ตอน 17 หน้า2

ทางที่ฉันเลือกเอง

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

เขาค่อย ๆ พับจดหมาย หลังจากอ่านครั้งสุดท้าย ใส่ซอง

สมชายไม่เคยเขียนจดหมายส่งถึงใครด้วยลายมือตนเองมาก่อน เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าวันหนึ่ง จะมีความจำเป็นต้องสื่อสารกับคนอื่นด้วยการเขียนจดหมายในยุคที่เทคโนโลยี ก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้

ความยากลำบากในการสื่อสารระหว่าง เขา และ เธอ ทำให้เขาตระหนักชัดว่า เวลานั้นมีค่ายิ่ง
กว่าจดหมายจะเดินทางไปถึงปลายทาง คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมง ในขณะที่เขาสามารถติดต่อสื่อสารกับคนอื่นได้ ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีด้วยการใช้โทรศัพท์

สิ่งที่ตามมา ก็คือ การกลั่นกรองของความคิด กว่าที่จะผ่านออกมาเป็นลายมือนั้น ย่อมมีคุณภาพมากกว่า การพูดคุยโทรศัพท์ ที่เพียงแค่นึกจะพูด ก็พูดได้ภายในวินาทีนั้น ซึ่งสามารถใช้คำพูดที่มากมายตามแต่ใจนึก แต่คงขาดความลึกซึ้ง ไม่ได้ผ่านกระบวนการที่มากมายเท่ากับการเขียนจดหมาย

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เป็นสายที่เขากำลังรออยู่
"ฮัลโหล ! สมชายครับ !"

"สวัสดีครับ คุณสมชาย รถผมจอดรออยู่หน้าตึก เป็นกระบะวีโก้ สีบรอนซ์"

"ได้ครับ ! เดี๋ยวผมลงไป"

เขาหยิบจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง คว้าแว่นกรอบทองขึ้นสวม เดินไปที่ประตูของห้อง ก้มลงสวมรองเท้าผ้าใบ

มือซ้ายกลายเป็นมือข้างที่เขาใช้งานเป็นประจำไปแล้ว มือขวามีหน้าที่แค่ประคองสิ่งของต่าง ๆ เท่านั้น

******************************************************************************************

ข้างรถกะบะวีโก้ ชายวัยประมาณห้าสิบปี หัวเถิก รูปร่างผอมสูง ใส่เสื้อคลุมสีดำ กางเกงแสล็ค กำลังยืนรออยู่

สมชายเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย จากบุคลิกที่ดูอาวุโสกว่า และ การแต่งกายที่มองได้แน่ชัดว่าไม่ใช่แค่คนขับรถ ทำให้เขาต้องยกมือไหว้ก่อน

"สวัสดีครับ ผมสมชายครับ"

อีกฝ่ายยกมือขึ้นรับไหว้

"สวัสดีครับ ! เชิญครับ ! ผมอนุชิตครับ ขึ้นนั่งบนรถก่อน แล้วค่อยคุยกันก็ได้ครับ"

ชายหน้าผากกว้างผายมือไปที่ประตูด้านหลังของรถกระบะ

สมชายชี้ไปที่ประตู

"ให้ผมนั่งข้างหลังเหรอครับ ?"

เขาพยักหน้า

"ครับ ! นั่งข้างหลังเถอะครับ เบาะหน้าผมวางของไว้"

ผู้โดยสารหนุ่ม เปิดประตูหลังขึ้นนั่ง อนุชิตเริ่มออกรถ

เบาะนั่งด้านหลังอีกฝั่ง มีผ้าที่ถูกพับไว้อย่างดีชิ้นหนึ่งวางอยู่

"คุณเปี๊ยกรออยู่ที่ปักธงชัย ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็คงไปถึงครับ เมื่อคืนพายุเข้าที่โน่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าตลอด ไม่รู้คุณเปี๊ยกจะนอนหลับได้หรือเปล่า"

สมชายขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า 'คุณ' นำหน้าชื่อของเด็กเปี๊ยก

"คุณเปี๊ยก ! หมายถึง เปี๊ยกลูกคุณชูศักดิ์เหรอครับ ?"

โชเฟอร์มองที่กระจกส่องหลัง

"ครับ ! คุณเปี๊ยกกับครอบครัว พักอยู่ที่บ้านปักธงชัย คุณสมชายไปคุยกันที่นั่นสะดวกกว่าครับ"

"ต้องเสียเวลาเสียค่าน้ำมันมารับผม ความจริงผมขับรถไปก็ได้ ผมยืมรถที่ทำงานขับไปได้"

"คงไม่ได้หรอกครับ ! คุณสมชายเข้าไปที่นั่นเองไม่ได้ ต้องมีคนพาเข้าไปเท่านั้น"

สมชายขมวดคิ้วอีกครั้ง

"ทำไมล่ะครับ ?"

"มันเป็นเซฟเฮ้าส์ครับ !"

"เซฟเฮ้าส์ ? หมายถึงอะไรครับ ?"

"เป็นสถานที่เก็บตัวที่เป็นความลับ เรื่องนี้ผมคงขออนุญาตไม่อธิบายนะครับ เดี๋ยวก่อนถึงที่นั่นซักสามสิบนาที คงต้องขอเก็บโทรศัพท์มือถือ แล้วก็ขออนุญาตปิดตาคุณสมชายด้วยผ้าที่ผมเตรียมไว้บนเบาะนั่นน่ะครับ"

คำอธิบายของอนุชิตสร้างความประหลาดใจให้กับเขาอย่างมาก

กระจกส่องหลังสะท้อนให้เห็นสีหน้าของสมชายที่ดูเจื่อนไปอย่างชัดเจน

"อย่าเพิ่งกังวลไปนะครับ ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวหรอกครับ เพียงแต่ที่นี่เป็นที่เก็บตัวสำหรับคนสำคัญของพวกเรา เราไม่สามารถให้คนนอกรับรู้เส้นทางได้ คุณเปี๊ยกกับครอบครัวเอง ก็ยังต้องปิดตาตอนเข้าไปเหมือนกัน แค่สามสิบนาทีเองครับ หวังว่าคุณสมชายคงไม่เมารถนะครับ ถ้ามองไม่เห็นถนนครึ่งชั่วโมง"

ไหน ๆ เขาก็ขึ้นมาอยู่บนรถคันนี้แล้ว หน้าตา และ การพูดจาของโชเฟอร์ที่ชื่ออนุชิตคนนี้ ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนกับโจรร้ายใด ๆ
สมชายพยักหน้าช้า ๆ

"ครับ ! ผมไม่เคยเมารถ คุณชูศักดิ์มาทำอะไรที่ปักธงชัยเหรอครับ ?"

"คุณชูศักดิ์พาคุณเปี๊ยกมาคุยเรื่องสำคัญน่ะครับ"

สมชายพยักหน้าอีกครั้ง

"เกี่ยวกับเปี๊ยกด้วยเหรอครับ ?"

"ครับ ! เกี่ยวกับคุณเปี๊ยก แล้วก็เกี่ยวกับคุณสมชายด้วย ผมจึงต้องมารับคุณสมชายเข้าไปที่เซฟเฮ้าส์ด้วยกัน ปกติคนนอกจะไม่มีสิทธิ์เข้าไปข้างในได้ แต่คุณเปี๊ยกยืนยันว่า คุณสมชายเป็นคนที่เกี่ยวข้องด้วย จะใช่หรือไม่ใช่ก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ก็มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้พวกเราเชื่อมั่นในคุณเปี๊ยก"

สมชายเลิกคิ้ว ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ เท่าที่เขานึกได้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่พอจะเป็นมูลได้

"เกี่ยวกับเปี๊ยกระลึกชาติได้ ใช่มั้ยครับ ?"

อนุชิตมองที่กระจกหลังทันที

"คุณสมชายรู้เรื่องที่คุณเปี๊ยกระลึกชาติได้ ? แล้วทราบมั้ยครับว่า คุณเปี๊ยกเป็นใครมาก่อน ?"

เขาสั่นหัว

"ไม่รู้หรอกครับ ! เราไม่เคยได้คุยกันถึงเรื่องระลึกชาติ เพียงแค่เค้าเข้าใจไปเองว่าเคยรู้จักกับผม สรุปว่า เปี๊ยกระลึกชาติได้จริง ๆ เหรอครับ ?"

"ถ้าให้ผมตอบ ผมเชื่อว่าใช่ แต่เรื่องนี้มันต้องอยู่ที่คนอื่นด้วย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว คุณเปี๊ยกจึงต้องมาที่เซฟเฮ้าส์นี้"

"คนอื่นคือใครเหรอครับ ? ชาติที่แล้วเปี๊ยกไปเกี่ยวข้องอะไรกับใครเหรอครับ ?"

อนุชิตอมยิ้ม

"ผมขอไม่เล่าดีกว่า เพราะเล่าไปก็เท่ากับว่าผมคาดเดาไปเอง จริงหรือไม่จริงก็ยังไม่รู้ ไว้รอให้มีการสรุปผลออกมาก่อน คุณสมชายไปถึงที่นั่น คงได้รู้อะไรเพิ่มมากขึ้น"

เขาเปิดเครื่องเสียงให้เล่นเพลง

"ฟังเพลงไปเพลิน ๆ ก่อนนะครับ  พอถึงปั๊มน้ำมันแล้วก็คงจะให้คุณสมชายใส่ผ้าปิดตาตั้งแต่ตรงนั้น"

กระบะวีโก้แล่นด้วยความเร็วประมาณ 120 กม/ชม ออกนอกตัวเมืองโคราช

ไม่กี่นาทีถัดมา อนุชิตบังคับรถให้เลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันปตท.  เขาวนรถไปบริเวณหน้าห้องน้ำ แล้วหยุดรถสนิท

โชเฟอร์หัวเถิกหันหลังกลับมา

"รบกวนคุณสมชาย ใช้ผ้าปิดตานั่น ปิดตาด้วยครับ...  อ้อ ! ผมขออนุญาตอีกอย่าง รบกวนปิดโทรศัพท์มือถือ แล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่เบาะด้านหน้านี่ด้วยครับ"

ผู้โดยสารพยักหน้าเข้าใจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นปิดเครื่อง แล้วยื่นส่งให้อนุชิต

เขาถอดแว่นกรอบทองออกวางไว้บันตัก หยิบผ้าปิดตาสีเขียวเข้มที่วางไว้บนเบาะข้าง ๆ ขึ้นคลี่ออก ด้านมุมของผ้ามีสายเชือกทำไว้สำหรับผูกโดยเฉพาะ

สมชายทาบผ้าเข้าปิดเปลือกตา จับเชือกทั้งสองด้านคาดไปที่ด้านหลังศรีษะ แล้วผูกปม

"ต้องผูกแน่นขนาดไหนครับ ?" เขาถามขึ้น

"ไม่ต้องแน่นมากครับ เอาปมง่าย ๆ เหมือนผูกเชือกรองเท้าก็พอครับ จะได้ดึงออกง่าย ๆ"

สมชายพยักหน้า  ผ้าผูกตามีความหนาทึบแสง ขอบของผ้ายาวคลุมสันจมูก เขาลองลืมตาดู เห็นเพียงแค่แสงสว่างเล็กน้อยลอดเข้ามาจากขอบผ้าปลายจมูกเท่านั้น

"ใช้ได้แล้วครับ !" เสียงอนุชิตพูดขึ้น  "ถ้าเป็นคนอื่น ผมจะเป็นคนผูกให้ แต่สำหรับคุณสมชาย ผมไว้ใจครับ"

สมชายพยักหน้ารับรู้

"ผมออกรถเลยนะครับ ถ้ามึนหัว หรือ เมารถ ให้บอกนะครับ  ทางบางช่วงอาจจะขรุขระหน่อย"
"ครับ !"

ท่ามกลางความมืดมิดที่ถูกผ้าปิดทับ เขาได้กลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ จากผ้าปิดตาที่โชยมากระทบจมูก  อาจจะเป็นน้ำหอมของน้ำยาซักผ้า หรือ กลิ่นที่ติดมาจากตู้เก็บผ้านี้ก็เป็นไปได้

รถเริ่มออกตัว ความรู้สึกที่สมชายสัมผัสกับจากการเคลื่อนตัวของรถยนต์ เหมือนกับรถถูกขับเลี้ยวเป็นวงกลม มากกว่าสองรอบ ก่อนที่จะวิ่งทางตรงเพียงไม่กี่วินาที แล้วเลี้ยวซ้าย เจอกับพื้นถนนที่ขรุขระ

แน่นอน... ! รถคันนี้ ไม่ได้วิ่งออกจากปั๊มน้ำมัน กลับเข้าสู่ถนนสายหลักที่มีความกว้างสี่เลน แต่คงวิ่งบนถนนย่อยที่ยังไม่ได้ราดยาง
แสดงว่า ปั๊มน้ำมันริมถนนใหญ่เมื่อครู่นี้ คงต้องมีทางเชื่อมด้านข้าง หรือ ด้านหลังปั๊มเพื่อออกไปยังถนนย่อยอื่น ๆ

ในความมืดมิด.... สิ่งที่ปรากฏในจิตของเขา คือ ภาพใบหน้าของเพื่อนสาวที่ผุดขึ้นมาโดดเด่นกว่าเวลาไหน ๆ ภาพนั้นชัดเจนราวกับเธอ ได้มานั่งอยู่ต่อหน้าเขา ณ ขณะนี้

เขาเอื้อมมือไปจับที่กระเป๋ากางเกง สัมผัสถึงซองจดหมายที่อยู่ในกระเป๋า  อีกมือกุมแว่นที่อยู่บนตัก

สามสิบนาทีต่อจากนี้ภายใต้ความมืด... ฉันคงมีเธอเป็นเพื่อนไปตลอด !

ถนนเปลี่ยนจากสภาพขรุขระ มาเป็นทางเรียบ  ความเร็วของรถ น่าจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 60 กม./ชม  เขาประเมินจากความสั่นสะเทือนของรถ และ เสียงเครื่องยนต์

หากเป็นคนอื่นที่มาเจอกับประสบการณ์การถูกปิดตานั่งรถไปกับคนแปลกหน้า คงจะเป็นฝันร้ายที่อยากปลุกตัวเองให้ตื่นในทันที 

ปลายทางของรถยนต์คันนี้ อาจจะเป็นป่าที่ไหนสักแห่งในปักธงชัย ที่ศพของเขาถูกโยนทิ้งโดยไม่มีใครรู้ร่องรอย 

ครอบครัวของเขาคงจะไม่มีทางรู้ว่าเขาได้หมดลม หายไปจากโลกนี้อย่างถาวร   มันก็ไม่น่าจะต่างอะไรกับชีวิตที่ผ่านมาในอดีต ที่เขาก็เป็นเพียงแค่สมาชิกที่เกือบจะมีค่าของครอบครัว  จะมี หรือ ไม่มีเขาอยู่ในครอบครัวนั้น มันก็ไม่น่าจะแตกต่างอะไรกันมาก

'สมาชิกที่เกือบจะมีค่าของครอบครัว' ... คำนี้ผุดขึ้นมาในสมองของเขาเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว  เป็นคำนิยามที่หลอกหลอน และ ทับถมตัวเองมาตลอดระยะเวลาเกือบสิบปี  จนกระทั่ง เธอ... ได้เข้ามาเปลี่ยนความคิดของเขา ลบภาพความไร้ค่าของตนเองที่ฝังอยู่ในจิตมาเป็นเวลานาน

รถถูกชะลอ และ ถูกบังคับให้เลี้ยวขวา

วันนี้เขาคงไม่ได้จะนำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่หรอก ชีวิตเขายังมีค่ามาก อย่างน้อยที่สุด ก็สำหรับเธอ แล้วการเดินทางโดยไม่รู้จุดหมายปลายทางในรถคันนี้ ก็ไม่ใช่ฝันร้ายใด ๆ สำหรับเขา  เมื่อเทียบกับความฝันที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลครั้งนั้น 

ไม่มีฝันร้ายใด ๆ แย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว !

****************************************************************************************

กระบะวีโก้ถูกจอดสนิท

"คุณสมชาย แกะผ้าปิดตาออกได้แล้วครับ !"

อาคันตุกะแห่งเซฟเฮ้าส์แกะผ้าปิดตาออก แล้ววางไว้บนเบาะ

แสงสว่างจากไอแดด ทำให้เขาต้องหรี่ตาเพื่อปรับสายตาสักพัก

เพียงอึดใจหนึ่ง สายตาเริ่มชินกับความสว่างตามปกติ เขาเริ่มกวาดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถ เนินเขาสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านขวาของรถ เป็นภาพแรกที่สัมผัสได้ด้วยประสาทตา

สิ่งที่คั่นกลางระหว่างทิวเขานั้น กับ รถยนต์ คือ ท้องนาที่มีน้ำเจิ่งนอง

หันกลับมามองด้านซ้าย เป็นบริเวณเขตที่พักอาศัย มีบ้านสองชั้นหลังหนึ่งที่เห็นอยู่ใกล้ที่สุด

สมชายสวมแว่น เปิดประตูลงจากรถแล้วกวาดสายตา มองไปรอบตัว

"ไม่เวียนหัวนะครับ !"

อนุชิตพูดขึ้น

สมชายสั่นหัว

"ไม่ครับ !" เขาปิดประตูรถ

ตัวถังด้านข้างของรถกระบะ มีดินโคลนสีแดงเลอะเทอะอยู่เต็มไปหมด ล้อของรถยนต์มีคราบโคลนเปรอะเต็มกะทะล้อ

อนุชิตพูดขึ้น

"เมื่อคืนแถวนี้โดนพายุครับ ทางเข้าเลยเละเทะไปหน่อย เชิญด้านในดีกว่าครับ"

โชเฟอร์เดินนำอาคันตุกะแว่นกรอบทอง ตรงไปยังบ้านสองชั้นหลังที่ใกล้ที่สุด

สมชายมองดูรอบบริเวณในขณะที่เดินตาม ห่างไปจากตรงนั้นประมาณห้าสิบเมตร ยังมีอาคารสองชั้นที่มีความใหญ่เท่ากับสำนักงานบริษัทย่อม ๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่

อนุชิตเดินนำเข้าบริเวณบ้านที่ไม่มีรั้วกั้น

ประตูบ้านถูกเปิดออกโดยชูศักดิ์

ชูศักดิ์ ภรรยา และ ลูกชาย เดินออกมาต้อนรับแขก

สมชายยกมือขึ้นไหว้ ชูศักดิ์ และ ภรรยา เขาส่งยิ้มให้เปี๊ยก

เด็กชายเปี๊ยกยกมือไหว้

ชูศักดิ์ยกมือแตะบ่าภรรยา

"นี่พี่วรรณ แม่เจ้าเปี๊ยก เข้าไปคุยกันข้างในเถอะครับ"

อนุชิตพูดขึ้น

"คุณชูศักดิ์ ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงพอมั้ยครับ ? เล่าให้คุณสมชายฟัง แล้วผมจะพาคุณเปี๊ยกกับคุณสมชายไปพบกับตัวแทนพวกเรา"

ชูศักดิ์พยักหน้า

"น่าจะพอ !"

"ครับ งั้นตามสบายครับ อีกครึ่งชั่วโมงผมมาหาที่นี่"

อนุชิตยังหันมาส่งยิ้มให้กับสมชาย แล้วเดินผละจากไป

******************************************************************************************

"ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยผมไว้ตอนนั้น ถ้าไม่ได้คุณชูศักดิ์แจ้งไปที่คุณพีรศักดิ์ ป่านนี้ผมอาจจะพิการไปแล้วก็ได้"

ประโยคแรกหลุดจากปากของสมชาย หลังจากที่เขานั่งลงบนโซฟารับแขก

ชูศักดิ์พยักหน้ารับรู้

"โล่งใจไปครับที่ปลอดภัย เจ้าเปี๊ยกก็เป็นห่วงน้องสมชายมาก รบเร้าให้ผมพามันไปเยี่ยมให้ได้"

ฉวีวรรณยกมือขึ้นลูบหัวลูกชายที่นั่งอยู่ติดกัน

"เราสองคนเป็นเนื้อคู่กันหรือเปล่านะ ถึงได้มีอะไรผูกพันกันขนาดนี้"

เปี๊ยกอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา

"คุณน้าแขนหายดีแล้วเหรอ ?"

คุณแม่ผลักหัวลูกชาย

"มี ครับ ด้วยสิครับ ! พูดกับผู้ใหญ่ไม่มีครับได้ยังไง ? หรือถือว่าเราเกิดมาเป็นผู้นำแล้วไม่ต้องพูดเพราะก็ได้ ?"

คุณพ่อหัวเราะหึ ๆ

"ผู้นำ พ่อก็เตะได้ ผู้นำใหญ่ซักแค่ไหน มันเกิดมาเป็นลูกพ่อ มันต้องโดนพ่อเตะได้"

เปี๊ยกหัวเราะคิกคัก

"พ่อหาเรื่องเตะเปี๊ยกได้ทุกวันแหละ"

สมชายยกแขนข้างขวาขึ้นมาราวหน้าอก

"ผมถอดเฝือกแล้ว ! แต่ ไม่รู้ทำไม มันยังเขียนหนังสือไม่ได้ อาจจะเป็นที่เส้นเลือดเส้นเอ็นยังไม่เข้าที่หรือเปล่าก็ไม่รู้ จับปากกาแล้วมันยังเขียนไม่ถนัด"

ชูศักดิ์พยักหน้า

"อือ...! อาจจะต้องรอมันฟื้นตัวอีกซักพัก แล้วน้องสมชายรู้หรือยังว่า คนที่ทำร้ายน้องน่ะ เป็นใคร ? ต้องการอะไร ?"

เขาสั่นหัว

"ยังไม่รู้ครับ ! แต่ตำรวจได้เบาะแสแล้ว คนก่อเหตุอาจจะอยู่แถวปทุมธานี คงต้องรอฟังผลจากตำรวจอีกที"

สมชายมองหน้าเปี๊ยกที่นั่งอยู่โซฟาฝั่งตรงข้าม

"เปี๊ยก ! น้าขอบใจเปี๊ยกมากนะ ที่เป็นห่วง ถ้าไม่ได้เบอร์ของเปี๊ยกที่น้าบันทึกไว้ ทางโรงพยาบาลอาจจะไม่รับรักษาน้าในวันนั้นเลยก็ได้"

เขาหันกลับมามองที่ชูศักดิ์ และ ภรรยา

"ผมเลยอยากมาเจอคุณชูศักดิ์วันนี้ เพื่อขอบคุณต่อหน้า" เขายกมือไหว้

ฉวีวรรณโบกมือห้าม

"ไม่ต้องแล้ว ! คุณสมชายขอบคุณไปแล้ว ไม่ต้องยกมือไหว้อีกแล้วค่ะ เป็นใคร ใครก็ต้องช่วย"

"พี่วรรณเรียกผมว่าสมชายเฉย ๆ ก็ได้ ไม่ต้องมีคำว่าคุณหรอกครับ ผมโชคดี ที่ได้รู้จักกับเปี๊ยกก่อนหน้านั้น ไม่งั้น ป่านนี้ ไม่รู้จะเป็นยังไง

แล้วที่นี่มันคืออะไรล่ะครับ ? ทำไมถึงต้องมาที่เซฟเฮ้าส์นี่ ?"

ชูศักดิ์พยักหน้า เพื่อเริ่มเข้าเรื่อง

"ครับ ! เมื่อคืนก็นั่งคุยกันสามคนว่า เราจะเล่าสั้น ๆ ให้น้องสมชายฟังยังไงดี ถึงจะเข้าใจ ในเมื่อวันนี้ มีเวลาอยู่ด้วยกันตรงนี้ จะออกไปไหนก็ไม่ได้ เค้าคงไม่ให้เราออกไป ออกไปก็คงกลับบ้านไม่ถูก เพราะถูกปิดตาเข้ามา อะไรมันจะต้องเว่อร์กันมากมายขนาดนี้..."

ฉวีวรรณยกมือตีที่ตักของสามี

"เอ๊า.. ! จะเล่าก็เล่าไปสิ ! จะบ่นก็ไว้บ่นทีหลัง"

สามีพยักหน้า

"น้องสมชายคงจำได้ว่า เจ้าเปี๊ยกมันอ้างว่ามันระลึกชาติได้"

สมชายพยักหน้ารับรู้

"... คือ ตั้งแต่จำความได้ เจ้าเปี๊ยกมันก็บอกว่ามันเคยไปโน่นไปนี่ จำได้ว่ามันเคยเกิดเป็นใคร ไปทำอะไรมาบ้าง หลายเรื่องก็ถูกต้องจนผมกับพี่วรรณนี่ตกใจ แต่หลายเรื่องก็มั่วเลอะเทอะ..."

ลูกชายมีรอยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินพ่อพูดถึงความมั่วของตัวเอง

"... ผมเองมีพระที่นับถือเป็นอาจารย์ ท่านเป็นพระที่นั่งทางในได้ ท่านดูเจ้าเปี๊ยก ก็บอกว่าสิ่งที่เด็กมันพูดนั้น มีส่วนถูก มันระลึกชาติได้จริง แต่เป็นบางส่วนที่ถูกต้อง บางส่วนก็ผิด ท่านแนะนำว่า ก่อนอายุถึงสิบขวบ อย่าเพิ่งให้เข้ากรุงเทพ ฯ แล้วก็อย่าเที่ยวไปพูดเรื่องชาติที่แล้วให้ใครฟัง"

สมชายพยักหน้า แล้วหัวเราะ

"อ้อ ! แต่มาทักผมจนได้"

ชูศักดิ์หัวเราะไปด้วย

"ก็น่านแหละครับ ! แต่เรื่องที่มันเกิดขึ้น คือ หลังจากที่เจอน้องสมชายแล้ว สุดท้าย เจ้าเปี๊ยกมันก็เข้าไปในกรุงเทพ ฯ ได้โดยบังเอิญ แล้วก็เริ่มจำได้ว่ารู้จักกับตำรวจคนนึง มันก็ให้คนพาไปที่บ้านตำรวจคนนั้น แล้วทิ้งโน๊ตไว้ให้ ว่ามันเคยให้สมุดบันทึกกับตำรวจคนนั้นไปเก็บในห้องสมุด มันจะขอกลับมาอ่านอีกครั้ง แล้วก็ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของมันไว้ในโน๊ตนั้นด้วย"

สมชายมองหน้าเปี๊ยก

"แล้วตำรวจคนนั้นติดต่อกลับมา ?"

ชูศักดิ์พยักหน้า

"ใช่ ! ตำรวจคนนั้น ก็คือ คุณอนุชิต ที่ไปรับน้องสมชายมานั่นแหละ"

สมชายเลิกคิ้วขึ้น

"ถ้ายังงั้น แสดงว่าเปี๊ยกระลึกชาติได้ถูกต้องจริง ๆ ยังงี้คงไม่ใช่มั่วแล้วสิครับ"

เปี๊ยกเขย่าตัวผู้เป็นพ่อ

"เห็นมั้ย ! คุณน้าเค้ายังรู้เลยว่าเปี๊ยกไม่ได้มั่ว"

บิดาผลักไหล่ของลูกชายออกไป

"ก็ไอ้แค่เรื่องนี้แหละ ที่ไม่มั่ว ! เรื่องอื่นแกก็มั่วมาเยอะ แต่ความจริง ถ้าแกมั่วซะ มันก็คงจะดีกว่านี้ พวกเราก็ไม่ต้องมาเกี่ยวพันกับชาวบ้านชาติก่อนของแกแบบนี้"

สมชายเห็นทีท่า บรรยากาศของสองพ่อลูกที่สนทนา กึ่ง ๆ เถียง แล้วนึกขำจนหัวเราะ

ฉวีวรรณถามขึ้น

"ตลกอะไรเหรอ น้องสมชาย ?"

เขายกมือจับขาแว่น

"เอ้อ... ! ก็ คุณชูศักดิ์ กับ เปี๊ยก ดูสนิทกันดี ไม่เหมือนพ่อลูกคู่อื่น"

แม่เจ้าเปี๊ยกสั่นหัว

"คู่นี้ชอบทะเลาะกัน ไอ้พ่อก็ชอบข่มลูกซะเหลือเกิน พอได้รู้ว่าลูกโตขึ้นจะเป็นใหญ่ ก็เกิดหมั่นไส้ ถากถางได้ทุกวัน"

ชูศักดิ์ทำจมูกหึ่ง

"แน่ล่ะสิ ! ถ้าเด็กมันรู้ว่าโตขึ้นมันจะใหญ่ มันจะเหลิงไปขนาดไหน ถ้าไม่ปรามมันซะบ้าง"

เขาชี้หน้าลูกชาย

"หลวงปู่เตือนเอ็งไว้แล้วนะโว้ย เอ็งดื้อเมื่อไหร่ พ่อจะให้หลวงปู่สาปเอ็งเป็นหมู"

เปี๊ยกชี้หน้าบิดากลับ

"อะไรอะ ? พ่อบอกว่าให้ถือศีลห้า ไม่งั้นจะสาปให้เป็นหมู แต่ไม่ได้บอกเรื่องห้ามดื้อ พ่อโมเมแล้วอะ ! ถ้าเปี๊ยกถือศีลห้า ห้ามสาปเปี๊ยกเป็นหมู พ่ออย่ามั่ว !"

ฉวีวรรณหัวเราะลูกชาย

ชูศักดิ์เลิกคิ้ว เชิดคางให้ลูกชาย

"เออ ! ไม่สาปให้เป็นหมูก็ได้ ถ้ามึงดื้อ กูให้หลวงปู่สาปมึงเป็นตุ๊ดแทน หมดกันเลยนะมึง ! มึงเป็นตุ๊ด ใครเค้าจะกล้าให้มึงเป็นผู้นำอีก ฮ่า ๆๆๆ"

ฉวีวรรณตีแขนสามี

"ปากพี่อ่ะนะ ! แช่งลูกชายตัวเอง ! พี่เลิกทะเลาะกับลูกแป๊บนึงได้มั้ย ? เล่าเรื่องให้น้องสมชายฟังให้จบก่อนเถอะ เดี๋ยวก็หมดเวลาหรอก"

ชูศักดิ์หันกลับมาทางสมชายที่กำลังอมยิ้ม

"ต่อครับ ... อ้า... ถึงไหนแล้วครับ ?"

สมชายตอบ

"เปี๊ยกทิ้งโน๊ตไว้ที่บ้านตำรวจ"

"เอ้อ...ใช่ ! แล้วคุณอนุชิตก็ตามมาที่ภูเก็ต แสดงว่า เรื่องในโน๊ตนั่น มันมีจริง ๆ คุณอนุชิตบอกว่า หากเปี๊ยกเป็นคนคนนั้นในชาติที่แล้วจริง มันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเค้า ซึ่งมีผลต่อคนอีกเป็นพัน ๆ คน หรือ ในอนาคต อาจมีผลต่อคนเป็นแสน ๆ ก็ได้ เพราะคนคนนั้น เป็นคนที่จะกลับมานำพาพวกเค้าให้เดินไปในทางที่ถูกต้อง ฟังแล้วงงมั้ยครับ ?"

ผู้ฟังมีสีหน้าฉงน

"มีผลต่อคนเป็นพัน ๆ แสน ๆ หมายถึงอะไรครับ ? เปี๊ยกจะต้องเป็นผู้นำของใครกันครับ ?"

ชูศักดิ์ชี้มือมาที่ลูกชาย

"ถามมัน มันก็บอกว่าไม่แน่ใจ มันยังระลึกไม่ได้หมด แต่รู้ว่ายิ่งใหญ่ มันคงจะเกิดมาเป็นนายกรัฐมนตรีในอนาคตแน่ ๆ"

สมชายเบิ่งตาลอดแว่นมายังเด็กน้อย

"เปี๊ยกจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีเหรอครับ ?"

เด็กน้อยหัวเราะ

"เปล่าครับ คุณน้า ! เปี๊ยกก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เปี๊ยกจำได้ว่า เปี๊ยกเคยเป็นคนที่ใหญ่มาก รวยมาก มีบ้านหลังใหญ่ ๆ แล้วก็มีคนเป็นลูกน้องเปี๊ยกเยอะแยะ แล้วเปี๊ยกก็ไว้ใจคนชื่ออนุชิตคนนี้มาก เราวางแผนกันทำอะไรหลายอย่าง ต้องไปที่หลาย ๆ ที่ เยอะแยะไปหมด เปี๊ยกจดบันทึกไว้ในสมุด แล้วฝากคนชื่ออนุชิตไว้"

"เปี๊ยกก็เลยขอคืนจากคุณอนุชิต ? แล้วได้คืนแล้วหรือยังครับ ?"

เปี๊ยกพยักหน้า

"ได้แล้วครับ ! พอเปี๊ยกเริ่มอ่าน ก็จำอะไรได้หลายอย่างเลย"

"สรุปว่า เปี๊ยกรู้แล้วว่าคนพวกนี้เป็นใคร เปี๊ยกต้องมาทำอะไรกับพวกเค้า ?"

เปี๊ยกเอียงคอ

"ยังอ่านไม่หมดเลยครับ เพิ่งอ่านเมื่อคืน แล้วก็ง่วง เลยหลับไปเลย"

ชูศักดิ์พูดขึ้น

"สมุดบันทึกเป็นลายมือหวัด ๆ อ่านยาก แล้วเขียนเป็นลักษณะบันทึกย่อ ๆ ให้ตัวเองจำได้ แต่คนอื่นอ่านไม่รู้เรื่อง ผมอ่านแล้ว ไม่เข้าใจอะไรเลย เช่น ให้หนูมาจัดการเรื่องหุ้น คุยกับโต้งสำเร็จ ประมาณนี้แหละ มันเป็นประโยคสั้น ๆ ที่ไว้เตือนความจำส่วนตัวมากกว่า แต่เจ้าเปี๊ยกอ่านบางอย่างแล้วเข้าใจเป็นตุเป็นตะ ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะมั่วอีกหรือเปล่า"

"แล้วเรื่องพวกนี้สำคัญสำหรับเปี๊ยกมากขนาดที่ต้องมาสานต่อด้วยเหรอครับ ? ผมหมายถึง เปี๊ยกเองอายุไม่กี่ขวบ แต่ต้องมารับรู้เรื่องอดีต ซึ่งไม่รู้ว่ามันจะจริงมากน้อยขนาดไหน แต่ถึงขนาดลงทุนเดินทางมาที่นี่ ?"

ชูศักดิ์พยักหน้า

"นั่นน่ะสิครับ ! ผมปรึกษาพระอาจารย์ที่ผมนับถือ ถามท่านว่าการมาครั้งนี้จะมีเหตุการณ์อะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า ควรมาหรือไม่ ท่านก็ตอบว่า มาได้ ถ้ามาแล้วมันจะทำให้คลายความสงสัยไปได้บ้าง แต่ยังไงเรื่องอดีตของเปี๊ยกนี้ หนีไม่ได้ ท่านบอก ยังไงคนเหล่านี้ก็ต้องตามเปี๊ยกจนเจอได้ เพียงแต่ ท่านให้คำแนะนำว่า ให้รู้จักกันและกันไว้ก่อน แล้วอายุเกินสิบขวบ ค่อยว่ากันอีกที ท่านยืนยันว่า เปี๊ยกเป็นคนสำคัญของคนพวกนี้จริง

ผมก็เลยให้โอกาสช็อตเดียวเท่านั้น คือ ครั้งนี้ คุณอนุชิตบอกว่า เรื่องนี้สำคัญสำหรับพวกเขามาก ลงทุนเอารถไปรับเรามาจากภูเก็ต ผมก็รับปากลูกว่า ในเมื่อหลวงปู่บอกว่ามาได้ ผมก็จะมาด้วย ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าผมยังไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางเพิ่มขึ้นว่า คนพวกนี้เป็นใคร ก็อย่าหวังจะได้ติดต่อกับเปี๊ยกอีกต่อไปเลย เกินสิบขวบ ผมก็ไม่ยอมให้ติดต่อ"

ฉวีวรรณพูดขึ้น

"พี่นี่ก็ เข้มซะจริง ! หลวงปู่บอกสิบขวบก็โอเคแล้ว"

ชูศักดิ์หันหน้าขวับมาหาภรรยาทันที

"เราเป็นพ่อแม่มันนะ พ่อแม่ใครที่ไหนจะปล่อยให้ลูกอายุสิบขวบไปร่วมขบวนการกับคนแปลกหน้า แล้วพี่ก็อยากจะรู้ว่า ถ้าไอ้เปี๊ยกมันสำคัญจริง ๆ ไอ้คนพวกนี้ มันจะเสด็จไปหาเราที่ภูเก็ตไม่ได้เชียวเหรอ ? ทำไมต้องให้เราถ่อมาหาที่นี่ แล้วต้องปิดตามาเข้าเซฟเฮ้าส์ ทำไมมันต้องเรื่องมากขนาดนี้ ?"

"ก็เพราะเค้าเห็นว่าเปี๊ยกเป็นคนสำคัญ เค้าถึงอุตส่าห์เชิญมาในที่ลับของเค้า แสดงว่าเค้าไว้ใจเรา"

"ไว้ใจ ทำไมต้องให้ปิดตา ? ทำยังกะกูอยากจะมารู้จักที่ของพวกมึงจนเนื้อเต้น"

ฉวีวรรณเพยิดหน้าขึ้น

"เอาอีกแล้ว ! พี่เริ่มมีอารมณ์ขึ้นกูมึงอีกแล้ว" เธอยกมือตีแขนสามี "ไม่รู้พี่จะถือศักดิ์ศรีอะไรมากมาย ในเมื่อเราก็ได้ตกลงกันแล้วว่า เราจะมาด้วยกัน ทำเพื่อลูก ถ้างั้น พี่ไม่ต้องตกลงตั้งแต่แรกซะเลยดีกว่า ก็ปล่อยให้เปี๊ยกมันเป็นบ้าอยู่คนเดียว โตขึ้นมันก็ต้องหนีออกจากบ้านแน่นอน"

เธอหันกลับมาหาสมชาย

"ใช่มั้ย น้องสมชาย ? ไอ้ลูกเราพูดเรื่องระลีกชาติให้เราฟังตั้งแต่เด็ก ถ้าเราที่เป็นพ่อแม่มันเอง ไม่ฟังมัน วันนึง มันก็ต้องออกไปหาคนข้างนอกที่พูดกับมันรู้เรื่อง เด็กมันคงต้องเป็นบ้าแน่ ๆ ถ้าเราปิดกั้นมันเรื่องนี้ มันจะไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะคิดว่าตัวเองเป็นบ้า แม้แต่พ่อแม่ก็ยังหาว่ามันบ้าไปเอง"

ชูศักดิ์หันมาเขย่าแขนภรรยา

"เอาน่า เอาน่า ! โทษ ๆๆ ! พี่เลิกใช้อารมณ์แล้ว"

เขาชี้หน้าลูกชายอีกครั้ง

"ไอ้เปี๊ยก ! พ่อห้ามเอ็งหนีออกจากบ้าน จะทำอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าเอ็งหนีออกจากบ้าน พ่อจะตามไปกระทืบเอ็ง"

เปี๊ยกอมยิ้ม พูดกับพ่อตัวเอง

"อยู่บ้าน พ่อก็หาเรื่องกระทืบเปี๊ยกได้ทุกวันอยู่ดี"

สมชายอดขำไม่ได้

"ผมเลยลืมเรื่องที่อยากถามไปเลย คุณชูศักดิ์เล่าไปถึงไหนแล้วครับ ?"

ชูศักดิ์ยกนาฬิกาขึ้นดู

"น้องสมชายถามมาเลยแล้วกัน ที่เหลือไว้ค่อยเล่าหลังจากนี้"

"คุณอนุชิตบอกว่า จะพาผมกับเปี๊ยกไปพบกับตัวแทน ตัวแทนคืออะไรครับ ?"

"ตัวแทนของพวกเค้า ก็คล้าย ๆ กับ คนบริหาร หรือ กรรมการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ของพวกเค้า เค้าต้องการพิสูจน์ก่อนว่า ที่อนุชิตไปเล่าให้พวกเค้าฟังว่า เปี๊ยกระลึกชาติได้ว่า เคยเกิดเป็นคนสำคัญของพวกเค้า จริงหรือไม่ เค้าจึงส่งตัวแทนมาพิสูจน์ ก็คงถามคำถามเปี๊ยกว่าระลึกอะไรได้บ้าง ถ้าผ่าน คนคนนี้ก็จะไปบอกพวกเค้าทั้งหมดว่า เปี๊ยกเป็นคนสำคัญของพวกเค้าจริง"

สมชายเอียงคอ

"แล้วคุณอนุชิตก็ได้พิสูจน์แล้ว ทำไมพวกเค้าไม่เชื่อล่ะครับ ?"

เปี๊ยกพูดแทรกขึ้น

"คนชื่ออนุชิตไม่ใช่ระดับหัวหน้า เลยต้องไปบอกคนที่สูงกว่าให้มาเป็นพยาน แต่คนชื่ออนุชิต เป็นคนที่เปี๊ยกไว้ใจที่สุด"

สมชายยิงคำถามต่อ

"สรุปแล้ว กลุ่มคนพวกนี้ เค้าคือกลุ่มอะไรครับ ? เป็นองค์กร หรือ เป็นสมาคมทำอะไรกันครับ ?"

ชูศักดิ์พยักหน้าช้า ๆ

"เรื่องนี้แหละ ที่พวกเค้ายังบอกเราไม่ได้ จนกว่าเค้าจะแน่ใจว่า เปี๊ยกเป็นคนสำคัญของพวกเค้าจริง แล้วเจ้าเปี๊ยกเอง ถึงมันระลึกอะไรได้หลาย ๆ อย่าง แต่ก็ยังระลึกไม่ได้ว่า ในอดีต มันเคยไปนำคนพวกนี้ไปทำอะไรไว้ สิ่งสำคัญที่มันระลึกได้สองอย่าง คือ สมุดบันทึกที่มีแต่อนุชิตเท่านั้นที่รู้ว่าเก็บไว้ที่ไหน กับ เรื่องทายาท

มันบอกว่าชาตินี้ มันพบแล้วว่าใครคือทายาทของมัน ซึ่งมันตรงกับสิ่งที่อนุชิตเคยได้ยินมาก่อนว่า มีการทำนายคร่าว ๆ ไว้ว่า ผู้นำของพวกเค้าที่ล่วงลับมาแล้ว ได้กำหนดทายาทไว้ว่าจะเป็นใคร"

สมชายพยักหน้าเข้าใจ

"ถ้าผมเป็นคุณอนุชิต แล้วจู่ ๆ มีเด็กคนนึง มาพูดถึงสองเรื่องนี้ สมุดบันทึก กับ ทายาท ผมก็คงต้องอึ้งเหมือนกัน เด็กอายุแค่นี้รู้จักคำว่า ทายาท ก็ถือว่าแปลกแล้ว"

เขายิงคำถามสุดท้าย

"แล้วทำไม ผมต้องเข้าไปคุยกับตัวแทนพวกเค้า พร้อมกับเปี๊ยกด้วยครับ ? ผมเกี่ยวอะไรด้วยเหรอครับ ?"

ประตูห้องรับแขกถูกเปิดออก ชายหัวเถิกโผล่หน้าเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม

"ขอโทษทีครับ พอดีที่กรุงเทพ ฯ เกิดเรื่อง ตัวแทนท่านจะต้องรีบเข้ากรุงเทพ ฯ ไม่ทราบว่า คุณเปี๊ยกกับคุณสมชายพร้อมหรือยังครับ ? ท่านจะรีบคุยก่อน แล้วต้องรีบกลับ"

ชูศักดิ์พยักหน้าให้กับอนุชิต

"พร้อมครับ !"

พ่อเจ้าเปี๊ยกเปลี่ยนสีหน้าจากจริงจังมาเป็นหน้าเปื้อนยิ้ม หันมาทางลูกชาย แล้วยกมือขึ้นลูบหัว

"ไป ! ได้เวลาของเอ็งแล้ว ! ขอให้โชคดีนะ"

ลูกชายพยักหน้า

ชูศักดิ์หันมาทางสมชาย

"น้องสมชาย ฝากดูแลเปี๊ยกด้วย !"

คำพูดของพ่อเด็ก ทำให้สมชายฉงนเล็กน้อย แต่เขาก็พยักหน้ารับ

"คุณชูศักดิ์ กับพี่วรรณ ไม่ได้เข้าไปด้วยกันเหรอครับ ?"

สองสามีภรรยาสั่นหัว

ฉวีวรรณส่งยิ้มให้กับสมชาย

"ไม่เป็นไรค่ะ ! มีน้องสมชายเข้าไปด้วย พี่ก็อุ่นใจแล้ว"

อาคันตุกะแว่นกรอบทองกระพริบตาปริบ ๆ

เปี๊ยกเดินมาที่ข้างเก้าอี้ของสมชาย แล้วพยักหน้า

"ไปกันครับ คุณน้า !" พร้อมยื่นมือให้จับ

สมชายลุกขึ้นยืน ยื่นแขนไปจับมือของเด็กแปดขวบ สีหน้ายังมีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด

เปี๊ยกเงยหน้าขึ้นมอง

"แค่นั่งฟังเฉย ๆ ก็พอครับ ช่วยเปี๊ยกหน่อยนะครับ !"

เจ้าตัวเล็กพูด พร้อมกับกระชับมือที่กุมมือเขาอยู่

สัมผัสที่ฝ่ามือนี้มีพลังอะไรบางอย่าง ให้ความรู้สึกเหมือนกับคราที่ได้กอดกับเด็กคนนี้ครั้งแรกที่สนามบินภูเก็ต

*****************************************************************************************

1 < อ่านหน้า > 3
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่