ตอน 1

เด็กสึนามิ

สั่งซื้อ หนังสือนิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก ราคา 380 บาท

"คนที่ปราราถนาพระโพธิญาณ ก็ลงนรกได้เหมือนกัน
พระโพธิสัตว์ลงนรกไปเป็นแถว
ลงไม่ลงคนเดียว พาพรรคพวกในแถวลงไปด้วย

...ชาติก่อน ภพก่อนที่มันระลึกได้ ขอให้เก็บไว้ อย่าขยายความต่อ เรื่องมันจะยุ่งยากบานปลาย
ถ้ามันเลือกทางที่เรียบง่าย ชีวิตมันก็จะเรียบง่ายได้
แต่ถ้ามันเลือกจะเป็นคนสำคัญ มันก็จะเป็นคนที่สำคัญได้มาก กำหนดชะตาชีวิตบ้านเมืองได้เลย
แต่จะพาบ้านเมืองขึ้นเขา หรือ ลงเหวก็ไม่รู้ "

****************************************************************************************************************

ทันทีที่เก๋งโตโยต้าอัลติสสีขาว เลี้ยวเข้าถนนดีบุกตัดใหม่ ฝนก็ตกซู่ลงมาห่าใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ยังไม่มีวี่แววของเมฆฝน

โชเฟอร์วัยกลางคนหัวเราะ ความที่เป็นคนที่มีถิ่นฐานอยู่ที่ภูเก็ตตั้งแต่กำเนิด ทำให้เขาชินกับลักษณะภูมิอากาศแบบนี้ แต่หนุ่มอาคันตุกะคู่เจรจาทางการค้าของเขาที่นั่งอยู่เบาะหลัง คงไม่คุ้นกับฝนขาจรที่นึกจะแวะเวียนมาเมื่อไหร่ก็มา นึกจะไปก็ไปแบบนี้

พีรศิลป์มองที่กระจกส่องหลัง แล้วพูดภาษากลางที่ติดสำเนียงภูเก็ต

"อากาศที่ภูเก็ตเป็นแบบนี้ ร้อนแทบตาย จู่ ๆ ฝนจะตกก็ตก ตกแล้วจะหยุด ก็หยุด"

อุรานั่งอยู่ที่นั่งเบาะหน้าหัวเราะเบา ๆ เธอพูดภาษากลางที่มีสำเนียงติดเหมือนสามี

"จริง ๆ นะคะ คุณสมชาย นี่พอไปถึงร้านอาหาร ฝนอาจจะหยุดตกแล้วก็ได้"

สมชายหัวเราะ เขาถอดแว่นกรอบทองออกมา แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด

"เหรอครับ ? ผมเคยมาภูเก็ตครั้งเดียวในชีวิต น่าจะเกินสิบปีมาแล้ว แต่ไม่เคยได้สังเกตุเรื่องดินฟ้าอากาศ ฝนตกแบบนี้ไม่น่าจะหยุดได้ง่าย ๆ ร้านอาหารที่เราจะไป อยู่ที่ไหนครับ ?"

โชเฟอร์ชี้มือไปข้างหน้า

"เลี้ยวขวาแยกหน้านี้ก็ถึงแล้ว ร้านนี้มีอาหารพื้นเมือง แต่ราคาคนกรุงเทพ ฯ ที่ผมพาคุณมาเพราะบรรยากาศดี เป็นบ้านไม้ตกแต่งแบบบรรยากาศโบราณ เดี๋ยวคุณเข้าไปดูเองคุณอาจจะชอบ"

สมชายพยักหน้า หยิบแว่นขึ้นสวม

"ร้านนี้ชื่ออะไรครับ ?"

"ร้านอาหารระย้า ส่วนใหญ่คนกรุงเทพ ฯ รู้จัก"

สมชายนึกถึงคำถามที่ติดอยู่ในใจตั้งแต่มาถึงภูเก็ตวันแรก แต่ยังไม่มีโอกาสได้ถามใครสักที

"คุณพีรศิลป์ครับ คำว่าจังซีลอนนี่ มันมีความหมายยังไง ? ผมเห็นคำนี้ติดอยู่เยอะแยะ ชื่อโรงแรมก็มี ชื่อร้านก็มี มันแปลว่าอะไรครับ ?"

คู่สามีภรรยา หัวเราะพร้อมกัน

สามีเป็นฝ่ายตอบ

"จังซีลอนเป็นชื่อที่คนสมัยก่อนเค้าเรียกเกาะภูเก็ตนี่แหละ สมัยก่อนเค้าเรียกชื่อตามแหลมจังซีลอน แหลมที่นี่เป็นท่าเทียบเรือที่สมัยก่อนฝรั่งมาค้าขาย ชื่อแหลมก็เลยดัง"

ภรรยาหันหน้ามามองสามี

"ใครบอกพ่อล่ะว่า แต่ก่อนเรียกแหลมจังซีลอน ? เค้าเรียก แหลมยงซีลัง เป็นภาษามลายู ชั้นน่ะมีเชื้อชาวมลายู ชั้นรู้ดีกว่า"

พีรศิลป์มองหน้าภรรยา

"แม่รู้ได้ไงว่ายงซีลัง มาก่อน จังซีลอน ? แต่ก่อนเค้าอาจเรียกว่า จอนซาลัมมาก่อนก็ได้ เพราะฝรั่งเศสเรียกที่นี่ว่า จอนซาลัมมาตั้งนานแล้ว แล้วคนมลายูอาจจะมาเรียกตามเป็นยงซีลัง"

ภรรยายกมือขึ้นตีแขนโชเฟอร์

"แนะ ! คนพื้นเมืองจะไปเรียกตามต่างชาติได้ยังไง ? ต่างชาติมันต้องเรียกตามคนพื้นเมืองสิ แล้วฝรั่งเศสเค้าเรียกว่า ยอนซาลัม น่ะ ใช้ยอยักษ์ ไม่ใช่จอจาน"

ทั้งสามคนหัวเราะพร้อมกัน

สมชายพยักหน้า

"แค่เรื่องชื่อจังซีลอนนี่ คงเป็นตำนานที่เถียงกันไม่ได้ว่ามันมาจากชื่ออะไร ประวัติศาสตร์ที่นี่คงยาวนานมาก"

รถเลี้ยวขวาที่ทางแยก

สมชายสังเกตุเห็นป้ายร้าน 'ระย้า' อยู่บนเสาสูงอย่างเด่นชัด

รถกำลังเทียบจอด ห่าฝนที่เมื่อครู่ยังซัดลงมาราวกับพายุกลับหยุดสิ้น ไม่มีแม้ละอองทิ้งท้าย

สมชายหัวเราะเบา ๆ

"พี่อุรานี่พยากรณ์อากาศได้แม่นจริง ๆ ฝนหยุดซะยังงั้นเลย ถึงร้านพอดี"

ทั้งสามก้าวลงมาจากรถ

พีรศิลป์ในฐานะเจ้าภาพ ผายมือให้สมชายเป็นฝ่ายเดินนำหน้าเข้าร้านอาหาร

ร้านอาหารเป็นบ้านปูนสองชั้นรูปทรงโบราณ

แขกรับเชิญต่างแดน มองเห็นบรรยากาศของร้านอาหารแล้วพยักหน้ากับตัวเอง

กำแพงภายในร้านอาหารถูกตบแต่งด้วยรูปภาพ บรรยากาศในร้านสะอาดสะอ้าน โคมไฟที่ห้อยลงมาจากเพดานส่องแสงสีเหลืองนวลทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น

สมชายเลือกโต๊ะที่ต้องการได้แล้ว เขาทรุดตัวลงนั่ง เจ้าภาพทั้งสอง พยักหน้า แล้วทรุดตัวลงนั่งตาม

ร้านอาหารเริ่มมีลูกค้าทยอยเข้ามามากยิ่งขึ้น เมื่อใกล้ค่ำ

ฝรั่งชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง พูดภาษาอังกฤษกับพนักงานของร้านว่า ได้จองที่ไว้แล้ว พนักงานสาวถามชื่อผู้จอง แล้วผายมือให้เดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

พีรศิลป์ กับ อุรา เริ่มสั่งรายการอาหารที่ทั้งสองคิดว่า แขกหนุ่มในวันนี้ จะต้องประทับใจในรสชาติ

สามีภรรยาคู่หนึ่ง เดินจูงลูกชายวัยประมาณไม่เกินสิบขวบ เดินผ่านโต๊ะอาหาร

เด็กน้อยเดินผ่านโต๊ะของพีรศิลป์ แล้วจ้องมาที่โต๊ะ อีกมือหนึ่งรั้งแขนของคุณพ่อไว้ ถึงแม้ตัวเด็กน้อยจะเดินเลยโต๊ะไปแล้ว แต่ก็ยังเหลียวหลังกลับมามองที่โต๊ะอย่างไม่ละสายตา

ผู้เป็นพ่อก้มลงมองลูกชาย

"อย่าดึงพ่อสิ เดินดี ๆ จะขึ้นบันไดแล้ว ระวัง !"

พีรศิลป์มองหน้าเด็ก สายตาของเด็กที่มองมาเหมือนกับสายตาของคนที่ได้เจอคนรู้จัก เขาสะกิดแขนภรรยา

"อุรา เห็นเด็กคนนั้นมั้ย ? จ้องเราเหมือนรู้จักเลย"

ภรรยามองตามไป ทั้งสามคนพ่อแม่ลูกกำลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน

อุราสั่นหัว

"ไม่น่าจะรู้จัก แต่จ้องเหมือนกับจะทักเราเลย หรือเป็นลูกเมียน้อยคุณหรือเปล่า ?"

สามีหัวเราะ

"บ้าเรอะ ! เค้ามากับพ่อแม่เค้าโน่น"

สมชายหันหลังกลับไปมอง แต่ไม่ทัน ทั้งสามเดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว

เขาหันกลับมา

"ใครเหรอครับ ?"

พีรศิลป์สั่นหัว

"ไม่รู้จัก เด็กผู้ชาย มากับพ่อแม่เค้า จ้องมาที่เราเหมือนกับจะทัก เดินขึ้นไปบนชั้นสองแล้ว"

สมชายพยักหน้ารับรู้ เขาเริ่มทบทวนเรื่องกิจการค้าขายที่ได้สรุปกันเมื่อบ่ายวันนี้อีกครั้ง

"ตกลง ปลายเดือนนี้ ผมส่งของชุดแรกให้คุณพีรศิลป์ดูก่อน สามแบบที่เลือกไว้ เป็นแบบสีผิดสเป็คนอก พร้อมกล่อง ผมจะโควตราคาของเป็นประเภทของผิดสเป็คนอกนะครับ ไม่ใช่ราคาประเภทสินค้ามีตำหนิ สองอย่างนี้ราคาไม่เท่ากัน"

พีรศิลป์พยักหน้าเข้าใจ

"อือ ได้ ๆ ของสมบูรณ์แบบ แต่เฉดสีไม่ตรงกับที่เมืองนอกสั่งไว้ คุณส่งออกไปเค้าก็ไม่รับ ส่งมาให้ผมดูพร้อมราคาได้เลย แต่ตามแคตตาล็อคของคุณถือว่าใช้ได้นะ ขอผมดูของชุดแรกก่อน ถ้าไปได้ดี คงได้ติดต่อกันอีกยาว"

สมชายพยักหน้า

"ผมมั่นใจว่าไปได้ดีครับ ทั้งสามชนิดที่ส่งมา เป็นของเล่นที่กำลังฮิตในเนเธอร์แลนด์ ตัวพลัชด๊อกคืออันดับหนึ่ง ผมผลิตภายใต้เงื่อนไขว่าผมจะไม่ขายของเหล่านี้ในเว็บ หรือ อีเบย์ด้วยตนเอง แต่ยี่ปั๊วนั้นทำได้ เพราะต้นทุนบวกกำไรแล้วก็คงจะเป็นราคาที่พอ ๆ กับคนเนเธอร์แลนด์ซื้อในประเทศตัวเอง"

พีรศิลป์พยักหน้า

"ผมไม่ได้ขายในเว็บอยู่แล้ว ไม่ถนัด แค่ขายที่หน้าร้านก็รับผิดชอบแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว"

สมชายส่งยิ้มทางสายตาลอดแว่นให้กับลูกค้า

"สินค้าของผมจะช่วยให้ร้านคุณพีรศิลป์ขายได้ดียิ่งขึ้น"

"หวังอย่างนั้นเหมือนกัน คุณสมชายมียี่ปั๊วในประเทศกี่ราย ?"

หนุ่มคู่สนทนาหัวเราะ

"คุณพีรศิลป์เป็นรายแรก"

"อ้าว ! จริง ๆ เหรอ ?"

สมชายพยักหน้า

"จริง ๆ ครับ ผมถึงต้องบินมาที่นี่เองไง เดิมทีโรงงานของผมผลิตส่งแต่ต่างประเทศ แต่ผมเป็นคนบอกเถ้าแก่ว่า เราสามารถมีตลาดภายในประเทศได้ โดยผมจะเป็นคนทำตลาดเอง ผมถึงทำเว็บไซท์เพื่อหาตัวแทนขายขึ้นมา แล้วคุณพีรศิลป์ก็เป็นลูกค้ารายแรกที่ติดต่อเข้ามา

เถ้าแก่ของผม ไม่ถนัดการทำการตลาด แกจะถนัดคุยกับคนรู้จักที่เป็นลูกค้าเก่าต่างชาติ แล้วก็ทำสัญญาผูกไว้ เราผลิตตรงตามมาตรฐานของผู้จ้างมาตลอด เราถึงอยู่ได้มีออร์เดอร์ประจำ แต่เหตุการณ์ในอีกสองสามปีหน้านี้ ไม่แน่นอน ตลาดอาเซียนเสรีเปิดเต็มที่เมื่อไหร่ คราวนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย ถ้าไม่หาตลาดเผื่อเอาไว้ เกิดเค้าย้ายไปหาแหล่งต้นทุนที่ถูกกว่าได้ โรงงานอาจจะต้องปิดได้"

พีรศิลป์ขมวดคิ้ว สนใจในสิ่งที่หนุ่มคู่ค้ากำลังสนทนา

"แล้วคุณสมชาย วางแผนว่า จะหาตลาดในประเทศเพื่อรองรับไว้ก่อน ?"

"ครับ นี่เป็นแค่เรื่องเริ่มต้น แต่คิดว่าคงไม่พอ ขั้นต่อไปคือดูเรื่องแรงงานต่างด้าว คนไทยค่าจ้างแพง ไม่ขยัน ลำบากหน่อยก็หนีกลับบ้าน แต่แรงงานต่างด้าวเขาต้องส่งเงินกลับไปให้พ่อแม่ที่ประเทศเค้า เค้าไม่หนีงาน ไม่เกี่ยงงาน ถ้าอาเซียนเปิดเสรี เราจะจ้างแรงงานได้ถูกกว่านี้ และ ได้แรงงานที่มีฝีมือมากกว่านี้ ที่สะใจกว่านั้นคือ ไม่ต้องจ่ายให้ตำรวจที่ไถเงิน"

พีรศิลป์พยักหน้า

"อือ.. เดี๋ยวนี้ค่าแรงขั้นต่ำของคนไทย เริ่มสูง แต่ฝีมือไม่ได้สูงขึ้น"

"ครับ คนไทยคงสบายกันมานาน เราสู้คนเวียดนามไม่ได้ ทั้งความขยัน ทั้งภาษา แพ้หมด"

"คุณจะแนะนำให้เถ้าแก่คุณไปลงทุนในเวียดนามหรือยังไง ?"

สมชายสั่นหัว

"ไม่ใช่ครับ ถ้าตลาดแรงงานเปิดเสรี คนต่างชาติต่างหากที่จะเข้ามาแย่งงานคนไทย ในอาเซียนนั้น คนไทยภูมิใจเสมอว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง แล้วเราก็ภูมิใจไปเรื่อย ๆ แต่ประเทศอื่นในอาเซียนเขาปากกัดตีนถีบ ภาษาอังกฤษก็ดีกว่า แล้วยังขยันกว่า ต่อไปแรงงานไทยจะไปแข่งกับใครได้ ?"

"โรงงานคุณมีแรงงานต่างชาติด้วยมั้ย ?"

"มีครับ มีคนเขมรที่ขยันมาก งานอะไรก็ไม่เกี่ยง คนงานไทยจะได้ค่าแรงที่สูงกว่า แต่เกี่ยงงาน แล้วพอมีปัญหาก็หนีกลับบ้านไปเลย"

พีรศิลป์หัวเราะ

"แต่เรื่องเกี่ยวกับคนงาน คุณคงไม่ต้องรับผิดชอบด้วยใช่มั้ย ? เถ้าแก่คุณดูแลเองหรือเปล่า ?"

"ใช่ครับ แต่สุดท้าย ปัญหานี้ก็จะกลายเป็นปัญหาร่วมกันอยู่ดี สุดท้ายทำให้ต้นทุนสูงขึ้นจนแข่งขันไม่ได้"

พีรศิลป์มองหน้าหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งอยู่ตรงข้าม

"คุณสมชาย คุณอายุเท่าไหร่แล้วปีนี้ ถึงสามสิบหรือยัง ?"

สมชายแปลกใจที่คู่สนทนาเปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน

"หือ ? ยังครับ แต่ก็ใกล้จะสามสิบแล้วครับ"

ผู้ถามพยักหน้าเมื่อได้ยินคำตอบ

"ยังไม่สามสิบเลย นับว่าคุณยังไปได้อีกไกล คุณจบบริหารมาเหรอ ดูท่าทางสนใจเรื่องการบริหารกิจการ"

"ครับ ผมจบบริหาร ผมฝึกฝนตัวเอง สนใจเรื่องการบริหารตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ หวังว่าโตขึ้นจะได้บริหารอะไรด้วยตนเองบ้าง"

พีรศิลป์พยักหน้าช้า ๆ อีกครั้ง

"ได้แน่นอน อายุคุณเพียงเท่านี้ คุณยังมีเวลาอีกเยอะ"

พนักงานของร้านนำเส้นหมี่แกงปูมาเสิร์ฟเป็นจานแรก

พีรศิลป์ผายมือไปที่อาหารจานแรก

"อร่อย ลองดู เสร็จจากมื้อนี้แล้วไปดริ๊งค์กันต่อมั้ย ? คุณสมชายดื่มหรือเปล่า ?"

สมชายสั่นหัว

"ไม่ดื่มครับ เพิ่งเลิกมาได้หกเดือน ให้สัญญากับเพื่อนไว้"

พีรศิลป์หันหน้าไปมองภรรยา

"สัญญากับเพื่อน ? เพื่อนสำคัญขนาดนั้น ?"

"ครับ เค้าอยากให้ผมมีสติ เค้าบอกว่าขนาดตอนผมไม่ดื่มยังเสียสติได้เลย ถ้าดื่มแล้วคงยิ่งไปกันใหญ่"

อุราหัวเราะเด็กหนุ่ม เธอสังเกตุหน้าตาที่สะอาดสะอ้านภายใต้แว่นกรอบทอง ไม่มีวี่แววของคนสติเสีย

"เสียสติไปทำอะไรมาคะ เค้าถึงเตือนขนาดนั้น ?"

"ผมใจร้อนน่ะครับ เวลาต้องการอะไรก็ลงมือทำเลย คิดทีหลัง แต่ทำไปก่อนแล้ว" เขาพูดแล้วหัวเราะกับตัวเองเบา ๆ

พีรศิลป์พยักหน้า

"ไม่แปลกหรอก ! หนุ่ม ๆ อายุเท่านี้ ก็ใจร้อนแบบนี้กันทั้งนั้น พอโตแล้วก็รู้จักคิดได้ ไม่แปลก ไม่แปลก.... เอ้า ! ไม่ดื่ม ก็ไม่ดื่ม ตอนนี้ลองเส้นหมี่แกงปูนี่ก่อน อร่อยประทับใจแน่ ๆ"

หนุ่มต่างถิ่น จัดแจงหยิบเส้นหมี่ แล้วราดด้วยแกงปู ส่งเข้าปาก

รสชาติที่เข้มข้นของแกง ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง แล้วพยักหน้า

"อือ ! อร่อย"

พนักงานสาวเดินนำกับข้าวจานที่สองมาวางบนโต๊ะ หน้าตาของอาหารคือไข่เจียว

สมชายก้มหน้าพิจารณา

อุราอธิบาย

"ไข่เจียวกากหมู อาหารธรรมดา ๆ แต่ทานกับแกงปูนี่ อร่อยมาก หรือ จะรอข้าวเปล่าก็ได้ พี่สั่งเค้าไปแล้ว"

สมชายใช้ช้อนกลาง ตัดไข่เจียว แบ่งเป็นชิ้นขนาดย่อม แล้วยื่นส่งไปวางในจานของอุรา

"ไม่เป็นไรหรอก คุณสมชาย ทานไปเถอะ เดี๋ยวพี่ตักเองได้"

อาหารจานถัดไป ถูกวางบนโต๊ะ หน้าตาของอาหาร คือ ผักอะไรซักอย่างผัดกุ้ง

สมชายมองอาหารจานนี้อย่างสนใจ

"นี่ผักอะไรครับ ?"

พีรศิลป์ถามกลับ

"ไม่เคยเห็นล่ะสิ กะเปก รู้จักมั้ย ?"กะเปกผัดกุ้ง

สมชายสั่นหัว

พีรศิลป์อธิบายต่อ

"กะเปก คือ หน่อไม้น้ำ ของดังเมืองภูเก็ต ส่วนใหญ่เค้าก็เอามาผัดกับกุ้ง"

สมชายตักอาหารจานใหม่ ส่งเข้าปาก สัมผัสของหน่อไม้น้ำ 'กะเปก' เป็นที่ถูกลิ้นของเขา

รอยยิ้มผุดออกมาจากใบหน้า ทำให้ดวงตาที่ตี่อยู่แล้ว แทบจะปิดมิด

อุราสัพยอก

"อร่อยล่ะสิท่า ! ทานเยอะ ๆ ค่ะ กลับจากภูเก็ตไปแล้ว หาทานยากนะ"

หนุ่มต่างถิ่นพยักหน้า

สัญญาณสั่นของโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกง ทำให้สมชายสะดุ้งเล็กน้อย เขาค่อย ๆ ล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

หน้าจอปรากฏชื่อของเพื่อนคนสำคัญ

สมชายก้มหัวเล็กน้อยให้กับสองสามีภรรยา

"ผมขอรับสายนี้ก่อนครับ เดี๋ยวกลับมานะครับ"

เขาผุดลุกขึ้นยืน แล้วเดินเลี่ยงออกไปนอกร้าน

"ว่ายังไง คุณสมชาย ว่างอยู่หรือเปล่า ? หรือ กำลังกินข้าวเย็นอยู่ ?"

สาวปลายทางส่งเสียงเรียกชื่อเขาอย่างเต็มยศ

"คุยได้ คุณพีรศิลป์พามากินข้าวเย็น กับข้าวอร่อยมาก"

"เหรอ ? งานสำเร็จมั้ยล่ะ ?"

"ก็ดีนะ น่าจะสำเร็จ กลับไปนี่ จะลองพูดกับเถ้าแก่เรื่องทำคอสติ้งใหม่ ต้นทุนสินค้าที่มีอยู่ คิดมาจากนักบัญชี โปะค่าเสื่อมอะไรก็ไม่รู้มาใส่เป็นยูนิตคอสท์ เราจะเสนอให้คิดต้นทุนแบบนักการเงิน ไม่ใช่คิดแบบนักบัญชี ไม่งั้นต่อไปแข่งขันกับใครไม่ได้"

"คืนนี้ ไปไหนต่อล่ะ ?"

"ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่คงไม่ไปกินเหล้า"

เสียงปลายทางหัวเราะร่วน

"พูดดักคอตัวเองหรือไงคะ คุณสมชาย ? รู้น่าว่าสมชายเอาจริง มีระเบียบวินัยกับเรื่องนี้ เชื่อแล้ว ที่โทรมานี่ไม่ได้จะมาห้ามเรื่องกินเหล้า แต่จะมาให้กำลังใจ อยากบอกว่า ภูมิใจในตัวสมชายนะ แล้วถ้าพ่อของสมชายได้รับรู้ เค้าก็คงจะภูมิใจในตัวลูกชาย"

ประโยคสุดท้าย ทำให้ความตื้นตันแล่นมาจุกอยู่ที่หน้าอก

เสียงสาวปลายทาง กระเซ้าสำทับ

"อึ้งล่ะสิ ? เงียบไปเลย ไม่ต้องบอกก็รู้มั้งว่า อย่างน้อยก็มีใครคนนึงเห็นว่าสมชายเป็นคนเก่งนะ"

สมชายค่อย ๆ ถอดแว่นกรอบทองออก

"ฟังเราพูดนะ ! ปัจจุบัน มันต้องดีกว่าอดีต แล้วอนาคตของเรา จะต้องดีกว่าปัจจุบันอีก จะไม่มีอีกแล้ว ที่เราจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม"

ปลายทางหัวเราะเบา ๆ

"จ้า ! เชื่อแล้วจ้า ! กลับไปกินข้าวต่อเถอะ ไว้กลับมาค่อยเจอกัน บ๊ายบาย !"

สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว

เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมคำพูดธรรมดา ๆ ของเพื่อนที่แสนพิเศษคนนี้ เรียกน้ำตาเขาได้อย่างง่ายดายเสมอ

อีกมือรีบควักผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดขอบตา แล้วสวมแว่นกลับตามเดิม

สมชายเดินกลับเข้ามาในร้านอาหาร

ที่โต๊ะอาหาร พีรศิลป์ และ ภรรยา กำลังคุยกับ ชายรูปร่างท้วม ผิวคล้ำ อายุประมาณสามสิบปลาย ๆ

ยังไม่ทันที่เขาจะก้าวถึงโต๊ะ ชายคนนั้น ก็ขอตัว ลุกขึ้นยืน แล้วเดินกลับไปทางบันได

สมชายกลับมาที่เก้าอี้ของตัวเอง

"เพื่อนคุณพีรศิลป์เหรอครับ ?"

อีกฝ่ายสั่นหัว

"ไม่ใช่ นั่งลงก่อน มีเรื่องแปลกจะเล่าให้ฟัง"

สมชายทรุดตัวลงนั่ง

"ผู้ชายคนนี้ เป็นพ่อของเด็กที่ตอนเราเพิ่งเข้ามาในร้าน แล้วเด็กคนนั้นมองเราเหมือนกับจะทัก จำได้มั้ย ที่พี่อุราแซวว่าเป็นลูกเมียน้อย ?"

สมชายพยักหน้า

"อ้อ... ครับ ๆ จำได้ แต่ผมหันไปไม่ทันเห็น"

"เค้าเดินมาบอกว่าลูกชายเค้าจำผมได้ โต๊ะอาหารเค้าอยู่ชั้นสอง พอขึ้นไปข้างบน ลูกชายเค้าก็รบเร้าอยากจะมาคุยกับผม แต่เค้าไม่ค่อยจะเชื่อลูกชายซักเท่าไหร่ เพราะลูกเค้าชอบทักว่าเคยเกิดเป็นคนโน้นคนนี้ แล้วจำอดีตได้ ตัวเค้าเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็เลยมาถามผมว่า ลูกชายเค้าทักแบบนี้ ตรงหรือไม่ ?"

"ทักอะไรครับ ?"

"เค้าก็พูดชื่อมาว่า ผมชื่อนี้ เคยอยู่ที่ไหนมาก่อน ผมเกิดที่ไหน..."

"แล้ว ถูกบ้างหรือเปล่าครับ ?"

อุราหัวเราะ

"ถูกค่ะ.... ถูกต้ม ถูกลูกชายต้มเข้าให้แล้ว ผิดหมดเลยทุกข้อ คุณพีรศิลป์น่ะ เกิดที่ภูเก็ต แต่ลูกชายเค้าทักว่าเกิดที่กรุงเทพ ฯ ชื่อก็ทักผิด"

พีรศิลป์เล่าต่อ

"พอผมเฉลย เค้าก็ยิ้มเลย ดูเหมือนกับ รู้อยู่แล้วว่าลูกชายเพ้อเจ้อ แล้วเค้าก็ขอโทษที่รบกวนเวลา สงสัยเนี่ย คงขึ้นไปเตะลูกตัวเองแน่"

ทั้งภรรยา และ สมชาย หัวเราะชอบใจ

พีรศิลป์ยกนิ้วชี้ขึ้น

"เดี๋ยวนี้ชอบมีคนอ้างว่ามีลูกเป็นเด็กสึนามิ คุณเคยได้ยินเรื่องเด็กสึนามิมั้ย ?"

ภรรยาพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยกับเรื่องที่สามีกำลังจะสนทนา

สมชายสั่นหัว

"ไม่เคยได้ยินครับ เด็กสึนามิคืออะไร ?"

พีรศิลป์อมยิ้ม

"เอางี้ดีกว่า ไหน ๆ คืนนี้คุณก็ไม่ดื่ม เดี๋ยวผมจะพาคุณไปดูอะไร คุณมีธุระอะไรจะทำหลังจากมื้อนี้หรือเปล่า ?"

"ไม่มีครับ"

"ดี ! ยังงั้น เดี๋ยวผมพาไปหาเด็กคนนึง เป็นหลานของพี่อุราเค้า เดี๋ยวไปถึงแล้วค่อยเล่าแล้วกัน"

สามีหันไปพยักหน้ากับภรรยา

"อุรา โทรไปถามน้องไรว่าอยู่บ้านหรือเปล่า ?"

ภรรยาพยักหน้ารับคำ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจัดการ

อาหารคาวจานสุดท้ายถูกวางบนโต๊ะ แกงเหลืองปลากะพงมีสีสันที่น่าลิ้มลอง

สิบนาทีผ่านไป...

...ของหวานถูกเสิร์ฟบนโต๊ะ หน้าตาคล้าย ๆ กับเฉาก๊วย แต่สีอ่อนกว่า

สมชายมองไปที่ถ้วยขนมที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ของแปลกใหม่สำหรับเขาอีกแล้วโอ๊ะเอ๋ว

"โอ๊ะเอ๋วค่ะ เป็นของหวานของภูเก็ต ลองทานดู"

อุราพยักหน้าให้ความมั่นใจกับแขกหนุ่ม

สมชายพยักหน้ารับ

"ดีครับ มาที่นี่มื้อเดียว ได้ทานของประจำจังหวัดหลายอย่าง"

สมชายคิดถึงเพื่อนคนพิเศษขึ้นมาพลัน อยากให้เธอได้มานั่งลิ้มรสอาหารแปลกใหม่ด้วยกันกับเขาตอนนี้ แค่ประโยคสั้น ๆ ที่ได้ยินจากเธอในเย็นวันนี้ ก็เป็นอาหารใจให้เขาอิ่มไปได้ทั้งคืน

*****************************************************************************************

รถยนต์อัลติสนำทั้งสามคนมาถึงบ้านทาวน์เฮ้าส์ ในซอยรัษฎารำลึก

อุไรเป็นสาวผิวคล้ำ อายุใกล้สี่สิบปี มีรูปร่างสูงกว่าอุราพี่สาว เธอกำลังยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน

อุราเดินนำสามี และ แขกหนุ่มผ่านเข้ามาในประตูรั้ว

น้องสาวพยักหน้าให้กับพี่สาว และ พี่เขย

อุราแนะนำ

"นี่คุณสมชาย มาจากโรงงานผลิตของเล่น จะพามาเจอกับน้องอ๊อดหน่อย ทำอะไรอยู่ ?"

สมชายยกมือไหว้เจ้าของบ้าน

อุไรยกมือรับไหว้ เธอมองหน้าพี่สาวแล้วหัวเราะ

"นึกว่าพานักข่าวมา ทีมงานตีสิบโทรมาแล้ววันก่อน ชั้นบอกไปว่าไม่สะดวก ไม่เอาดีกว่า อยู่เฉย ๆ อย่างนี้ ให้เค้าโตแบบธรรมดา ๆ"

พีรศิลป์พยักหน้าเห็นด้วย

"ใช่ ๆ ดีแล้ว เด็กธรรมดาคนนึง พอได้ออกทีวีแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โต"

สาวเจ้าบ้านเปิดประตูมุ้งลวดนำแขกเข้าบ้าน

"นั่งก่อน เชิญ ๆ เดี๋ยวชั้นตามน้องอ๊อดลงมา"

พีรศิลป์ผายมือเชิญให้แขกหนุ่มนั่ง

สมชายทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้หวายยาวกลางห้องรับแขก กำแพงด้านหนึ่งมีตู้วางโทรทัศน์ และ เครื่องเสียง

บนโต๊ะรับแขก มีกองหนังสือพิมพ์ วางปนอยู่กับนิตยสาร

อุราเดินไปตรงไปเข้าห้องน้ำ

พีรศิลป์ค้นกองหนังสือพิมพ์บนโต๊ะรับแขก เขาหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นให้สมชาย

สมชายรับมา พลิกขึ้นมาดูหน้าปก ชื่อหนังสือ 'Veckans' เป็นตัวอักษรอังกฤษ

หน้าปกเป็นรูปของนักธุรกิจชายวัยประมาณห้าสิบกว่าปีในชุดสูทผูกไท

แต่ภาษา และ คำโปรยบนหน้าปกนั้นไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่นอน

Veckans Magazine

พีรศิลป์เห็นสมชายขมวดคิ้ว

"อ่านรู้เรื่องมั้ย ?"

สมชายพลิกหนังสืออย่างเร็ว ๆ ไปจนถึงกลางเล่ม เขามองภาษาที่ใช้ในนิตยสารเล่มนี้ แล้วสั่นหัว

"อ่านไม่ออกครับ ภาษาอะไร ? เยอรมัน หรือ พวกยุโรปตะวันออกหรือเปล่า ?"

พีรศิลป์หัวเราะเบา ๆ

"เดี๋ยวรอคนมาเฉลยให้"

พีรศิลป์ทิ้งคำพูดไว้เป็นปริศนา สมชายวางนิตยสารคืนไว้บนโต๊ะ

อุราเดินถือแก้วน้ำเปล่า เดินมายื่นให้แขกหนุ่ม

เสียงแม่ลูก คุยกันดังมาจากทางบันได

"แม่ อ๊อดกินไอติมอีกอันนึงในตู้เย็นได้หรือเปล่า ?"

"ได้ เดี๋ยวอ๊อดลงไปคุยกับลุงกับป้าเค้าก่อน ลุงกับป้าพาแขกมาหา เสร็จแล้วแม่จะให้กินไอติม"

เด็กชายผิวคล้ำผมหยิก เดินจูงมือคุณแม่ลงจากบันได

สองแม่ลูกเดินมาที่ห้องรับแขก

ลูกชายยกมือไหว้ คุณลุง คุณป้า และ คนแปลกหน้าใส่แว่น

สมชายส่งยิ้มให้

"หวัดดีครับ ชื่ออะไรครับ ?"

เด็กน้อยส่งยิ้มให้

"ชื่ออ๊อดครับ ?"

"กี่ขวบแล้วครับ ?"

"จะเจ็ดขวบแล้วครับ"

พีรศิลป์กวักมือให้หลานชาย แทรกตัวเข้ามานั่งที่ตรงกลางเก้าอี้หวายระหว่างตัวเขา และ ผู้มาเยือน

เขาชี้มือให้สมชาย หยิบนิตยสารเล่มเดิมที่วางอยู่บนโต๊ะ

สมชายหยิบนิตยสารเล่มนั้น ยื่นให้พีรศิลป์

พีรศิลป์ยื่นนิตยสารส่งให้หลาน

"อ๊อด ไหนอ่านให้คุณอาสมชายฟังหน่อยซิ"

หนูน้อยผมหยิก พลิกหน้านิตยสารไปสองสามหน้า แล้วเขาก็เริ่มอ่าน

"Hanken är ett ledande universitet på det ekonomisk-merkantila området i Finland. Andelen internationella studerande är högst bland alla ekonomutbildningar i..."

เด็กน้อยอ่านภาษาต่างประเทศอย่างคล่องแคล่วด้วยสำเนียงที่แปลกหู สร้างความประหลาดใจให้กับสมชายเป็นอย่างยิ่ง

ลำพังเด็กเพียงอายุหก-เจ็ดขวบ สะกดภาษาไทยเองก็ต้องใช้เวลาอ้ำอึ้งอยู่พอสมควรกว่าจะอ่านออกเสียงมาได้ แต่หนูน้อยข้างกายเขา กลับอ่านภาษาต่างด้าวได้คล่องเหมือนกับเจ้าของภาษา

อุรากับแม่เด็กนั่งอมยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเหรอหราของแขกหนุ่ม

พีรศิลป์เอื้อมมือมาแตะที่นิตยสาร เป็นสัญญาณให้หลานหยุดอ่านได้แล้ว

"ไหนอ๊อด คุยกับคุณอาเค้าหน่อยซิ"

อ๊อดเงยหน้าขึ้นมองสมชาย

"กูดด๊าก ! ฮิวโม่ดุ"

สมชายส่งยิ้มให้ เขาฟังไม่ออกว่าเด็กน้อยกำลังพูดภาษาอะไร

อ๊อดพูดต่อ "วาดทรีวิลลา เทรฟฟัส ฝอสโตร ดู ?"

สมชายหัวเราะ "เก่งจัง ! ภาษาอะไร อาฟังไม่รู้เรื่องเลย"

"ยอก ฟอสตรอ ดิ อิกริ บรา..... ภาษาสวีเดนครับ"

"ภาษาสวีเดน ? แล้วหนูไปเรียนมาจากไหน อายุแค่นี้พูดสวีเดนได้แล้วเหรอ ?"

"ได้ครับ เพราะอ๊อดเคยเป็นคนสวีเดนมาก่อนครับ"

คำตอบของอ๊อดทำให้สมชายอึ้ง เขาหันหน้าไปมองแม่ของเด็ก ซึ่งนั่งอมยิ้มอยู่

สมชายหันหน้ามาคุยกับเด็กน้อยอีกที

"อ๊อดรู้ได้ยังไงว่าอ๊อดเคยเป็นคนสวีเดนมาก่อน ?"

"รู้สิครับ เพราะอ๊อดจำได้ว่า อ๊อดเป็นคนสวีเดน อยู่ที่โกเทนเบิร์ก แล้วอ๊อดกับเพื่อนก็มาเที่ยวภูเก็ต แล้วตอนอ๊อดกำลังซื้อของในร้านขายของ ก็มีน้ำท่วมเข้ามาในร้าน แล้วอ๊อดก็ตาย แล้วก็มาเกิดเป็นลูกแม่อุไรครับ"

สมชายอุทานเบา ๆ

"น้ำท่วม ! อ๊อดหมายถึง สึนามิเหรอ ?"

อ๊อดพยักหน้า

"ครับ อ๊อดถูกน้ำพัดแล้วฟาดกับกับอะไรไม่รู้ แล้วก็ตาย"

เขาพูดอย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับกำลังเล่าเรื่องชีวิตปกติประจำวันเรื่องหนึ่ง แต่สำหรับสมชาย มันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่นอน

"แล้วอ๊อด จำตอนที่เป็นยังเป็นคนสวีเดนได้ด้วยเหรอ ?"

หนูน้อยพยักหน้า

"ครับ อ๊อดชื่ออ๊อดมัน เบิร์กควิสท์ อยู่เมืองโกเทนเบิร์ก อายุสี่สิบห้า บ้านอยู่ที่วาสตราโกทาแลน ทำงานอยู่ฝ่ายอาคารที่วอลโว่มิวเซียม ถนนทอสลันดา"

คุณแม่ของอ๊อด หยิบอัลบั้มรูปถ่าย ยื่นให้สมชาย เขาพลิกอัลบั้มรูป รูปถ่ายอาคารวอลโว่มิวเซียม ในหลาย ๆ มุม
Volvo Musuem

อ๊อดชี้มือมาที่ในรูป

"อ๊อดทำงานอยู่ตึกที่อยู่ด้านหลังตึกนี้"

สมชายถามหนูน้อย

"แล้วใครส่งรูปพวกนี้มาให้ล่ะ ?"

"เพื่อน ๆ ครับ เพื่อนอ๊อดที่สวีเดนส่งมาให้"

สมชายขมวดคิ้ว

"เพื่อนอ๊อดจำอ๊อดได้เหรอ ?"

พีรศิลป์พยักหน้า เขาอาสาทำหน้าที่เป็นผู้เล่าแทน

"เล่าตั้งแต่เริ่มต้นดีกว่า ตอนแม่เค้าคลอด ก็ปกติธรรมดาตั้งแต่เกิด แต่พอเริ่มพูดได้ คำแรกที่พูด ก็เป็นภาษาแปลก ๆ เป็นคำที่พ่อแม่เค้าไม่ได้สอน พอสามขวบ ก็ร้องเพลงเป็นภาษาแปลก ๆ ไม่ใช่ภาษาไทย ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าร้องมั่ว ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่พอได้ยินบ่อย ๆ ก็จับได้ว่า เค้าร้องเหมือนกันทุกครั้ง"

คุณลุงเขยหันหน้ามามองหลาน

"อ๊อดลองร้องซิ ยังจำได้มั้ย ?"

หลานชายพยักหน้า แล้วเริ่มร้อง

"Du gamla, du fria, du fjällhöga Nord,
Du tysta, du glädjerika sköna!
Jag hälsar dig, vänaste land uppå jord,
Din sol, din himmel, dina ängder gröna.
Din sol, din himmel, dina ängder gröna. . . "

เขาหยุดร้องแล้วเอียงคอ

"จำได้แค่นี้แล้วครับ"

พีรศิลป์ยกมือลูบหัวหลาน

"ยิ่งโต ยิ่งลืม"

"เพลงอะไรครับ ?" สมชายถาม

อ๊อดตอบเสียงใส

"เพลงชาติสวีเดนครับ"

พีรศิลป์เล่าต่อ

"ตอนนั้นเราก็ถามเค้าว่า เค้าร้องเพลงอะไร เค้าก็ตอบว่าเพลงชาติสวีเดน พ่อแม่เค้าก็เห็นเป็นเรื่องแปลก ก็ไปเล่าให้ญาติ ๆ ฟังกันทุกคน ทุกคนมาฟัง แล้วก็เริ่มมั่นใจว่า อ๊อดไม่ได้ร้องมั่ว เพราะร้องกี่ครั้งก็เหมือนกันหมด แต่ก่อนร้องได้จบเพลง ใช่มั้ย ?"

เขาหันหน้ามาหาหลานอีกครั้ง หลานชายพยักหน้า

"ตอนนี้ ลืม ๆ ไปแล้วครับ"

"มีอยู่วันนึง พ่อแม่เค้าก็ต้องการจะพิสูจน์ความจริง ก็พาเค้าไปหาคนสวีเดนที่มาเช่าห้องกับน้าของอุไร ...แม่เค้านี่ ปรากฏว่าสองคนคุยกันรู้เรื่อง คนสวีเดนนั่นบอกว่า เป็นเพลงชาติสวีเดนจริง ๆ แล้วเค้าก็คุยภาษาสวีเดนกันได้"

สมชายพยักหน้ารับฟังตลอด

"เอาล่ะสิ คราวนี้ก็มาซักไซร้อ๊อดว่า จำอะไรได้บ้าง ตอนนั้นสามขวบกว่า เค้าจำได้เยอะมาก แล้วก็จด ๆ ไว้ เริ่มต้น พ่อเค้าก็ลองติดต่อกลับไปที่บ้านเค้าที่สวีเดิน ตามที่อยู่ที่เค้าจำได้ ปรากฏว่ามีคนตอบกลับมาจริง ๆ เป็นน้องสาวเค้า น้องสาวของอ๊อดมัน เบิร์กควิสท์ เราก็เล่าเรื่องไป ทางโน้นก็ตื่นเต้น จนปีที่แล้ว ทางโน้น ครอบครัวเค้า น้องสาว พี่ชาย แล้วก็เพื่อน บินมาที่ภูเก็ต มาหาอ๊อด คุยกันรู้เรื่อง จำความกันได้"

พีรศิลป์พลิกอัลบั้มรูป

"นี่ไง ! รูปพี่น้องของอ๊อดมัน ปีที่แล้วเค้ามาภูเก็ต ถ่ายรูปร่วมกันไว้"

สมชายมองที่รูปถ่ายของชาวต่างชาติที่ถ่ายร่วมกับอ๊อด และ ครอบครัว

"เหลือเชื่อจริง ๆ ! แล้วนี่น้องอ๊อด อยากกลับไปอยู่สวีเดนหรือเปล่า ?"

อ๊อดสั่นหัว

"ไม่ครับ อ๊อดจะอยู่กับแม่อุไร อ๊อดจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว"

สมชายทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม

"จำอะไรไม่ค่อยได้ ? ทำไมล่ะ ?"

แม่บังเกิดเกล้าของอ๊อด ตอบแทน

"คิดว่าเด็กเค้าใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันมากกว่า ต้องเรียนภาษาไทย ต้องไปโรงเรียน มีเรื่องที่ต้องอยู่กับปัจจุบัน สมองก็ค่อย ๆ ลืมความหลังไปเรื่อย ๆ นี่ผ่านมาแค่สองสามปี อ๊อดเริ่มลืมภาษาสวีเดนไปเยอะแล้ว เพลงชาติก็ร้องไม่จบแล้ว"

อุราพูดแหย่หลาน "เค้าไม่ยอมกลับสวีเดนหรอก แค่อยู่ห่างแม่วันเดียวก็ร้องหาแม่แล้ว"

อ๊อดยิ้มด้วยความเขิน

"แต่อ๊อดรู้ว่ารถยนต์วอลโว่ดีที่สุดในโลก โตขึ้น อ๊อดจะซื้อรถวอลโว่"

คำพูดของอ๊อด เรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ทั้งสี่ได้

พีรศิลป์ลูบหัวหลานอีกครั้ง

"เล่นของแพงเลยนะเรา ไม่ซื้อเรือไวกิ้งเลยล่ะ"

อุไรพูดขึ้น

"ตอนนี้เริ่มโตขึ้น เค้าจะเริ่มรำคาญเวลามีคนมาให้เล่าเรื่องสวีเดน บางวันอารมณ์ไม่ดี ไม่พูดเลย คงเบื่อที่มีคนถามซ้ำ ๆ ซาก ๆ"

"ไม่เห็นมีใครมาช่วยอ๊อดทำการบ้าน มีแต่มาถามว่าชาติที่แล้วเป็นยังไง อ๊อดก็ตอบว่า ชาติที่แล้วไม่มีไอติมกิน"

เด็กน้อยพูดแล้วก็หัวเราะเสียงใส

คุณป้าสั่นหัว "เรานี่ก็... ไม่รู้อันไหนมั่ว อันไหนจริง ประเทศสวีเดนจะไม่มีไอติม เป็นไปได้ไง"

"ก็จริงนี่ครับ อ๊อดยังไม่เห็นจะจำได้เลยว่า อ๊อดเคยกินไอติมในสวีเดน จำได้แต่ตกปลา เดี๋ยวก็ตกปลา เดี๋ยวก็ตกปลา"

คุณแม่เสริมให้สมชายฟัง

"น้องสาวของเค้า ...หมายถึง คนสวีเดนที่เป็นน้องอ๊อดมัน บอกว่า อ๊อดมันชอบตกปลามาก เกือบทุกอาทิตย์ ต้องออกไปตกปลา"

อ๊อดพูดต่อจากคุณแม่

"แต่ชาตินี้ แม่ห้ามอ๊อดตกปลา แม่บอกว่ามันบาป อ๊อดก็จะไม่ตกปลา อ๊อดจะไม่กินปลาด้วย"

คุณแม่หัวเราะแล้วยกมือชี้นิ้ว

"ไอ้ไม่กินปลานี่ ใครสอน ? แน่ะ จะมาโมเม เราไม่ชอบกินปลาแล้วมาอ้างแม่ เนื้อปลาน่ะมีประโยชน์ ถ้าไม่กิน อ๊อดจะไม่โต ไม่สูงนะ อยากสูงเหมือนคุณอาเค้าหรือเปล่า ? อยากสูง อยากฉลาดต้องกินปลานะ"

ในสายตาของสมชาย อ๊อดมีบุคลิกเหมือนเด็กไทยอายุหกขวบทั่วไปทุกประการ ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกว่าพฤติกรรมของเด็กคนนี้ แปลกไปจากเด็กไทยคนอื่น

เรื่องราวของอ๊อดเป็นที่ร่ำลือไปในหมู่วงศาคณาญาติ ญาติบางคนอาสาเป็นคนติดต่อรายการโทรทัศน์เพื่อมาทำสกู๊ปพิเศษเกี่ยวกับเรื่องเด็กระลึกชาติ แต่ฐานะทางบ้านของอุไร และ สามี อยู่ในสถานะพอมีพอกิน ไม่มีความเดือดร้อนเรื่องเงินทอง เธอจึงปฏิเสธ เพราะแน่ใจว่าจะมีความยุ่งยากวุ่นวายตามมาภายหลัง

************************************************************************************************************************

พีรศิลป์ขับรถออกจากซอยรัษฏารำลึก มุ่งหน้าไปส่งสมชายที่โรงแรม

"เป็นไง ได้เจอเด็กสึนามิตัวจริง ?"

พีรศิลป์ทักขึ้น สายตามองที่กระจกส่องหลัง

"ครับ แปลกดี ปกติผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ หมายถึง การระลึกชาติอะไรทำนองนี้"

อุราถามขึ้น "คุณสมชายนับถือพุทธหรือเปล่า ?"

"ครับ นับถือพุทธ แต่ก็ไม่ค่อยมีเวลาศึกษา ทำไมคุณพีรศิลป์เรียกว่าเด็กสึนามิตัวจริง ? มีตัวปลอมด้วยหรือครับ ?"

"มีสิ ! ตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิปีสี่เจ็ด ก็มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับวิญญาณของคนตาย หลายคนเห็นวิญญาณของคนพวกนี้ป้วนเปี้ยนอยู่แถว ๆ ชายหาด บางคนก็บอกว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณพวกนั้นได้ บางคนก็บอกว่าลูกตัวเอง เป็นนักท่องเที่ยวที่ตายในสึนามิ แล้วกลับชาติมาเกิด"

"จริงเหรอครับ ?"

"บางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็แหกตา"

อุราพูดขึ้น

"แต่ศาสนาพุทธ ก็สอนไว้ว่า คนเราเวียนว่ายตายเกิด ถ้ายังไม่มีที่ไป ก็ต้องวนเวียนเป็นสัมภะเวสีอยู่แถวนั้น จนกว่าจะถึงเวลาหมดอายุขัย แต่ถ้าตายเพราะหมดอายุ ก็จะต้องเกิดทันที อาจจะเข้าไปเกิดในท้องใครก็ได้ในละแวกใกล้เคียง ที่เคยมีบุญเก่าผูกพันกันมา เหมือนกับที่อ๊อดมัน มาเกิดในท้องของอุไร"

สมชายถามด้วยความสงสัย

"แล้วคนสวีเดนตายแล้ว เค้าไม่ไปเกิดในประเทศสวีเดนเหรอครับ ?"

"ไม่แน่จ๊ะ ! ถ้าเค้ามีคติที่ไปที่แน่นอน เช่นไปสวรรค์ หรือ นรก เค้าก็จะตรงไปที่นั่นเลย แต่ถ้ายังมีคติที่ไม่แน่นอน กรรมสุดท้ายก่อนตายจะให้ผล ไปเกิดที่ไหนได้ไม่ไกลที่ตายหรอก แรงมันน้อยน่ะ มันก็จะเกิดได้แถว ๆ ที่ที่ตัวเองตายน่ะ"

สมชายหัวเราะเบา ๆ

"อือ แปลกดี ! ผมก็เพิ่งรู้เรื่องนี้ ยังงั้น เด็กที่เกิดในจังหวัดภูเก็ต หลังจากปีสี่เจ็ด ก็คงมาจากวิญญาณคนที่ตายในเหตุการณ์สึนามิเยอะแยะเลยสิครับ"

อุรายักไหล่ "อันนี้ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

พีรศิลป์กลับพยักหน้ามั่นใจ

"ผมว่าใช่นะ ถึงมีคนอ้างว่าลูกตัวเองระลึกชาติได้เยอะแยะหลังปีสี่แปดสี่เก้าน่ะ คนที่ระลึกชาติได้ ก็จะเริ่มสื่อสารเมื่ออายุสองสามขวบขึ้นไป เด็กพวกนี้ ตอนนี้อายุก็คงไม่เกินเจ็ดขวบ เพราะสึนามีเกิดปลายปีสี่เจ็ด กว่าจะคลอดก็กลางปีสี่แปด นับมาถึงนี่ต้นปีห้าห้า ก็เกือบเจ็ดปี"

อุราพยักหน้า "อือ... ถ้างั้น เด็กคนนั้นที่เราคุยกับพ่อของเค้าที่ร้านอาหาร นั่นไม่น่าจะใช่เด็กสึนามิแล้ว เพราะดูอายุน่าจะเกินเจ็ดขวบ"

พีรศิลป์พยักหน้าแล้วหัวเราะ

"นั่นของปลอมแน่นอน ทักแต่ละอย่างก็ผิดหมด เด็กตัวโตขนาดนั้น น่าจะแปดเก้าขวบนะ ไม่ใช่เด็กสึนามิอย่างน้องอ๊อดแน่นอน น้องอ๊อดนี่ของแท้ พิสูจน์ได้"

สมชายพยักหน้ารับรู้ เขารู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้พบเห็นจากการเจอกับหลานชายของคุณพีรศิลป์ แต่ไม่ได้มีความสนใจกระหายอยากรู้เพิ่มเติม เพราะยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ที่สำคัญสำหรับชีวิตปัจจุบันของเขา

"คุณพีรศิลป์ครับ จากถนนระนอง วิ่งไปเรื่อย ๆ จะเจอกับถนนพัฒนาใช่มั้ยครับ ?"

"ใช่ คุณจะไปร้านซินแสที่เล่าให้ผมฟังเหรอ ? คุณจะไปกี่โมง ? ถ้าพรุ่งนี้ผมว่าง ผมแวะไปส่งให้ได้"

"ไม่เป็นไรครับ พรุ่งนี้ผมว่างทั้งวัน ไม่ได้รีบร้อน อยากจะขับรถเที่ยวในเมืองด้วย พรุ่งนี้วันอาทิตย์ พักผ่อนตามสบายเถอะครับ ไม่ต้องห่วง"

"งั้นก็ตามใจ จากถนนระนอง คุณวิ่งไปจนถึงสามแยก มีทางให้เลือกตรงไปกับเลี้ยวซ้าย ให้คุณเลี้ยวซ้าย จะเป็นถนนพัฒนา ถ้าตรงไปเป็นแม่หลวน"

"ครับ พอจำได้แล้วครับ"

******************************************************************************************

อ่านหน้าต่อไป >
สั่งซื้อ นิยาย 'หมอเถื่อน' รวมเล่มฉบับแรก กดที่นี่