ตอน พิเศษ คริสต์มาสกิ๊ฟท์

หน้า 2/2

(เปียโน Christmas Medley โดย โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร)

“ก็พอซุกหัวนอนเท่านั้น ผมจำรายละเอียดไม่ได้ว่าผู้ชายทำงานอะไร ผู้หญิงทำงานอะไร แต่ว่า ทั้งสองคนไม่ได้มีเงินเดือนเหลือใช้ คือ ต้องกระเบียดกระเสียน”

แนนพยักหน้ารับฟัง

“เวลาว่างเสาร์อาทิตย์ ทั้งคู่ก็จะชวนกันเดินเล่นบ้าง เดินดูของบ้าง ไปเดินที่ดิเอ็มโพเรี่ยม สยามดิสคัฟเวอรี่ บ้าง”

แนนหัวเราะ
“อะไรคะ ? ดิเอ็มโพเรี่ยม สยามดิสคัฟเวอรี่ไปอยู่ในหนังสือได้ไง ? ”

“อ้าว…..เราต้องประยุกต์สิครับ เรื่องจะได้สนุก”

แนนพยักหน้า
“ตกลง งั้นเล่าต่อค่ะ”

“ฝ่ายผู้ชายเนี่ย หน้าตาคงหล่อเหมือนเจี๊ยบ”

แนนยิ้ม เธอขี้เกียจจะขัดคออะไรอีกแล้ว
“ฝ่ายหญิงเองก็ไม่มีอะไรจะประดับประดาร่างกายให้หรูหรา เพราะไม่มีเงิน ก็มีแต่ผมอันยาวสลวยนี่แหละ ที่เธอภูมิใจนักหนา แล้วฝ่ายชายก็ชอบที่ภรรยาผมที่ยาว และ สวยมาก”

“ฝ่ายชายก็ไม่มีเครื่องประดับประดาอะไรเลย มีของใช้ติดตัวอย่างเดียวคือนาฬิกาหนึ่งเรือน เป็นนาฬิกาเก่าแก่ ซึ่งมีลายเงินที่สวยงามมาก ซึ่งเขาก็รักมันมาก มาถึงตอนนี้ ต้องอธิบายต่ออีกหน่อย เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ”

clockchain

แนนตอบ
“เชิญค่ะ”

รุ่งพูดต่อ
“จริง ๆ เค้ามีมากกว่าผมอีกเนอะ ผมเองยังไม่มีนาฬิกาซักเรือน”

เขาเริ่มเข้าเรื่อง
“นาฬิกาสมัยนั้น ก็คือ นาฬิกาตัวเรือนกลม ๆ ใหญ่ ๆ หน่อย คุณแนนอาจจะเคยเห็นในหนังเก่า ๆ ที่ผู้ชายชอบพกใส่กระเป๋ากางเกง นึกออกรึเปล่า”

แนนพยักหน้า
“ค่ะ นึกออก ทีมีฝาปิดด้วยใช่มั้ยคะ เหมือนกับฝาหอยหรืออะไรทำนองนั้น”

“ใช่ครับ นั่นแหละ ผู้ชายคนนี้เค้าก็มีสมบัติประจำตัวแค่นั้นเอง คือ เรือนนาฬิกา พกไว้ในกระเป๋าไว้ดูเวลา ตามธรรมดาเนี่ย นาฬิกามันจะมีโซ่เหล็กไว้คล้อง”

แนนเสริมขึ้น
“เขาเรียกว่าสร้อยค่ะ”

“เอ้อ..สร้อยก็ได้ คือ นาฬิกาส่วนมากจะมีสร้อยไว้ห้อย เพื่อว่าเวลาพกในกระเป๋ากางเกงแล้ว ผู้ชายส่วนมากจะเอาปลายสร้อยคล้องกับหูเข็มขัด หรือ ขอบกางเกง เวลาดึงนาฬิกาออกมาดู ก็เพียงแค่ดึงสร้อยออกมา นาฬิกาก็ติดออกมาจากกระเป๋า เป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่งของชายสมัยนั้น นึกออกใช่มั้ยครับ ? ”

แนนพยักหน้า

“แต่พระเอกของเราคนนี้ มีแต่เรือนนาฬิกา ไม่มีสร้อย เพราะไม่มีเงินซื้อ น่าสงสารจังเลยเนอะ”

แนนพยักหน้าเห็นด้วย

“จะดูเวลาทีนึง ก็ต้องเอามือไปควานในกระเป๋าหานาฬิกา ควานไปควานมา ไปเจออะไรก็ไม่รู้ แต่ไม่ใช่นาฬิกา”

แนนหัวเราะ
“บ้า….เจออะไร ?”

รุ่งหัวเราะ
“อ้าว…ก็พวกผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าเงินอะไรยังงี้แหละ กว่าจะควานเจอนาฬิกาก็พอดี เที่ยงคืน”

“คราวนี้ พอวันหยุด หนุ่มสาวก็เดินเล่นกันไปตามถนน แนนคงเคยเห็นหนังฝรั่งที่เขาทำฉากเมืองเล็ก ๆ สมัยนั้นสี่สิบปีก่อน ที่ข้างถนนมีร้านขายของ แล้วก็มีของโชว์ในตู้กระจก คนเดินผ่านไปผ่านมาก็เห็น”

แนนพยักหน้าหงึก ๆ

“หนุ่มสาวคู่นี้ก็ชวนกันเดินเล่นดูของหน้าร้านไปเรื่อย ๆ เดินควงกันไป น่ารักจริง”

เขาทำเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ เหมือนนักพากษ์หนัง

“เดินผ่านร้านไหน ทั้งคู่ก็หยุดหน้าร้าน มองผ่านกระจกเข้าไปในร้าน แล้วก็ชวนกันคุยเรื่องสินค้าที่ขายในร้าน แต่ทั้งคู่ก็ได้แต่วิจารณ์ คือ ไม่กล้าเดินไปในร้าน เพราะไม่มีเงินจะซื้อ”

แนนทำหน้าเศร้า เธอนึกสงสารทั้งคู่

“แล้วทั้งสองก็เดินกันไปเรื่อย ๆ ผ่านร้านขนมเบื้องกับหอยทอดด้วย ก็หยุดแวะดูหอยแป๊บนึง แล้วเดินต่อ”



แนนหัวเราะหึ ๆ มองหน้ารุ่ง

เขาเล่าต่อ
“แต่พอเดินไปถึงหน้าร้านขายของประดับสตรี ฝ่ายหญิงก็หยุด สามีก็รู้ว่าภรรยาคงสนใจของพวกนี้ ก็ชวนภรรยาเดินเข้าไป ถามภรรยาว่า ไม่เข้าไปดูหน่อยเหรอ ภรรยาก็สั่นหัว บอก…ไม่หรอกค่ะ เพราะถึงดูไปก็ไม่มีเงินซื้อ สามีก็บอกว่า เข้าไปดูเถอะ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยได้ดูของที่เราชอบก็มีความสุข แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปในร้าน”

รุ่งเล่าต่อ
“ภรรยาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ยืนจ้องปิ่นปักผมอันหนึ่งซึ่งสวยมาก เธอเอ่ยขึ้นกับคนขายว่าอยากขอดูหน่อย คนขายก็หยิบของมาให้ คือ ธรรมดาผู้หญิงที่ไว้ผมยาวสมัยนั้น จะม้วนผมขึ้นแล้วรวบผมของเธอม้วนขึ้นแล้วใช้ปิ่นปักดู สวยมาก”

ปิ้นปักผม

รุ่งเล่าเหมือนกับว่าเขาท่องเรื่องทั้งหมดได้ขึ้นใจ

“สามีก็ยืนดู ชมว่าภรรยาว่าสวยจริง ๆ แล้วฝ่ายหญิงก็ถามราคาจากพนักงานขาย พอทราบราคา เธอก็ค่อย ๆ ถอดปิ่นออก แล้วคืนพนักงานไป เพราะราคามันเท่ากับเงินเดือนของเธอทั้งเดือนเลย แล้วทั้งสองก็ค่อย ๆ เดินออกมาจากร้าน ฝ่ายหญิงก็เอ่ยปลอบใจตัวเองว่า แค่ได้ลองเพียงแค่นั้นก็มีความสุขแล้ว ถึงจะชั่วครู่ก็ไม่เป็นไร”

แนนเริ่มเอาคางเกยที่หัวเข่าเธอ เริ่มมีความรู้สึกร่วมกับเนื้อเรื่องมากขึ้น

รุ่งชี้ไปที่ถนนฝั่งตรงข้ามทะเลสาป

“นั่นไงรถของเพื่อนผม เริ่มมากันแล้ว ”

แนนหันไปมอง แล้วหันกลับมาคอยฟังต่อ ท่าทางเธอจดจ่อกับเรื่องที่เขาเล่า

รุ่งรู้ตัวดีว่าเธออยากฟังต่อ ก็เล่า

“ทั้งคู่ก็ไม่อยากจะพูดเรื่องปิ่นปักผมอันนั้น เพราะจะทำให้ยิ่งเศร้า ก็ชวนกันเดินเล่น คราวนี้พอผ่านร้านขายนาฬิกา ฝ่ายชายก็หยุด ภรรยาก็รู้เหมือนกันว่าสามีสนใจ ก็ชวนสามีเข้าไปเดิน สามีก็ไปที่เคาน์เตอร์ ขอดูสายสร้อยคล้องนาฬิกาเส้นนึง แล้วเขาก็หยิบเรือนนาฬิกามาเทียบดู เข้ากันดี ลองเหน็บสายคล้องกับกางเกงก็ดูสวย เขารู้สึกชอบ เพราะเขาพกนาฬิกาโดยไม่มีสายคล้องมานานแล้ว ภรรยาเห็นก็ชมว่าสวยมาก ถ้าเธอได้เห็นเขาใช้สายคล้องเส้นนี้ เธอก็คงมีความสุข แต่พอถามราคา ก็ทำให้สามีเธอหยุดยิ้ม เพราะเขาคงต้องอดข้าวไปนานกว่าจะซื้อได้ เขาก็เลยคืนสายสร้อยเส้นนั้นไป แล้วค่อย ๆ เดินออกจากร้าน”

แนนทำหน้าสงสารมากยิ่งขึ้น คงเป็นเพราะน้ำเสียงของรุ่งด้วย

รุ่งเริ่มจะพูดด้วยสำเนียงที่เรียบขึ้น เขาไม่ได้ใส่มุขตลกอะไรอีกแล้ว
รุ่งมองตรงออกไปที่ทะเลสาป แล้วเล่าต่อ

“คืนนั้นเอง….”

ขณะที่รุ่งกำลังเริ่มเล่าต่อ ลมหนาวก็กรรโชกผ่านทะเลสาปเข้ามาหาคนทั้งคู่

แนนใช้มือสองข้างลูบแขนเพื่อสร้างความอุ่น แล้วกลับมาเอาคางเกยหัวเข่าต่อ ตั้งใจฟัง

“คืนนั้น….ทั้งสองคนก็กลับบ้าน เข้านอน แต่ทั้งคู่ก็นอนไม่หลับ คิดถึงเรื่องปิ่นปักผม กับสายสร้อยคล้องนาฬิกา ฝ่ายชายก็คิดสงสารภรรยา เขาอยากให้เธอเป็นเจ้าของปิ่นปักผมอันนั้น แต่ก็ต้องน้อยใจโชคชะตาที่ทำให้ทั้งคู่ยากจน ทำให้เขาไม่สามารถซื้อของให้เธอได้ ฝ่ายหญิงก็นอนไม่หลับ สงสารสามี อยากให้สามีเป็นเจ้าของสายสร้อยคล้องนาฬิกาอันนั้น
ทั้งสองคนก็คิดเหมือน ๆ กัน อยากจะเก็บเงินเดือนที่หามาได้เพื่อซื้อของให้อีกคนหนึ่ง แต่ละเดือนที่ผ่านไป ต่างฝ่ายต่างก็ประหยัดเงินมากกว่าเดิม บางวันก็อดข้าว เพื่อที่จะมีเงินเก็บมากขึ้น”

“เวลาผ่านไปจนเข้าฤดูหนาว หิมะเริ่มตก เป็นสัญญาณว่าใกล้เทศกาลแห่งความสุข พวกฝรั่งเขาถือกันว่า ทั้งปีลำบากยังไงก็ตาม แต่ปลายปียังไงก็ต้องฉลอง โดยเฉพาะเทศกาลคริสต์มาส ถือว่าเป็นเทศกาลที่คนรอคอยที่สุดของปี ทั้งสองคนก็เห็นร้านค้าทั่วเมืองเริ่มเตรียมประดับไฟวันคริสต์มาส เทศกาลหาซื้อของขวัญก็เริ่มขึ้น คนในเมืองเริ่มหาของขวัญให้คนที่รัก ตอนเย็น ๆ ที่ภรรยาเดินกลับบ้าน หิมะก็ตก เธอก็เห็นคนอื่นเลือกซื้อของขวัญกัน เธอก็หยุดยืนมอง นึกอยากจะมีโอกาสอย่างนั้นบ้าง บางครั้งเธอก็เห็นผู้ชายคนอื่นมีสายสร้อยคล้องนาฬิกาห้อยกางเกง เธอก็นึกอยากให้สามีเธอมีอย่างนั้นบ้าง ทำให้เธอประหยัดมากขึ้น อดข้าวบ่อยขึ้น จนสามีสังเกตเห็นว่าภรรยาผอมลง”

รุ่งหยุดเล่า เขามองหน้าแนน แนนกำลังจ้องหน้าเขาตาไม่กระพริบ

“หยุดทำไมคะ ? ”

รุ่งยิ้ม แล้วพูดด้วยเสียงสุภาพ
“ผมคิดว่าลมหนาวมาอีกระลอกแล้ว คืนนี้คงหนาวแน่ ”

แนนมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัว ลมเย็นเริ่มโชยมาอย่างต่อเนื่อง เธอพยักหน้าเห็นด้วย

“เล่าต่อจนจบเถอะค่ะ”

รุ่งพยักหน้า
“ฝ่ายผู้ชาย เวลาอยู่นอกบ้าน เห็นสาว ๆ คนอื่นไว้ผมยาว ส่วนมากจะม้วนผมขึ้นไปแล้วเอาปิ่นปักไว้ ดูสวยงาม เขานึกถึงภรรยาเขาว่าผมเธอสวยเหลือเกิน แต่ก็ม้วนขึ้นไปไม่ได้ เพราะไม่มีปิ่นจะปัก ยิ่งใกล้วันคริสต์มาส ทั้งสองคนก็พยามรวบรวมเงินเพื่อซื้อของขวัญให้คนรักให้ได้ แต่ในที่สุดทั้งสองคนก็มีเงินเก็บไม่พอที่จะซื้อของขวัญ ให้คนรักให้ได้ และแล้ว เช้าวันคริสต์มาสก็มาถึง….”


“เช้าวันนั้น ทั้งสองคนก็นัดกันว่าให้รีบกลับบ้าน เพื่อมาทานข้าวเย็นกัน แล้วจะได้ฉลองวันคริสต์มาสด้วยกัน ก่อนออกจากบ้าน ฝ่ายชายก็เอานาฬิกาออกมาดู ดูแล้วดูอีก เอามาขัด เอามาเปิดดู เหมือนกับจะชื่นชมมากกว่าทุกวัน ฝ่ายหญิงก็มองดู เธอก็รู้ว่าสามีรักมันมาก เธอคิดในใจ ถึงแม้เงินไม่พอ เธอมีวิธีที่จะทำให้สายสร้อยเส้นนั้นกลายมาเป็นของขวัญในตอนเย็นนี้ เพื่อคู่กับนาฬิกาเรือนนี้ ฝ่ายชายก็สังเกตเห็นว่า วันนี้ภรรยาหวีผมนานกว่าทุกวัน เขาคิดในใจ ถึงแม้เขาจะมีเงินไม่พอ เขามีวิธีที่จะทำให้ปิ่นปักผมอันนั้นกลายเป็นของขวัญสำหรับภรรยาในเย็นวันนี้ให้ได้”

“แล้วทั้งสองก็ลากันตอนเช้า เธอยังจำได้ดีว่าเขาออกจากบ้านไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมในมือถือนาฬิกาเรือนเก่ง เขาก็จำเธอได้ดีว่า เธอเดินแยกกับเขาไปพร้อมกับผมที่ยาวสลวย”

“คืนวันนั้น ทั้งสองก็รีบกลับบ้านมาเพื่อฉลองวันคริสต์มาส ฝ่ายหญิงกลับมาถึงบ้านก่อน พอสามีกลับมาก็เห็นภรรยาแต่งตัวสวยกว่าทุกวัน ใส่หมวกแบบผู้หญิงตามสมัยนิยม เป็นหมวกที่ภรรยาเขามีไว้ตั้งนานแล้ว สามีนึกประหลาดใจที่เห็นภรรยาเอาหมวกใบเก่ามาสวมวันนี้ ทั้งสองก็ร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน หลังจากนั้นก็ถึงเวลาสำคัญ เวลาให้ของขวัญ”



รุ่งหยุดมองหน้าแนน เธอเผลอตัวยื่นมือมาจับแขนเขา แล้วเขย่า

“เล่าต่อ เล่าต่อ อย่าหยุดซี่”

รุ่งเล่าต่อ
“ทั้งคู่ก็นำกล่องของขวัญขึ้นมา แล้วยื่นให้กันและกัน สามีก็พูดว่า ของขวัญในปีนี้จะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ ยังไงฉันก็รักเธอเหมือนเดิม ภรรยาก็พูดว่า ของขวัญในปีนี้ จะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเหมือนกัน ยังไงฉันก็รักเธอเหมือนเดิม”

"แล้วฝ่ายหญิงก็บอกให้สามีเปิดของขวัญก่อน รับรองว่าเขาต้องชอบมันมากแน่ ๆ สามีก็ค่อย ๆ เปิดมันออกมา”


แนนอดใจไม่ไหวก็ถามขึ้น
“เป็นสร้อยคล้องนาฬิกาใช่มั้ยคะ ?”

รุ่งตอบ
“ใช่ครับ พอสามีเห็นมันก็ตกใจ เขาหยิบมันขึ้นมาดู เขาจำได้ว่า เป็นเส้นนั้นเลยที่เขาลองวันนั้น สายสร้อยที่เขาไม่มีปัญญาจะซื้อ ตอนนี้เป็นของเขาแล้ว ภรรยาก็บอกว่าให้เขาหยิบนาฬิกาขึ้นมาลองคล้องกันดู แต่แล้ว เขาก็ค่อย ๆ ร้องให้ออกมา”

แนนถาม
“ร้องไห้ทำไมคะ ? ”

"ภรรยาก็สงสัยว่าทำไม เขาก็บอกว่า สายสร้อยสวยมาก แต่จะสวยมากกว่านี้ถ้ามีนาฬิกาเรือนนั้น”

แนนถาม
“หมายความว่าไงคะ นาฬิกาหายไปไหน ? ”

“สามีบอกว่า เขาได้ขายนาฬิกาเรือนนั้นไปเมื่อบ่ายนี้เอง เพื่อที่จะซื้อของขวัญให้เธอ ตอนนี้เขามีสายสร้อย แต่ไม่มีนาฬิกาเรือนนั้นแล้ว”

"ภรรยาได้ยินก็ร้องไห้ ซาบซึ้งใจที่สามีขายนาฬิกาเรือนที่รักที่สุด เพื่อซื้อของขวัญให้เธอ สามีเธอกลับตอบว่า"
รุ่งทำเสียงพูดให้นุ่มนวล

“ที่รัก ….เธอมีค่าต่อฉันมากกว่านาฬิกาเรือนนั้น เปิดของขวัญของเธอดูสิ”

“แล้วเธอก็ค่อย ๆ เปิดของขวัญดู เธอก็เห็น…..”

แนนพูดขึ้น

“ปิ่นปักผม”

แนนมีน้ำตาออกมาคลอ

“ใช่ครับ ปิ่นปักผมอันนั้นเลย เธอหยิบมันขึ้นมาดู สามีบอกให้เธอถอดหมวกแล้วลองใช้ปิ่นปักดู เธอก็ร้องไห้ออกมา สามีก็สงสัย ทำไมเธอต้องร้องไห้ขนาดนั้น แล้วเธอก็ถอดหมวกที่สวมอยู่ออกมา สามีมองเห็นก็ตะลึง”

แนนถามขึ้นอีก
“ทำไมคะ ?”

"หัวของเธอที่เคยมีผมยาวสลวย กลับกลายเป็นผมสั้นเต่อเหมือนทรงผมผู้ชาย ไม่มีผมบลอนด์ที่ยาวสลวยอีกต่อไป เธอตัดสินใจตัดผมไปขายที่ร้านทำวิก เพราะว่าผมเธอสวย ที่ร้านจึงขอซื้อในราคาดี แล้วเธอก็เอาเงินที่ได้มารวมกับเงินเก็บ ไปซื้อสายสร้อยเป็นของขวัญแก่เขา เพราะฉะนั้น ปิ่นปักผมที่ได้มาก็ไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีผมยาวให้เธอปักอีกแล้ว แต่เธอก็พูดกับสามีว่า …..ที่รัก….เธอมีค่าต่อฉันมากกว่าเส้นผมของฉัน”

“แล้วทั้งสองคนก็กอดกันร้องไห้ ซาบซึ้งใจที่อีกฝ่ายสละของรักของตัวเองเพื่อซื้อของให้คนรักจนได้ ถึงแม้ของขวัญทั้งสองชิ้น จะไม่มีประโยชน์ใช้งานแล้ว แต่คุณค่าของมันนั้นมากกว่าของขวัญใดในโลก เมื่อรู้ว่าต้องสละสิ่งใดไปเพื่อได้ของขวัญแต่ละชิ้น ถ้าใจเรายอมสละได้เพื่อคนที่มีค่า ความขัดสนยากจนก็ไม่เป็นอุปสรรคของการให้ นี่แหละครับ คริสต์มาสกิ๊ฟท์ เรื่องจบแค่นี้”

(คริสต์มาสกิ๊ฟท์ มาจากเรื่องสั้นชื่อ The Gift of Magi แต่งโดย O' Henry)

เธอกระพริบตาสองสามครั้ง แล้วค่อยยิ้ม

รุ่งถามขึ้น
“เป็นไงครับ ผมเล่าพอเข้าใจหรือเปล่า ? ”

“เข้าใจค่ะ เธอเล่าเหมือนกับท่องได้ทั้งหมดเลย ทำไมถึงจำได้ดีขนาดนี้คะ ? ”

รุ่งยักไหล่
“ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องนี้ผมอ่านแล้วก็ไม่ลืม ผมยังจำได้ว่าตอนเรียนมัธยม ผมทำสอบเรื่องนี้ได้ท๊อป ที่หนึ่งของห้อง”

แนนยิ้ม เธอสนใจอยากรู้
“เล่าหน่อยสิคะ ข้อสอบออกว่ายังไง ?”

“ข้อสอบเป็นคอมพรีเฮนชั่น ถามความเข้าใจ ส่วนนี้ทุกคนก็ทำกันได้ แต่อีกส่วนหนึ่งให้เสนอความคิดเห็น ถามว่าอ่านเรื่องนี้แล้วได้แง่คิดอะไรบ้าง ข้อนี้ใครตอบถูกใจอาจารย์ก็มีคะแนนเพียบ”

“แล้วเธอตอบว่าไง ? ”

“ผมก็ตอบว่า เรื่องของการให้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ของขวัญหนึ่งชิ้นที่คุณได้มา มันมีอะไรแฝงอยู่ในนั้นมากกว่าประโยชน์ใช้สอยของมัน ความตั้งใจของผู้ให้ ความลำบากของการเลือกของชิ้นนั้น จินตนาการของผู้ให้ที่คิดถึงตอนเราใช้ของนั้น ทั้งหมดมันซ่อนอยู่ในของขวัญชิ้นนั้น แต่ใครจะรู้”

แนนออกความเห็น
“เธอพูดเหมือนกับพวกศิลปินเลย”

“ผมจึงแบ่งการให้และความสำคัญของการให้ไม่เหมือนกัน วิธีให้อย่างแรก ที่ให้กันจนเกร่อ คือ การให้โดยผู้รับไม่ต้องเสียสละอะไรมาก เพื่อหาของขวัญ ซึ่งผู้ให้ก็ไม่ได้สนใจว่า ผู้รับต้องการมันมากขนาดไหน ก็พวกให้กันตามธรรมเนียม อย่างของขวัญงานขึ้นบ้านใหม่ของคนใหญ่คนโต คนที่ไม่สนิทกัน แต่ต้องให้กันตามธรรมเนียม เช่น ซื้อเหล้าให้ ซื้อชุดกระเช้าของขวัญที่เขาจัดตามห้าง อาจจะเป็นคุ้กกี้ หรือ อะไรที่ดูสวยงามมีราคาหน่อย คนให้ไม่ได้สนใจหรอกว่าคนรับอยากจะกินเหล้าทั้งวันทั้งคืน จะลงแดงตายหรือเปล่า คนได้รับไม่ได้สนใจก็รับตามธรรมเนียม ไม่ได้กระโดดโลดเต้น เฮ้ย...ผมได้คุ้กกี้มาทานตั้งกล่องหนึ่ง แล้วเป็นลมล้มพับด้วยความดีใจ”

แนนหัวเราะ

“ต่อมาก็การให้โดยผู้ให้ไม่ได้เสียสละอะไรสำคัญนัก แต่เป็นสิ่งที่ผู้รับต้องการและเห็นว่ามีค่า เหมือนกับการให้เงินกับผู้ยากไร้ ที่เขาต้องการเงิน การให้ความรู้กับนักเรียน อันนี้ก็สบายใจทั้งผู้ให้และผู้รับ คราวนี้ก็มาเป็นการให้ที่ผมเห็นเยอะเหลือเกิน ประเภทรักเขาข้างเดียว”

แนนพยักหน้าแสดงความสนใจ

“คือคนให้เสียสละอะไรมากมาย แต่คนรับไม่ได้ต้องการ ไม่เห็นค่า อันนี้ผมเห็นเยอะ ยิ่งตอนเข้ามหาลัยนี่ เห็นหลายคนแล้วครับ ส่วนมากจะเป็นผู้ชายที่หลงชอบผู้หญิง อุตส่าห์ทำนู่นทำนี่ให้ตั้งเยอะ เสียสละเวลา เสียทั้งเงินทอง ผู้หญิงเค้าเฉย ๆ ส่วนในกรณีสุดท้ายก็ในเรื่องคริสต์มาสกิ๊ฟนี่แหละ ผู้ให้เสียสละสิ่งที่สำคัญของตัวเอง เพื่อให้ของที่ผู้ให้รู้สึกว่า มันสำคัญและมีค่าสำหรับผู้รับ ซาบซึ้งที่สุดแล้ว เป็นการให้ที่มีค่าที่สุด”

ทั้งสองคนได้ยินเสียงทอมเรียกมาแต่ไกล

“วู้...นี่สองคน เดี๋ยวเดินข้ามาที่ร้านอาหารเลยนะ เพื่อน ๆ เริ่มมากันแล้ว ”
ทอมยืนอยู่ในร้านอาหารตะโกนออกมา

รุ่งโบกมือให้สัญญาณรับทราบ

ทั้งสองคนยังนั่งอยู่ที่เดิม

ลมหนาวยังคงโชยมาเอื่อย ๆ แนนนั่งมองไปรอบ ๆ ทะเลสาป เธอได้กลิ่นหอมบาง ๆ ของโคโลญจ์ที่รุ่งใส่

เธอหันมามองรุ่ง
“เธอนี่ดูแปลกนะ ท่าทางภายนอกเหมือนกับไม่ค่อยใส่ใจอะไร แต่จริง ๆ ก็มีความละเอียดอ่อนเหมือนกัน”

รุ่งหัวเราะ
“ธรรมดาล่ะครับ คนเราเชื่อในสิ่งที่ตาเราเห็น หูเราฟัง นั่นคือความจริงสำหรับเรา แต่ความจริงสำหรับเขานั่นมันอีกเรื่องนึง ผมพูดงงมั้ยครับ”

“งงนิดหน่อยค่ะ?”

“คือ เคยได้ยินมั้ยครับว่า ความเป็นจริงน่ะ ไม่เป็นความจริงหรอก สิ่งที่เรารับรู้ต่างหาก ที่เป็นความจริง หมายความว่า คนเราส่วนใหญ่ชอบตัดสินจากความจริงที่เราเห็น สิ่งที่เราได้ยิน โดยส่วนมากไม่มีใครไปค้นคว้า เข้าไปสัมผัสก่อน แล้วค่อยตัดสิน การรับรู้ครั้งแรกน่ะ สำคัญมากสำหรับความเชื่อของคนเรา”

อากาศในที่โล่งเริ่มทวีความเย็นมากขึ้น แนนกางแขนออกไป แล้วแหงนดูท้องฟ้า
หนาวสมใจแน่ คืนนี้จะเห็นดาวมั้ยนะ”

รุ่งมองขึ้นบนท้องฟ้า
“เราน่ะจะเห็นดาวเมื่อไหร่ก็ได้ แต่คิดบ้างมั้ยว่า ดาวน่ะ จะมีโอกาสมองเห็นเรามั้ย ? เดินเข้าไปที่ร้านดีกว่า”

“หือ ? ”

แนนอมยิ้มทันทีที่ได้ยินประโยคนี้

แล้วทั้งสองก็ลุกจากชานไม้ริมน้ำ

รุ่งพูดขึ้น

“ผมเรียกแนนว่าแนนได้มั้ย ไม่ค่อยถนัดเลยที่เรียกว่าคุณแนน”

แนนหัวเราะ
“ด้าย.....ไม่ต้องเรียกคุณแนนก็ได้ค่ะ คุณรุ่ง”

แล้วทั้งสองก็หัวเราะ เดินเข้าไปที่ร้านอาหาร ก่อนถึงร้านอาหาร แนนก็หยุดเดินแล้วพูดขึ้น

“รุ่ง”

รุ่งหันมา
“ว่าไงครับ ? ”

“แนนขอบคุณที่เสียเวลาเล่าเรื่องคริตส์มาสกิ๊ฟท์ค่ะ”

รุ่งตอบ
“ผมให้ในสิ่งที่ผมไม่ลำบากไงครับ เหมือนกับให้ทานกับขอทานยากจน เหอ ๆ ”

เขาหัวเราะแล้วเดินเข้าร้านไป

แนนมองตามหลังรุ่ง

... ดาวน่ะเหรอ จะมองเห็นเรา...

ความคิดของผู้ชายคนนี้แปลกจัง แต่ก็ให้ความรู้สึกดี ๆ ที่บอกไม่ถูก
คนเรามองจากบุคลิกภายนอกไม่ได้จริง ๆ... แล้วอีกอย่าง...

...ทำไมลมหนาว ต้องพัดมาตอนนี้ด้วยนะ ? !!!

__________________________________________________________________________________________

โดย วีรยาติ

<อ่านหน้าแรก

กลับขึ้นด้านบน

นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก เปิดให้จองแล้ว กดที่นี่

 


อ่านตอนอื่น

1. สมัครสมาชิก เว๊บบอร์ดที่นี่ (หากไม่สมัครสมาชิก จะโหวต หรือ แสดงความคิดเห็นไม่ได้) และ

2. แสดงความคิดเห็น หรือ โหวต

- ชอบตัวละคร ขอเชิญโหวตได้ที่นี่

- อ่าน หรือ แสดงความคิดเห็นที่นี่

เชิญเยี่ยม Facebook หมอเถื่อน

(ให้กำลังใจโดยเข้าไป แล้วกด Like หรือ เขียนคำวิจารณ์)