นิทานธรรมกับ ดร.เอ๋ย ตอน 6
สงครามยุทธหัตถี
...ว่าด้วยการใช้สติแก้ไขสถานการณ์วิกฤติ


พระเนรศวรมหาราช

หลังจากสมเด็จพระนเรศวรขึ้นครองราชย์ได้เพียง 8 เดือน...

...กองทัพพระมหาอุปราชาก็ยกกองทัพที่มีทหารจำนวนถึง 240,000 นาย จากเมืองหงสาวดีเข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี

ข้างฝ่ายกรุงศรีอยุธยา เห็นพ้องกันว่าไม่ควรปล่อยให้ข้าศึกเข้ามาประชิดพระนคร จะเป็นการลำบากเดือดร้อนแก่ราษฎร สมเด็จพระนเรศวรจึงดำรัสให้เตรียมกองทัพหลวง มีทหาร 100,000 นายออกไปตั้งค่ายปะทะข้าศึกที่หนองสาหร่าย เมืองสุพรรณบุรี

ทรงแต่งให้กองหน้าออกไปสอดแนมจนทราบกระบวนของข้าศึก จึงวางแผนให้กองหน้าลวงว่าสู้ไม่ได้ต้องถอยหนีให้ทหารพม่าติดตามมา แล้วจึงให้ทัพหลวงที่จะซุ่มอยู่ด้านหลังเข้าโอบตี

แต่เหตุการณ์ไม่เป็นดังแผน

ทัพหน้าตะลุยทะลวงทัพพม่าด้วยความย่ามใจจนในที่สุดพ่ายแพ้แตกขบวน ขณะที่ตะลุมบอนกันจนฝุ่นตลบนั้น ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรที่กำลังตกมัน และพระเอกาทศรถ ก็พลัดเข้าไปในหมู่ข้าศึก โดยกองทัพส่วนใหญ่ยังตามพระองค์มาไม่ทัน แต่พระองค์มิได้ทรงหวั่นไหว กลับท้าพระมหาอุปราชชนช้าง

สงครามยุทธหัตถี

และในที่สุดก็มีชัยชนะ พระมหาอุปราชสิ้นพระชนม์บนคอช้างนั้นเอง

       
ประวัติศาสตร์ชาติไทยในตอนนี้ ไม่มีคนไทยคนไหนไม่รู้จัก

เราเทิดทูนยกย่องความกล้าหาญและความเก่งกาจของสมเด็จพระนเรศวรที่ปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยให้แก่ไพร่ฟ้า และ พสกนิกรชาวไทยได้อยู่อาศัย มีผู้ใดเล่าที่จะมีสติ คิดวางแผนแก้ไขปัญหาในขณะที่อยู่มนสภาพวิกฤตเพียงนั้น

ถ้าพระองค์เพียงไสช้างหนี ชาติไทยก็คงสิ้นชาติ

ถ้าพระองค์ตัดสินใจนำกองทัพเข้าสู้ ชาติไทยก็จะสิ้นชาติเช่นกัน

ธงชาติไทย

แต่พระองค์กลับมีสติ พลิกผันสถานการณ์อย่างชาญฉลาด ด้วยการท้าพระมหาอุปราชา ซึ่งในขณะนั้นได้เปรียบทุกทาง แต่เพราะมีปมในอดีตที่ฝังลึกในพระทัย ที่เคยแพ้ชนไก่เมื่อยังพระเยาว์ จึงขาดสติ รับคำท้าเพื่อตั้งใจชำระความแค้นเป็นการส่วนพระองค์ จนพบกับอวสานของพระชนม์ชีพ

สมดังคำที่พระพร่ำสอนว่า “สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิด มักเกิดปัญหา”

นอกจากสมเด็จพระนเรศวรแล้ว โลกก็ร่ำลือว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชซึ่งไม่เคยรบแพ้ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่ขยายอาณาจักร ไม่ใช่เพราะทรงเป็นนักวางแผนที่เก่งเพียงอย่างเดียว

จักรพรรดินโปเลียน และ ฮิตเล่อร์ ก็เป็นนักวางแผนที่เก่งเช่นกัน แต่ก็ยังแพ้ศึก เพราะไม่ว่าจะวางแผนดีเพียงใด แต่เมื่อในสมรภูมิ เราจะแก้ปัญหาท่ามกลางลูกธนูที่พุ่งมาราวห่าฝนได้อย่างไรต่างหากที่สำคัญกว่า

พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จักรพรรดิ์นโปเลียนฮิตเล่อร์


สติทำให้เราดำรงชีพที่ยุ่งเหยิงได้อย่างไม่วุ่นวาย เป็นเพื่อนผู้นำทางเราออกไปจากปัญหาทั้งปวง

ปัจจุบัน เราต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ที่ดูจะมีความรุนแรงกว่าในอดีต เช่น

ภัยธรรมชาติที่มีอำนาจทำลายล้างมหาศาล คร่าชีวิตผู้คนครั้งละเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน รวมทั้งภัยธรรมชาติที่กำลังก่อตัวสร้างความเสียสมดุลแก่โลกอันน่าสะพรึงกลัว

และ ยังมีภัยการเมืองซึ่งทวีความรุนแรง หาข้อยุติไม่ได้ในหลาย ๆ เรื่อง ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และ ความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน

และ ปัญหาเศรษฐกิจต่อเนื่อง ผู้คนตกงาน อาชญากรรมเฟื่องฟู ยาเสพติดแพร่หลาย กลายเป็นปัญหาสังคมต่อไป

น้ำท่วม สึนามิ จลาจล ตกงาน

ถ้าเราไม่มีสติในสถานการณ์เช่นนี้ ก็จะเกิดเป็นความเครียด กลายเป็นปัญหาสุขภาพ หรือ อาจจะสติเตลิด คิดหาทรัพย์ด้วยวิธีง่าย ๆ ลักชิงวิ่งราว ค้ายา หลอกลวงเขาเป็นต้น นำไปสู่วงจรอุบาทต่อไปไม่รู้สิ้น

แต่บางคนก็สามารถเดินผ่านท่อนซุงบนปากเหวได้อย่างสงบนิ่ง ด้วยใจไม่หวั่นไหว เหมือนอาจารย์แม่นธนูในเรื่องต่อไปนี้

นักธนูหนุ่มฝีมือขมังคนหนึ่ง หลังจากชนะใคร ๆ มาทั่วแล้วเกิดฮึกเหิม ตะโกนท้าอาจารย์อาวุโสแห่งสำนักสอนวิทยายุทธ์มีชื่อ

อาจารย์ประเมินดูว่าน่าจะสามารถสั่งสอนหนุ่มอวดดีคนนี้ได้ จึงรับคำท้า

นักแม่นธนูนักธนูหนุ่มชี้เป้าที่ห่างไป 100 เมตร และ ปล่อยลูกธนูออกไปเสียบกลางเป้า และ ง้างธนูดอกที่สองออกไปผ่ากลางดอกแรกเป็นสองซีก

อาจารย์เห็นดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร แต่ออกเดินขึ้นเขาให้นักธนูหนุ่มเดินตาม จนถึงชะง่อนผามองลงมาเห็นเหวลึก ที่ปากเหวมีท่อนซุงง่อนแง่นพาดอยู่ อาจารย์เดินไปหยุดตรงกลางท่อนซุงเหนือเหว แล้วยกธนูขึ้นเล็งไปยังเป้า แล้วเดินกลับ และ บอกให้นักธนูหนุ่มทำตาม นักธนูหนุ่มเดินไปบนท่อนซุงได้เพียงสามก้าว ก็ใจสั่น ขาสั่น ต้องถอยกลับมายอมแพ้อาจารย์โดยศิโรราบ

อาจารย์จึงสอนว่า การฝึกทักษะทางร่างกายอย่างเดียวยังไม่พอ แต่ต้องฝึกใจให้นิ่ง ไม่หวั่นไหวด้วย

ด้วยสติที่มั่นคง จิตใจที่ไม่หวั่นไหว เราจะพบว่าวิกฤตต่างๆมักผ่านไปได้หรือกลับกลายเป็นโชคดีไป เช่นเรื่องเล่าข้างล่างนี้

ชายผู้หนึ่งรอดชีวิตจากเรือแตกได้เพียงคนเดียว เขาถูกพัดไปติดเกาะเล็กๆที่ไม่มีคนอาศัย และ สวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยชีวิต แต่วันแล้ววันเล่า ก็ไม่มีความช่วยเหลือมาถึงเขาเลย

ด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาสร้างกระต๊อบเล็กๆ จากเศษไม้ที่ลอยมาเพื่อหลบแดดหลบฝนและเก็บข้าวของที่พอมีเหลือ

วันหนึ่ง หลังจากออกไปหาอาหาร เขากลับมาพบว่ากระต๊อบเล็ก ๆ ของเขาติดไฟลุกโพลง ควันไฟพุ่งพวยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ไฟไหม้กระท่อม

เขาสูญเสียทุกอย่าง เขาโกรธแค้นพระเจ้าอย่างมาก เขาตัดพ้อว่า

“โธ่พระเจ้า ทำไมทำกับผมอย่างนี้!”

เขาร้องไห้เสียอกเสียใจ

เช้าวันรุ่งขึ้น เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวูดเรือที่แล่นใกล้เข้ามายังฝั่ง เพื่อมารับเขา

“คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่ที่นี่?” เขาถามผู้ที่มาช่วยชีวิต

“เราเห็นสัญญาณควันของคุณ” พวกเขาตอบ

มันง่ายที่จะท้อถอยเมื่อเกิดปัญหา แต่เราต้องไม่ยอมแพ้

จำไว้ว่าเมื่อใดที่กระต๊อบเล็ก ๆ ของเราติดไฟ มันเป็นเพียงสัญญาณไฟที่จะนำคำตอบมาให้คุณ

(กราบขอบพระคุณพระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาส ที่กรุณาถ่ายทอดบางตอนของเรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน)

______________________________________________________________

โดย ดร.อภิวรรณ รัตนิน สายประดิษฐ์
(aphivan@gmail.com)

อ่านตอนอื่น

แสดงความคิดเห็นที่นี่