเธอ ?"

"ญารู้สึกอย่างนั้น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ แม่ถึงจะคุย"

สายเนตรถอนหายใจ

"ยังงี้ก็แย่สิ ! ถ้าไม่พอใจ โกรธอะไร ก็น่าจะพูดออกมา ทำแบบนี้ก็ประสาทกันพอดี"

"ญาอยากให้เป็นแบบนั้น เวลาแม่ไม่พอใจอะไร แม่ก็จะเรียกญาไปเตือนทุกครั้ง ตั้งแต่เด็ก เวลาแม่อบรมญา ญาจะฟังทุกครั้ง แม่ไม่เคยงอนมาก่อน แม่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบงอน แม่จะพูดตรง ๆ"

คุณป้าพยักหน้าเห็นด้วย

"ใช่ ! แม่เธอไม่ใช่ผู้หญิงขี้งอน เค้ามีเหตุผล แปลกมาก ! แล้วตั้งแต่ญาพาพี่จิตรเข้าบ้าน แม่ว่ายังไง ?"

"วันนั้น แม่ก็คุยปกติ ญาคิดว่าไม่เกี่ยวกับพี่จิตร เพราะตั้งแต่วันแรกที่ญากลับมา แม่ก็เป็นแบบนี้แล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นหลังจากเจอพี่จิตร"

สายเนตรทบทวนสิ่งที่ได้ฟังมาจากหลานสาว เธอยังนึกถึงสาเหตุไม่ออก

"ถ้าเป็นแบบนั้นจริง นี่มันก็เรียกว่าอาการงอนแบบหนึ่งเหมือนกันนะ"

"ถ้างอนแบบผู้หญิงทั่วไป ญายังจะรับได้มากกว่านี้ ผู้หญิงทั่วไปงอน หน้าจะบึ้ง ไม่พูดด้วยเลย ต้องให้เข้าไปง้อ แต่แม่ได้เป็นแบบนั้น แม่ยังพูดกับญาบ้าง ถ้าญาถาม แม่ก็ตอบ แม่ไม่ได้ดุ ไม่ได้หงุดหงิด แต่แม่เย็นชา เวลาญาเล่าเรื่องงานที่ญาทำอยู่ที่เยอรมัน แม่จะนั่งฟังเฉย ๆ ไม่โต้ตอบอะไรเลย ไม่ถามอะไรเพิ่ม แม่เย็นชา...."

น้ำตาเริ่มเอ่อล้นขอบตามาอีกครั้ง หลานสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตา

"ญานึกถึงเหตุผลไม่ออกว่า ญาทำอะไรที่แม่ไม่ชอบ ทำไมแม่ถึงเป็นแบบนี้ ? แม่พูดกับพ่อปกติ แม่พูดกับทุกคนเป็นปกติหมด แต่แม่ทำตัวห่างจากญา ญาคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าทำไม"

สายเนตรเอื้อมมือไปจับหัวไหล่หลานสาว

"ญา ! ป้าเข้าใจความรู้สึกญา !"

ความกดดันเป็นเวลานับเดือน จวนจะพรั่งพรูออกมาเป็นเสียงสะอื้น แต่สาวแกร่งหยุดกลั้นอารมณ์ ข่มสติไว้ได้ เงยหน้าขึ้นมองด้านบน แล้วกระพริบตาถี่ ๆ ไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก

"อย่าเพิ่งคิดมากนะ ญา มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดก็ได้ เราได้เคยคุยกับพ่อบ้างหรือยัง ?"

ทอมสั่นหัว

"ญาไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะ แม่ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติไปเลยในสายตาของพ่อ อธิบายลำบากแน่ ๆ

ตอนนี้ญาไม่รู้จะทำยังไง ญาเริ่มทำงานไม่รู้เรื่อง แล้วญาก็นอนฝันร้าย ฝันว่าแม่เกลียดญา เวลาว่างเมื่อไหร่ ญาก็ต้องคิดเรื่องนี้ มันทำให้สติเริ่มเบลอ ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับ เพราะสมองมันคิดอยู่ตลอดเวลา "

สายตาหลานสาวเริ่มเชื่องช้า มองเหม่อออกไปทางอื่น

สายเนตรสั่นหัว

"ยังงี้ก็แย่สิ ! เดี๋ยวคงได้ป่วยกันพอดี"

คุณป้าละมือจากบ่าหลานสาว มากุมมือแทน

"เอางี้ก่อน ! ญายังไม่ต้องคุยกับพ่อ ป้าจะลองคุยกับแม่เธอ เพราะว่าเราคุยกันเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว จะไม่ทำอะไรให้ผิดสังเกต ญามาหาป้าวันนี้ ไม่ได้บอกที่บ้านใช่มั้ย ?"

"ค่ะ ! ไม่ได้บอก"

สายเนตรผงกหัว

"ป้าจะช่วยนะ แต่ญาเองตอนนี้ ยังไงก็ต้องรักษาสุขภาพไว้ก่อน ถ้าเกิดป่วยขึ้นมา การงานจะเสียหาย งานที่เราทำน่ะ สำคัญไม่ใช่เหรอ ?"

ทอมพยักหน้า

"ค่ะ !"

"นั่นแหละ ! นอนไม่หลับนี่แย่กว่ากินไม่ลงอีกนะ ถ้านอนไม่ได้ สติเราจะเหลือน้อยลง ถ้านอนไม่หลับ ญาต้องฝึกอานาปานุสติ กำหนดลมหายใจ รู้จักหรือเปล่า ?"

ทอมพยักหน้าอีกครั้ง สายตาที่เชื่องช้าเริ่มเหม่อลอย

คุณป้ามองไปที่มุมปากของหลานสาว รอยแผลของเริมกินพื้นที่ไม่กว้างนัก แต่ก็คงสร้างความลำบากให้กับเธอในเวลาพูด แต่ส่วนประกอบอื่น ๆ ของใบหน้าหลานสาว ทำให้เธอรู้สึกสงสารจับใจ ขอบตาคล้ำที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ นัยน์ตาแดงก่ำ ปลายจมูกเป็นสีแดง สีหน้าซีดเซียว

.... แต่ หลานสาวคนนี้ก็ยังสะกดน้ำตาไว้ได้ ไม่ให้ร้องฮือเหมือนเด็ก ๆ

"เจอทุกข์บ้าง ต้องรู้จักปลงให้เป็นนะ ทอม !"

เธอเรียกชื่อหลานสาวตามที่เพื่อนต่างวัยของเธอตั้งให้

ทอมพยักหน้าอีกครั้ง

"ไม่ต้องรีบกลับนะ นั่งพักที่นี่ก่อน ป้าจะขึ้นไปทำธุระข้างบนหน่อย เดี๋ยวลงมา"

เจ้าของบ้านเดินขึ้นบันไดมาชั้นสอง ตรงเข้าห้องนอนใหญ่

ภายในห้องนอนใหญ่มีห้องน้ำส่วนตัว สายเนตรยืนอยู่ที่หน้าอ่างล้างหน้า พร้อมกล่องกระดาษทิชชู่ ภาพใบหน้าของหลานสาวข้างล่างนั่น ทำให้เธอต้องแอบมายืนหลั่งน้ำตาในห้องน้ำ

'ลักษณ์ ! เธอจะรู้มั้ยว่ากำลังทำอะไรกับลูกสาวตัวเอง ?'

*****************************************************************************************

คงเป็นเพราะความเพลียจัด ทำให้หลานสาวนั่งสัปหงกคาเก้าอี้

เสียงฝีเท้าลงบันได ทำให้ทอมลืมตาขึ้นมา

"นอนต่อไปเถอะ ญา ! นอนให้หายเพลียแล้วค่อยขับรถกลับ"

หลานสาวพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

"ญาอยากจะไปหาหมอ เอายารักษาเริมค่ะ"

สายเนตรพยักหน้า

"อือ ดี ! รีบรักษาตัวซะ ครั้งหน้าป้าต้องเจอญาในสภาพที่ดีกว่านี้นะ"

ทอมลุกขึ้นยืน แล้วพยักหน้า

"งั้น ญาไปก่อนนะคะ ขอบคุณคุณป้าที่รับฟังญา"

คุณป้าอ้าแขน

"มานี่ ! มาเอากอดจากนี่บ้าง มา !"

หลานสาวมีรอยยิ้มผุดขึ้นที่ริมฝีปาก แล้วเดินอ้าแขนเข้าไปกอดคุณป้า

สายเนตรลูบหัวหลานสาว กระซิบที่ข้างหู

"เราไม่เคยกอดกันเลยนะ ! ระหว่างนี้ อยากจะกอดใคร ก็มากอดป้าแทนไปก่อนนะ ป้าเชื่อว่า ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม แม่เราเป็นคนที่รักลูกมาก ไม่มีทางเกลียดลูกตัวเองลงหรอก"

ทอมผงกหัวหงึก ๆ น้ำตาเริ่มคลอขอบตาอีกครั้ง

*****************************************************************************************

ฮอนด้าซิตี้สีแดง จอดเทียบที่หน้าร้านคลีนิคเวลาบ่ายสามโมง

เธอเลือกที่จะมาหาหมอที่คลีนิคหน้าหมู่บ้าน ดีกว่าเข้าคิวรอพบหมอที่โรงพยาบาล

เริมคือเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เธอเคยรู้เรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ และ โรคภัยดี เพียงแค่พักผ่อนให้เพียงพอ มันก็จะหายไปเอง ระหว่างนี้ ก็รับยาฆ่าเชื้อไปทาน กับ ยาทาแผลเพื่อบรรเทาอาการ ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

หมอที่ไหนก็วิเคราะห์ และ จัดยาให้คล้ายกัน ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปเสียเวลารอในโรงพยาบาล เรื่องค่าใช้จ่ายที่แพงกว่า ไม่ใช่ปัญหา

ชื่อฐิติชญา ถูกเจ้าหน้าที่คลีนิค เรียกให้เข้าห้องพบแพทย์

แพทย์หญิงอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ส่งยิ้มให้คนไข้ แล้วผายมือให้นั่งลงที่เก้าอี้ อีกมือถือใบประวัติคนไข้

"ฐิติชญา กัญจนพรหม มาครั้งแรกนะคะ นั่งก่อนเลย !"

แพทย์หญิงเริ่มสอบถามประวัติคร่าว ๆ แล้วบันทึกลงในใบประวัติ

ผลการวิเคราะห์ก็เหมือนที่คนไข้คิดไว้ คือ ไวรัสที่ฝังอยู่ในร่างกาย เป็นต้นเหตุของอาการเริมที่ริมฝีปาก เมื่ออ่อนเพลีย อาการก็จะกำเริบออกมา

คุณหมออธิบายวิธีดูแลรักษาตัวจนเป็นที่เข้าใจ จึงเริ่มเขียนใบจ่ายยา

"หมอจะให้ยาฆ่าไวรัสเริม อะไซโคลเวียร์ นะคะ ทานทุกสี่ชั่วโมง อ่านวิธีทานได้ที่หน้าซองนะคะ วิตามินซี วันละสี่ครั้งนะคะ ครั้งละพันมิลิกรัม แล้วก็ยาทา พักผ่อนให้มาก ๆ นะคะ"

"หนูนอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว วันนี้หนูขอยานอนหลับด้วยได้มั้ยคะ ?

หมอพยักหน้า

"ได้ ! งั้นหมอจ่ายเบนโซไดอะซิปีนให้ ทานก่อนนอนแล้วกันนะ" คุณหมอจรดปากกาเพื่อสั่งจ่ายยา

เป็นเวลาสี่วันแล้ว ที่เธอนอนได้ครั้งละไม่เกินสามชั่วโมง แล้วสะดุ้งตื่น พลังของร่างกายถูกใช้ให้หมดไปกับความคิดที่วนเวียนอยู่ในเขาวงกต

จะมีเวลาสักชั่วโมงหนึ่งชั่วโมงใดไหม ที่ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแม่ ?

"หนูขอเป็นยาฉีดเลยได้มั้ยคะ ? ยานอนหลับเคยทานแล้ว มันไม่ค่อยหลับค่ะ วันนี้หนูว่าง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว อยากจะหลับยาวไปจนเช้าเลย"

คุณหมอมองหน้าคนไข้ คนไข้พยักหน้ายืนยัน

"แล้วหนูมากับใคร ? ขับรถมาเองหรือเปล่าคะ ?"

"ค่ะ ขับเอง ! แต่บ้านหนูอยู่ในหมู่บ้านนี่เอง ห้านาทีก็ถึงบ้านแล้วค่ะ"

แพทย์หญิงพยักหน้ารับรู้

*****************************************************************************************

ทอมเดินออกมาจากคลีนิคพร้อมถุงยา

ฤทธิ์ของยานอนหลับชนิดฉีดคงทำให้เธอนอนหลับยาวไปจนถึงพรุ่งนี้เช้า

เธอมองไปยังร้านเซเว่นอีเลฟเว่นข้าง ๆ ความคิดที่รอบคอบกว่านั้น คือ การเตรียมอาหารเช้าไว้พร้อมในห้องนอน เผื่อว่าตื่นขึ้นมาแล้วหิว ก็จัดการอาหารได้ในห้อง แล้วนอนต่อได้โดยไม่ต้องลงมาข้างล่าง

เธอเก็บถุงยาไว้ในรถ แล้วเดินเข้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น เลือกซื้ออาหารจำพวกขนมปัง ที่ทานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเตาไมโครเวฟ

สมัยเรียนวิชาภาษาอังกฤษในชั้นมัธยม มีประโยคประทับใจเธออยู่ประโยคหนึ่ง....

'A house is made of brick and stone, but HOME is made of love alone'
(ที่อยู่อาศัย ใช้ก้อนอิฐ และ ก้อนหินสร้างได้ แต่คำว่า 'บ้าน' ต้องสร้างมาจากความรักเท่านั้น)

เมื่อไม่มีความอบอุ่นจากแม่ บ้านก็ไม่ใช่บ้านอีกต่อไป !

คอนโดก็เป็นเพียงที่อยู่อาศัยเท่านั้น มีที่อื่นใดอีก ที่รู้สึกถึงความอบอุ่นได้ใกล้เคียงบ้าน ?

ฤทธิ์ของยานอนหลับเริ่มอาละวาดเล็กน้อย ขณะที่เธอยืนรอเพื่อจ่ายเงิน หนังตาจะปิดเสียให้ได้

อาการง่วงจู่โจมอย่างนี้ ไม่น่าเสี่ยงขับรถเอง ถึงจะระยะใกล้แค่ห้านาที หากไปชนกับใครเข้า มีเรื่องมีราวจนต้องถูกค้นรถ คงไม่ดีแน่ เพราะยุทโธปกรณ์ที่อยู่ท้ายรถ คงไม่สามารถอธิบายให้ตำรวจทั่วไปเข้าใจได้

การเรียกแท็กซี่เข้าไปส่งที่บ้านคงจะดีที่สุด ส่วนรถก็จอดอยู่หน้าคลีนิค ใกล้ป้อมยาม ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด

*****************************************************************************************

อ่านหน้า > 2
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่